ตอนที่ 427 ข่มขู่ซึ่งกันและกัน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 427 ข่มขู่ซึ่งกันและกัน

หวังหรงขมวดคิ้ว

นับตั้งแต่หล่อนสานสัมพันธ์กับกวนหย่งหัว มีใครในละแวกนี้บ้างที่ไม่ทักทายหล่อนด้วยรอยยิ้ม ใครบ้างไม่อยากประจบประแจงหล่อน?

เป็นใครกันที่ทำตัวขวางโลก ถึงขั้นเรียกหล่อนว่านังสารเลว?

หล่อนแน่ใจมากว่าเจ้าของเสียงเรียกนั้นต้องเป็นเพื่อนบ้านสักคนในละแวกนี้แน่

หล่อนสะบัดหน้ากลับมาอย่างฉุนเฉียว แต่ทันใดนั้นสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก

นั่นเป็นเพราะคนที่เรียกหล่อนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหญิงชราแม่ของตู้กวงฮุย

แม่ของตู้กวงฮุยไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังพาบรรดาลูกสาวมาที่นี่ด้วย ทุกคนต่างตั้งตนเป็นศัตรูอย่างโจ่งแจ้ง มองอย่างไรก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องมาสร้างปัญหาแน่ ๆ

ส่วนเหตุผลที่หญิงชราตระกูลตู้มาสร้างปัญหาให้กับหวังหรงถึงที่เป็นเพราะเมื่อวานนี้ตอนที่พวกหล่อนไปเยี่ยมตู้กวงฮุยในคุก เขาก็บอกว่าหวังหรงมีแฟนใหม่ไปแล้ว

ลูกชายหล่อนต้องมาติดคุกและถูกใช้แรงงานอย่างหนัก แต่หวังหรงกลับใช้ชีวิตตามปกติอย่างสุขสบาย แถมยังเจอแฟนใหม่ที่มีสภาพการเงินดีอีกด้วย แล้วจะให้คุณแม่ตู้ทนอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง?

นางจึงพาลูกสาวสองสามคนบุกมาขอคำอธิบายจากหล่อนอย่างอาจหาญ

หวังหรงเห็นแบบนั้นก็หันไปทุบประตูลานบ้านแรง ๆ “พ่อ แม่ คุณย่า รีบมาเปิดประตูให้หนูเร็ว!”

แต่ก่อนที่พ่อแม่หรือย่าของหล่อนจะเดินมาเปิดประตูให้ หญิงชราตระกูลตู้และบรรดาลูกสาวก็รีบพุ่งตัวเข้ามาล้อมหล่อนไว้อย่างอุกอาจ

แม่เฒ่าตู้ฟาดฝ่ามือตบหน้าหวังหรงสองครั้งติด “จะหนีงั้นเหรอ? เห็นหน้าแม่ผัวเก่าตัวเองแล้วถึงกับทนมองไม่ได้เลยรึไง!”

หวังหรงอับอายมากจนแทบทนไม่ได้

ถึงแม้หล่อนกับตู้กวงฮุยจะเคยลักลอบได้เสียกันหลายครั้ง แต่ไม่มีใครในละแวกนี้ที่รู้เรื่อง หล่อนจึงยังทำตัวไร้เดียงสาตบตาพวกเขาได้

ตอนนี้แม่ตู้กลับตะโกนออกมาเสียหมดเปลือก ถ้าเพื่อนบ้านที่อยู่ไม่ไกลกันนี้ได้ยินเมื่อไร ชื่อเสียงของหล่อนคงจบเห่กันในคราวนี้

แต่หล่อนจะโต้เถียงอะไรได้ แค่เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายยังไม่กล้าเลย

นั่นก็เพราะกลัวว่าถ้าแม่ตู้มีหลักฐานบางอย่างที่พิสูจน์ได้ว่าหล่อนมั่วผู้ชาย ชื่อเสียงของหล่อนคงยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

ดังนั้นหล่อนจึงแสร้งทำเป็นมึนงง เพื่อให้เพื่อนบ้านที่ยืนดูอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรเข้าใจผิด และหล่อนไม่ได้พยายามป้องกันตัว แค่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อเป็นแบบนี้ บรรดาเพื่อนบ้านก็จะคิดว่าคำพูดทั้งหมดของแม่ตู้เป็นแค่การใส่ร้ายลอย ๆ

แม่ตู้เป็นคนปากร้ายอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่นางจะพ่นคำสบถเลวร้ายออกมา

บรรดาพี่สาวของตู้กวงฮุยเองก็ไม่น้อยหน้า เห็นแม่ตบแล้วตัวเองก็ปรี่เข้ามาตบบ้าง ตบจนหวังหรงหน้าสะบัดเป็นลูกข่าง

ทั้งตบตี ทั้งด่าทอสารพัดสารพันไม่จบสิ้น ถึงอย่างนั้นผู้ฟังก็พอจะจับใจความถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

เพื่อนบ้านรอบ ๆ ต่างหันไปกระซิบกระซาบกัน ก่อนจะมองไปทางหวังหรงด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

พอแม่หรงเปิดประตูแล้วเห็นว่าลูกสาวของตัวเองถูกทุบตี อารมณ์โกรธก็ระเบิดปะทุทันที

หล่อนเดินไปข้างหน้าสองก้าว ผลักแม่ตู้และบรรดาลูกสาวออกไป ปกป้องหวังหรงไว้ข้างหลัง ก่อนจะพูดเสียงดัง “กล้าดียังไงมาทำร้ายลูกสาวฉัน?”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ หล่อนคงไม่กล้าแม้แต่จะพูดเสียงดังกับแม่และลูกสาวตระกูลตู้ด้วยซ้ำ ทันทีที่เห็นหน้าพวกหล่อน หล่อนก็เอาแต่ก้มหน้างุดแล้ว

ทว่าวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง หล่อนกังวลเรื่องว่าที่ลูกเขยอย่างกวนหย่งหัวมากกว่า ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องว่าที่เจ้าสาวของเขาทั้งนั้น!

ตราบใดที่รู้ว่าใครมาทำร้ายคนในครอบครัว หล่อนจะทำให้อีกฝ่ายไม่เป็นอันกินอันนอนกันไปข้าง!

หญิงชราแซ่ตู้คนนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

พ่อหรงได้ยินเสียงคำรามของแม่หรงดังมาจากในลานบ้าน ก็รีบพุ่งตัวออกไปเหมือนลูกธนูถูกปล่อยจากคันศร เข้ามาปกป้องลูกสาวอีกแรง

แม่เฒ่าหวังเอาแต่ยืดคอชะเง้อมองเหตุการณ์มาจากในบ้าน ไม่คิดจะออกไปร่วมวง

แม่ตู้เงื้อมือขึ้นตบแม่หรงสองสามครั้ง “ครอบครัวของพวกแกนี่กล้ามากนะ ถึงปล่อยให้หวังหรงมีผัวใหม่ทั้ง ๆ ที่ผัวเก่าของมันก็ยังอยู่ในคุก! จะไม่ให้พวกฉันตบมันได้ยังไง?”

แม่หรงไหวตัวไม่ทัน ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าโต้กลับ เพราะรู้ว่าตัวเองและสามีรวมแรงกันยังไม่สามารถต่อสู้กับแม่ตู้และบรรดาลูกสาวของอีกฝ่ายได้

แม่หรงยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความไม่พอใจระคนอับอาย ตะคอกกลับอย่างไม่กลัว “ประเทศนี้ให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแต่งงานของประชาชน หรงหรงของเรามีแฟนใหม่แล้วยังไง? พวกคุณคิดจะขัดขวางงั้นเหรอ? ถือดีมาจากไหนกัน?”

ขณะที่พูดแบบนั้น หล่อนก็หันไปขยิบตาให้พ่อหรง ส่งสัญญาณให้เขาไปแจ้งตำรวจ

พ่อหรงเข้าใจ รีบไถลตัวแนบไปกับกำแพงบ้าน โดยอาศัยช่วงจังหวะที่หญิงชราแซ่ตู้ไม่สนใจเขา

“แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าพวกเราถือดีมาจากไหน?”

แม่ตู้โกรธจนเลือดขึ้นหน้า เงื้อมือตบหน้าแม่หรงต่อไปอีกหลายครั้ง “แกลืมไปแล้วหรือไงว่าลูกชายฉันต้องมาติดคุกเพราะอะไร?”

ขณะเดียวกันลูกสาวของนางก็ทั้งผลักทั้งบีบแขนแม่หรง

แม่หรงพยายามเบี่ยงตัวหลบซ้ายขวา เจ็บปวดตามเนื้อตัวจนน้ำตาไหล

ถึงอย่างนั้นก็ยังคงพูดจาโผงผาง “เรื่องนั้นเราก็จ่ายค่าชดเชยให้ครอบครัวคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังต้องการอะไรจากฉันอีก? ฉันจะบอกอะไรให้ พวกคุณอย่าคิดว่าจะรังแกเรายังไงก็ได้ ไม่งั้นฉันจะแจ้งความครอบครัวคุณในข้อหาข่มขู่แบล็กเมล์ผู้อื่น คราวนี้พวกคุณได้เข้าคุกกันทั้งครอบครัวแน่!”

แม่ตู้ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย “พวกฉันขู่ว่าจะแบล็กเมล์แกตั้งแต่เมื่อไหร่? สิ่งที่ฉันอยากเรียกร้องคือเงินทั้งหมดที่ลูกสาวแกฉ้อโกงไปจากลูกชายฉันต่างหาก! ถ้าคิดจะไปแจ้งความก็เชิญเลย คิดเหรอว่าฉันจะกลัว! ถ้านังหรงหรงไม่ยอมเลิกกับแฟน ฉันจะบอกกวงฮุยให้ถอนคำรับสารภาพ แล้วลากหล่อนไปติดคุกด้วยกัน! อย่าลืมนะว่าเรื่องผิดกฎหมายทั้งหมดที่ลูกชายฉันทำลงไปในตอนนั้น ก็เป็นเพราะเขาถูกลูกสาวแกจูงจมูก!”

เมื่อแม่หรงได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับตกตะลึง

ถ้าตระกูลตู้ทำแบบนั้นจริง ๆ อนาคตของลูกสาวหล่อนได้จบเห่ของจริงแน่ หล่อนและสามีเองก็เหมือนกัน

หล่อนตอบกลับเสียงต่ำ “ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย? มีอะไรก็พูดจากันดี ๆ สิ”

พอแม่ตู้เห็นว่าแม่หรงเริ่มยอมอ่อนข้อให้แล้ว นางก็ยิ่งได้ใจมากขึ้น กระหน่ำฝ่ามือตบหล่อนอีกหลายครั้ง

“ลูกสาวแกเป็นคนส่งลูกชายฉันเข้าไปนอนคุกเองไม่ใช่หรือไง? พวกแกเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แล้วยังมาตำหนิที่พวกเราพูดจาไม่ดีอีก แกนั่นแหละกล้าดียังไง!”

เมื่อเห็นว่าแม่ตัวเองถูกทุบตีโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หวังหรงก็กลัวจนตัวสั่น กลัวจะลามมาถึงตัวเอง

พอกลัวว่าตัวเองอาจถูกลูกหลง หล่อนก็คิดจะถอยกลับเข้าไปในตัวบ้านเพื่อซ่อนตัว

แต่ถูกพี่สาวคนโตของตู้กวงฮุยเห็นเข้าเสียก่อน

อีกฝ่ายพุ่งตัวเข้ามาคว้าแขนหล่อนไว้ ตบหน้าหล่อนอีกยกใหญ่ ปากก็พ่นคำสาปแช่งไม่หยุดหย่อน

หวังหรงถูกทุบตีอีกครั้งก็กรีดร้องลั่น

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสองคู่กำลังตบตีและด่าทอกัน เพื่อนบ้านส่วนหนึ่งในละแวกนั้นซึ่งไม่พอใจครอบครัวหวังที่เอาแต่อวดเบ่ง หลังจากสามารถจับนักธุรกิจชาวฮ่องกงได้อยู่หมัด พอเห็นว่าพ่อหรงเดินจ้ำอ้าวกลับมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จงใจตะโกนเสียงดัง “ตำรวจมา!”

จุดประสงค์คือเพื่อเตือนแม่ตู้กับลูกสาว

แม่ตู้กับลูกสาวหยุดการกระทำของตัวเองทันที รีบจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมของหวังหรงกับแม่ของหล่อนที่กระเซอะกระเซิงให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง พวกเขาก็ไม่เห็นร่องรอยความเจ็บปวดบนใบหน้าของสองแม่ลูกอีกต่อไป เห็นแค่รอยบวมแดงจาง ๆ

ถึงอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือจะคิดว่ารอยแดงนั้นเกิดจากการถูกตบ คิดว่าพวกหล่อนหน้าตาเปล่งปลั่งเกินไปมากกว่า

พอพวกเขาเดินมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีเรื่องอะไรกัน?”

แม่ตู้กับลูกสาวต่างเอาแต่หลบหน้าไม่ยอมพูดอะไร แสร้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องราว แต่ส่งสายตาไปข่มขู่แม่หรงเป็นระยะ

ตอนแรกแม่หรงวางแผนว่าจะขอให้พ่อหรงออกไปแจ้งตำรวจให้มาจับกุมตัวแม่ตู้ในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นโดยเจตนา

ขอแค่แม่ตู้โดนจับไปขังในศูนย์กักกันสักสองสามวัน นางคงสงบเสงี่ยมลงบ้าง และไม่กล้ามาสร้างปัญหาให้ครอบครัวหล่อนอีก

แต่ถ้าแม่ตู้บอกให้ลูกชายถอนคำรับสารภาพขึ้นมาล่ะ ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงไม่กล้าจัดการกับแม่ตู้อย่างรุนแรง

แม่หรงยิ้มหวานแล้วพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ “เข้าใจผิดค่ะ เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้นเอง”

พ่อหรงเหลือบมองภรรยาตัวเองด้วยความฉงนสนเท่ห์

เมื่อกี้นี้หล่อนขยิบตาบอกให้เขาออกไปเรียกตำรวจไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ทำไมถึงบอกว่าไม่มีอะไร

แต่พ่อหรงก็ไม่ได้เปิดโปงแม่หรง

เขารู้ว่าหล่อนต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ถึงได้พูดแบบนั้น จึงเอาแต่นิ่งเงียบ

เจ้าหน้าที่ตำรวจหันกลับมาถามสองแม่ลูกตระกูลตู้ พวกหล่อนก็พูดตรงกันว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด

เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังแล้วก็ไม่ยินดี

เดิมทีกำลังตำรวจก็น้อยพออยู่แล้ว ยังเรียกเขามาโดยที่ไม่มีเหตุอันควรอีก

เขาหันไปตักเตือนพ่อหรงอย่างรุนแรง ก่อนจะขอตัวจากไป

แต่เรื่องทั้งหมดยังสะสางกันไม่จบ แม่หรงไม่ยอมปล่อยให้แม่ตู้กับลูกสาวกลับ

หล่อนแค่ไม่อยากมีปากเสียงกับแม่ตู้และลูกสาวที่หน้าประตูอยู่อย่างนี้ จนเพื่อนบ้านหัวเราะเยาะเอาได้

หล่อนฝืนยิ้ม หันไปพูดกับสองแม่ลูกตระกูลตู้ “พวกคุณเป็นแขก เข้าไปในบ้านแล้วดื่มชาสักถ้วยสิ”

แม่ตู้พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เดินนำลูกสาวเข้าไปในลานบ้านของแม่เฒ่าหวังพลางแสดงท่าทางเย่อหยิ่ง

แม่เฒ่าหวังเห็นแบบนั้นก็ผลุบเข้าไปหลบอยู่ในห้องส่วนตัวแต่เนิ่น ๆ

นางกลัวว่าหญิงชราตระกูลตู้จะเกิดอาละวาดทุบตีใครขึ้นมาอีก และอาจลามปามมาถึงตัวเอง

สองแม่ลูกตระกูลตู้นั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น แม่หรงกระวีกระวาดเปิดขวดน้ำอัดลมให้พวกหล่อนคนละหนึ่งขวด

จากนั้นก็ขอร้องแม่ตู้ด้วยรอยยิ้ม “คุณอย่าบอกให้ลูกชายถอนคำรับสารภาพเลยนะคะ อย่าให้ลูกสาวฉันต้องกลับไปแต่งงานกับลูกชายคุณเลย เรายินดีจ่ายค่าชดเชยให้คุณ”

แม่ตู้ยกขวดน้ำอัดลมขึ้นจิบทีละอึก ครุ่นคิดอย่างชั่งใจ

ความจริงแล้ว ต่อให้นางสั่งลูกชายให้ถอนคำรับสารภาพจนหวังหรงต้องติดคุก ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่าใด

ตราบใดที่ลูกชายหล่อนกลับคำรับสารภาพ ตระกูลหวังต้องสู้ตายกับครอบครัวนางแน่นอน

ถ้าพวกเขาให้การกับตำรวจเรื่องการขู่กรรโชก นางกับลูกสาวเสียอีกจะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องติดคุก

ดังนั้นแม่ตู้จึงไม่คิดจะให้ตู้กวงฮุยกลับคำรับสารภาพอีก แค่ต้องทำอะไรบางอย่างให้ตระกูลหวังหวาดกลัว

ในเมื่อหวังหรงจับแฟนหนุ่มนักธุรกิจชาวฮ่องกงได้ทั้งที พวกหล่อนก็จะไม่ปล่อยให้ต้นขาทองคำนี้หลุดมือแน่นอน

ถึงตระกูลตู้จะบีบบังคับให้หวังหรงรอจนกว่าลูกชายตัวเองจะออกจากคุกแล้วแต่งงานกับเขาก็ไม่เกิดประโยชน์

เกิดนังแพศยานี่ถูกต้อนให้จนมุมขึ้นมา แล้ววิ่งโร่ไปแจ้งความกับตำรวจ นางกับลูกสาวคงถูกจับไม่ต่างกัน

แทนที่จะปล่อยให้เป็นแบบนั้น สู้กอบโกยเงินจำนวนมากไว้ดีกว่า

ลูกชายนางออกจากคุกเมื่อใด อย่างน้อยก็ยังมีเงินสินสอดไว้ไปแต่งสะใภ้ใหม่ไม่ใช่เหรอ?

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว แม่ตู้ก็เหลือบตาขึ้น แล้วถามแม่หรงกลับ “เธอยินดีจ่ายให้เราเท่าไหร่ล่ะ?”

แม่หรงเหยียดนิ้วบอกจำนวนอย่างสั่นเทา “หนึ่งพันหยวน ตกลงไหม?”

หล่อนไม่กล้าเสนอจำนวนเงินต่ำเกินไป เพราะกลัวว่าแม่ตู้อาจไม่เห็นด้วย

แม่ตู้เบะปากเยาะเย้ยสองสามครั้ง ก่อนจะมองแม่หรงด้วยสายตาว่างเปล่า “ใครเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าลูกสาวเธอจับนักธุรกิจชาวฮ่องกงได้ แต่เธอกลับมีปัญญาจ่ายค่าชดเชยให้ฉันแค่พันเดียวเนี่ยนะ? คิดว่าฉันเป็นขอทานหรือไง!”

แม่หรงตอบกลับด้วยสีหน้าขมขื่น “ถึงหวังหรงจะมีแฟนเป็นชาวฮ่องกงจริง แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้กลายเป็นคู่ผัวตัวเมียกันซะหน่อย จะหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหนกัน?”

แม่ตู้ยังคงข่มขู่อย่างไม่สนใจ “ถ้าฉันไม่ได้ค่าชดเชยที่น่าพอใจ ฉันจำไปบอกให้ลูกชายถอนคำรับสารภาพเดี๋ยวนี้ ให้ลูกสาวเธอติดคุกไปพร้อมกับเขาซะเลย”

หวังหรงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีก รีบพูดขอร้องอีกแรง “อย่าส่งตัวฉันเข้าคุกเลยนะ ฉันเพิ่มเงินให้อีกห้าร้อยหยวนก็ได้ รวมเป็นพันห้า แบบนี้เป็นไงคะ?”

แม่ตู้เหลือบมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา “อย่างต่ำห้าพันหยวน แล้วฉันจะยอมปล่อยเธอไป!”

หวังหรงกระวนกระวายจนน้ำตาไหล “ฉัน… ฉันมีเงินติดตัวอยู่แค่หนึ่งพันห้าร้อย…”

ถึงแม้ความจริงหล่อนจะมีเงินสามพันหยวนอยู่ในกระเป๋า ซึ่งกวนหย่งหัวเป็นคนมอบให้เอาไว้ซื้อบ้าน แต่หล่อนก็ไม่เต็มใจที่จะยกเงินทั้งหมดให้กับแม่ตู้

น่าเสียดายที่หล่อนทำตัวน่าสังเวชแค่ไหนก็ไม่ได้รับความสงสาร แม่ตู้ทำท่าไม่ยอมท่าเดียว

แม่หรงกลอกตา พยายามครุ่นคิดแผนการเพื่อยืดเวลาออกไป

จากนั้นก็แสร้งทำเป็นพยักหน้าอย่างจนปัญญา “ห้าพันก็ห้าพัน แต่ตอนนี้พวกเราคงห้ามาจ่ายให้ทีเดียวไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น… ขอผ่อนสามงวดได้หรือเปล่าล่ะ?”

แม่ตู้หรี่ตามอง “ผ่อนสามงวดยังไง?”

แม่หรงอธิบาย “วันนี้พวกเราจะจ่ายให้คุณก่อนหนึ่งพันหยวน หลังวันชาติจ่ายอีกหนึ่งพันหยวน เดือนพฤศจิกายนจ่ายอีกสามพันหยวน ตกลงไหม?”

หล่อนออกปากว่าจะผ่อนจ่ายสามงวดเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง

หลังจากหวังหรงและกวนหย่งหัวแต่งงานกันในวันชาติ พวกเขาก็จะเดินทางไปที่ฮ่องกงทันที

ต่อให้ตู้กวงฮุยถอนคำรับสารภาพ ชื่อของหวังหรงคงถูกย้ายสำมะโนครัวเข้าไปอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว กฎหมายภายในประเทศก็จะทำอะไรไม่ได้อีก

หรือถ้าชื่อหวังหรงไม่ถูกย้ายไปที่ฮ่องกง ตราบใดที่หล่อนซ่อนตัวอยู่ที่นั่นและไม่กลับมา ก็ไม่มีใครทำอะไรหล่อนได้

ถึงตอนนั้น หล่อนกับสามีจะจัดการแจ้งความแม่ตู้กับลูกสาวในข้อหาขู่กรรโชกทรัพย์ จับพวกหล่อนเข้าคุกให้หมด!

ใบหน้าแม่ตู้ดำคล้ำลง เอาแต่นิ่งเงียบ

แม่หรงผายมือออก “ถ้าถึงขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ยอมรับอีก งั้นก็ไปบอกให้ลูกชายถอนคำรับสารภาพเถอะ”

พอหวังหรงได้ยินแบบนั้น อารมณ์ของหล่อนก็แทบปะทุ แต่ยังไม่ทันจะโต้ตอบอะไร พ่อหรงก็แอบจับมือหล่อนไว้

หล่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมปิดปากเงียบ สายตากวาดมองหน้าแม่ตัวเองและแม่ตู้ไปมาด้วยความไม่สบอารมณ์

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เฉือนเหลี่ยมเฉือนคมกันไปมา สุดท้ายจะลงเอยยังไงนะ?

ไหหม่า(海馬)