บทที่ 422 การอาละวาดของหมอ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 422 การอาละวาดของหมอ

คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ลูกอ้อนเขาก็ใช้ออกมาแล้ว หึ! โกรธแทบตายอยู่แล้ว

“เยาเยา เจ้าคิดถึงอะไรหรือ? หรือเจ้าคิดว่าคืนนี้ข้าจะมาทำอะไรกับเจ้า? เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าเพียงอยากทำขาหมูที่เจ้าชอบกินเหล่านั้นส่งไปให้”

“เย่แจ๋หยิ่ง!” หลานเยาเยาโมโหในพริบตา

“เหอะเหอะเหอะ……”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังมาจากด้านบนศีรษะ ราวกับว่าอารมณ์ดีเป็นที่สุด

หลานเยาเยาออกแรงดิ้นให้หลุดจากแขนของเขาอย่างสุดกำลัง ดิ้นรนไม่หลุด ก็ใช้กำปั้นทุบไปที่หน้าอกของเขา

“ให้เจ้าล้อข้าเล่น”

“พอเถอะ เยาเยา พวกเราไม่ทะเลาะกันแล้ว เจ้าอุ่นมาก ให้ข้ากอดเจ้าดีๆสักครู่หนึ่ง”

“หึ!”

แม้ว่าหลานเยาเยาจะเปล่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมาเสียงหนึ่ง แต่นางก็ไม่ได้ดิ้นรนอีก และก็ไม่ได้ใช้กำปั้นทุบตีที่หน้าอกของเขาแล้ว

ทั้งสองคนนอนฟุบกอดกันอยู่ที่พื้นครู่หนึ่งเช่นนี้

ความจริงแล้วเย่แจ๋หยิ่งรู้สึกว่ากอดอย่างไรก็ไม่พอ แต่ภายใต้ความเร่งรัดสองสามครั้งของหลานเยาเยา เขาก็ยังคงปล่อยนางอย่างไม่เต็มใจนัก

รู้ว่าวันนี้นางต้องการไปที่เรือแห่งความสิ้นหวัง ในใจแฝงไปด้วยความห่วงใยเล็กน้อย

“ทุกสิ่งทุกอย่างต้องระมัดระวัง”

“ทางนั้นของท่านอันตรายกว่าทางนี้ของข้ามากนัก วางใจเถอะ! ท่านไม่ได้รู้จักข้าเป็นครั้งแรก ข้าต้องไปจริงๆแล้ว ท่านก็รีบไป ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้ผู้อื่นพบเจอได้ ได้ยินหรือไม่”

“ได้ได้ได้ ฟังเจ้าทั้งหมด”

หลังจากพูดจบ

เย่แจ๋หยิ่งได้เอาฝ่ามือที่เรียวยาว ลูบแก้มของนางเบาๆ จากนั้นก็จูบลงไปที่หน้าผากของนาง

น้ำเสียงที่น่าดึงดูดดั่งแม่เหล็กดังมาอีกครั้ง :

“คิดอยากทำอะไรอีกหน่อยจริงๆ”

“ท่านก็ลองกล้าได้คืบเอาศอกอีกสิ?” หลานเยาเยาจงใจเช็ดหน้าผากที่ถูกเขาจูบไปอย่างลวกๆ จากนั้นก็ตั้งหมัดไปทางเขา

“เหอะ เจ้าคนไม่มีมโนธรรม รีบไปเถอะ!”

หลานเยาเยาถึงได้วางมือลง จากนั้นก็หมุนตัวจากไปทางหน้าต่าง แต่ในขณะที่เท้าเหยียบไปบนหน้าต่าง น้ำเสียงที่ยั่วยวนของเย่แจ๋หยิ่งก็ดังมาจากทางด้านหลัง

“เยาเยา คืนนี้ข้าจะไปที่ห้องของเจ้าจริงๆ”

เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป

หลานเยาเยายังไม่ได้เหาะออกไปจากหน้าต่าง ก็ได้ล่วงตกออกไปด้านนอกหน้าต่างโดยตรง

“ปึ่ง……”

เจ้าบ้า!

เย่แจ๋หยิ่งต้องจงใจเป็นแน่

รอจนนางลุกขึ้นมาปัดฝุ่นที่เสื้อผ้า ก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ดึงดูดของเขาดังมาจากด้านในโรงน้ำชา

นางสะบัดแขนเสื้อ เปล่งเสียงไม่พอใจมากๆอย่างเย็นชาหนึ่งเสียง

“คืนนี้ของจะต้องปิดตายประตูหน้าต่างอย่างแน่นอน ไม่ให้เจ้าลามกผู้นี้เข้ามา”

เสียงหัวเราะจากในโรงน้ำชาหยุดลงทันที หลานเยาเยาจึงเดินจากไปด้วยความพอใจ

เรือแห่งความสิ้นหวัง

สำหรับการมาถึงของนาง คนที่รู้จักนาง แต่ละคนตกใจจนเบิกตาโพลง โดยเฉพาะป่ายเม่ยเซิงผู้ต้อนรับของเรือ ขณะที่เห็นเขาตาก็จ้องเขม็ง

เพียงแต่……

เมื่อนางเดินไปไกล แววตาของป่ายเม่ยเซิงกลับฉายแววความสับสนแวบหนึ่ง

หลานเยาเยาไม่ได้ไปหาหานแสโดยตรง แต่ไปอาณาเขตที่เหมาะสมกับนาง‘การแข่งขันการรักษา’ ห้องส่วนตัวที่เปิดจัดตั้งประลองความเป็นความความตายวิชาการรักษายาพิษ

ขณะที่เดินอยู่ที่ระเบียง คนดูแลผู้หนึ่งเห็นเข้าพอดี คนดูแลผู้นั้นเคยพบนางสองสามครั้ง รู้ว่านางเป็นผู้โจ้เจิ้งของการแข่งขันการรักษา

คนดูแลผู้นั้นประหลาดใจมาก รีบทำมือแสดงเคารพต่อนาง และสอบถามนางว่าต้องการเปิดห้องส่วนตัวการแข่งขันการรักษาหรือไม่

ถึงอย่างไร!

ห้องส่วนตัวการแข่งขันการรักษาก็ไม่ได้เปิดเลยสักครั้งเป็นเวลานานมากแล้ว

และลูกค้าที่มาถึงเรือแห่งความสิ้นหวัง เดิมทีมีจำนวนมากที่ต้องการลองแข่งวิชาการรักษาวิชายาพิษรวมถึงวิชาพิษกู่ แต่กลับพบว่าตอนนี้ห้องส่วนตัวการแข่งขันการรักษาไม่เปิดเป็นเวลานานหลายแรมปี เวลาล่วงเลยนานไป ห้องส่วนตัวการแข่งขันการรักษาก็ไม่มีคนถามข่าวคราวอีก

วันนี้ หากว่าเปิดใหม่อีกครั้ง จะต้องเกิดความโกลาหลขึ้นเป็นแน่ การค้าต้องล้นทะลักแน่นอน

“อืม เปิดตอนนี้! เจ้าไปช่วยข้าจัดการหน่อย”

“ขอรับ!”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในการแข่งขันการรักษา

หลานเยาเยานั่งอยู่ด้านหน้าของโต๊ะทำงานตัวยาวๆ ด้านหลังเป็นชั้นยาตั้งเรียงราย ด้านในวางยาสมุนไพรแต่ละชนิดที่ล้ำค่าและหายาก ไม่ว่ามีพิษหรือไม่มีพิษ ล้วนมีครบทุกชนิด

และด้านหน้าของนางได้มีผู้คนนั่งอยู่เต็มแล้ว อีกทั้งคนล้นหลามเป็นเหตุ ห้องส่วนตัวแทบจะเบียดกันไม่ได้แล้ว

ผู้ที่ไม่มีเก้าอี้นั่งก็ยืน

พวกเขาล้วนเป็นหมอ แม้ว่าวิชาการรักษาจะมีดีและไม่ดี แต่อย่างน้อยคนเยอะ และยินยอมจ่ายเหรียญเงิน

ถึงอย่างไร!

ต้องการเข้ามาที่ประตูใหญ่การแข่งขันการรักษาของนาง จำเป็นต้องจ่ายเหรียญเงินห้าร้อยตำลึง ราคานี้ในเรือแห่งความสิ้นหวังถือว่าแพงแล้ว

แต่เมื่อหมอเหล่านี้เห็นว่านางเป็นหมอเทวดาที่อยู่ในข่าวลือผู้นี้ ในแววตาก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและความหยิ่งยโส

ก็ผู้หญิงตัวเล็กๆที่งามหยาดเยิ้ม ข้าวที่กิน ยังไม่ได้เยอะเท่าเกลือที่พวกเขากิน กล้าเรียกตัวว่าเป็นหมอเทวดาอย่างคาดไม่ถึง ทั้งยังคิดราคาสูงขนาดนั้น

หรือว่า สองสามปีที่ผ่านมานี้ เรือแห่งความสิ้นหวังเงียบเหงาแล้วหรือ?

หาหมอเทวดาที่ดีหน่อยไม่พบ ไม่นึกเลยว่าจะให้ผู้หญิง ที่อายุน้องผู้หนึ่งมาแกล้งทำเป็นผู้ที่มีความสามารถ ชั่งไม่เห็นพวกเขาหมอเหล่านี้อยู่ในสายตา

เหล่าหมอที่มีอายุ ถามด้วยน้ำเสียงสั่งสอน :

“เจ้าก็คือหมอเทวดาในคำร่ำลือผู้นั้น? ที่ถูกเจ้าของเรือเรือแห่งความสิ้นหวังทะนุถนอมไว้ในมือก็กลัวสลายผู้นั้น?

ดูท่าทางแล้วนอกจากรูปร่างดีหน่อย ก็ไม่เท่าไหร่นี่! ใส่หน้ากากอันหนึ่งทำอะไร? เพราะละอายที่จะพบเจอคนหรือ?

หึ แต่ก็ถูก เช่นเจ้าเด็กสาวที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมประเภทนี้ เป็นวิชาการรักษานิดหน่อย ก็แสร้งทำเป็นสูงส่ง คาดว่าเจ้าก็คงรู้เพียงการแสดงที่จะยั่วยวนผู้ชายเล็กน้อยเท่านั้น

มิฉะนั้น เจ้าของเรือจะให้เจ้ามาเป็นผู้โจ้เจิ้งของการแข่งขันการรักษาได้อย่างไรกัน?”

ได้ยินคำพูดของเขา ยังไม่รอให้หลานเยาเยาตอบ คนข้างๆก็เริ่มพูดคล้อยตาม :

“ถูกถูกถูก เด็กสาวผู้หนึ่ง แม้ว่าจะเป็นวิชาการรักษาจะสามารถดีได้แค่ไหนเชียว? ข้าว่านะ วิชาการรักษานี้ไม่ต้องแข่งแล้ว ชดใช้เหรียญเงินสิบเท่าให้พวกเราตรงๆดีกว่า”

ห้องส่วนตัวการแข่งขันการรักษาห้องนี้ กฎเกณฑ์ก็คือ ประลองฝีมือวิชาการรักษาวิชายาพิษและวิชาพิษกู่ ขณะประลองฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย สามารถชนะผู้โจ้เจิ้งของเรือแห่งความสิ้นหวังได้ ก็จะได้รับเหรียญเงินเป็นสิบเท่าก็ค่าเข้าสนาม

“นี่พวกเจ้าพูดไปถึงไหนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้โจ้เจิ้งของการแข่งขันการรักษา หรือว่าพวกเจ้าไม่คิดจะไว้หน้าเจ้าของเรือสักหน่อยหรือ?

มามามา พวกเรามาประลองกัน ประลองอะไรล่ะ? ไม่เช่นนั้นก็ประลอง รู้จักยาสมุนไพรสักนิดเถอะ! เหล่านี้ง่ายดาย คิดว่าแม่นางผู้โจ้เจิ้งท่านนี้คงจะรู้จักยาสมุนไพรบ้างเล็กน้อย พวกเราอย่าทำให้ให้นางลำบากใจเกินไปเลย?”

พูดจาเช่นนี้ราวกับว่าทำดีเพื่อผู้โจ้เจิ้ง ความเป็นจริงในใจในดวงตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย

ผู้อื่นฟังแล้ว หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังขึ้นทันที

หลังจากหัวเราะเยาะเย้ยเสร็จ พวกเขามีบางคนที่กำลังคุยกันว่าวิชาการรักษาของตัวเองสะเทือนฟ้าสะท้านดินพิสดารขนาดไหน

จากนั้นก็ส่งสายตาที่เหยียดหยามมาทางหลานเยาเยาในบางเวลา

ราวกับกำลังบอกว่า :

ดูเอาเถอะ คนอื่นเป็นหมอ เจ้าก็เป็นหมอ เจ้ามีคุณูปการอะไรที่มีเสียงเสียงรุ่งโรจน์ล่ะ? คาดว่าล้างแผลให้ผู้อื่น ก็ตกใจจนปิดตาไปแล้วมั้ง!

หลานเยาเยาก็นั่งอยู่ตรงนั้น อารมณ์สงบจิตใจผ่อนคลาย ไม่โกรธและไม่เคือง มุมปากแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆตั้งแต่เริ่มต้นจบ

นางยื่นมือไปดันหน้ากากที่ใส่อยู่บนใบหน้า

ไม่คุ้นชิน ทั้งยังรู้สึกค่อนข้างอึดอัดอีก

รอจนพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันพอประมาณแล้ว นางก็เอ่ยปากอย่างเย็นชา :

“ในเมื่อท่านทั้งหลายล้วนดูถูกข้า เช่นนั้นก็เล่นให้ใหญ่สักหน่อย พวกเรามาเดิมพันความเป็นความตายกันดีกว่า”

น้ำเสียงของน้ำพอดี ไม่สูงไม่ต่ำ แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานที่ล้วนฟังได้อย่างชัดเจน

เมื่อเสียงนี้หลุดออกไป!

ก็เงียบงันในพริบตา หลังจากนั้นประมาณสามนาที ก็มีเสียงหัวเราะเหยียดหยามระเบิดออกมาอีกระลอกหนึ่ง น้ำเสียงที่หัวเราะตามอำเภอใจอย่างไม่กลัวเกรงใดๆนี้สูงกว่าก่อนหน้านี้