บทที่ 382 ปรับปรุงวิชาอัญเชิญเทพ เผ่าอสูรมาขอพึ่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 382 ปรับปรุงวิชาอัญเชิญเทพ เผ่าอสูรมาขอพึ่ง

‘ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดกำลังเรียกตัวข้า!’

หานเจวี๋ยคิดอยู่ในใจ ด้านหลังปรากฏวังวนดำขึ้นมา

หลังจบครานี้ไป ต้องยกระดับวิชาอัญเชิญเทพสักหน่อย เลี่ยงมิให้ต้องมาทำนายดูทุกครั้ง

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

หมื่นปีช่างเล็กน้อยด้อยค่านัก!

[สิงหงเสวียน]

สาวน้อยนางนี้…

หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจ มิใช่หลงเฮ่าก็ดี

ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขายังคงก้าวเข้าไปในวังวนดำ

วินาทีต่อมา หานเจวี๋ยทะลุผ่านวังวนดำมาปรากฏอยู่ในตำหนักหรูหรางดงามหลังหนึ่ง มีม้วนภาพและเครื่องหยกสารพัดจัดวางไว้ กลิ่นหอมจรุงใจอบอวลไปทั่วตำหนัก

หานเจวี๋ยมองเห็นสิงหงเสวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ บนโต๊ะมีสุราอาหารเลิศรสจัดวางอยู่เต็มไปหมด

ฉากที่ปรากฏ ทำให้หานเจวี๋ยอดไม่ได้ที่จะเงียบขรึมลง

สิงหงเสวียนแย้มยิ้มเอ่ยวาจา “ท่านพี่ มานั่งเถิด!”

“นั่งอันใด ข้าถ่ายทอดพลังวิเศษให้เจ้า เจ้ากลับนำมาใช้เช่นนี้น่ะหรือ”

“มาเถิด”

สิงหงเสวียนเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา ดึงหานเจวี๋ยเข้าไป

หานเจวี๋ยจนปัญญา นี่คืองานเลี้ยงหงเหมินหรือไร

หลังจากนั่งลง ทั้งสองคล้องแขนดื่มสุรา บรรยากาศเริ่มดูท่าไม่ค่อยดีแล้ว

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป อาภรณ์ของหานเจวี๋ยก็ถูกปลดเปลื้อง

….

หนึ่งเดือนผ่านไป

มีเสียงบุรุษแว่วมาจากด้านนอกตำหนัก “ธิดาเทพ วันนี้มีจักรพรรดิเซียนปรากฏตัวขึ้นเมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อแสดงโอวาท ข้ามีเทียบเชิญ ท่านอยากไปด้วยหรือไม่”

สิงหงเสวียนนั่งอยู่บนตัวหานเจวี๋ย ตอบกลับไป “ไม่ไป ช่วงนี้ปิดด่าน”

“จักรพรรดิเซียนท่านนี้ไม่ธรรมดา…”

“บอกว่าไม่ไปก็คือไม่ไป!”

“เอาเถอะ เจ้าฝึกบำเพ็ญต่อเถิด หากออกจากปิดด่านเมื่อไร มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

“อืม”

บุรุษที่อยู่นอกตำหนักจากไปแล้ว หานเจวี๋ยอดถามไม่ได้ “เขาคือผู้ใด”

ตำหนักหลังนี้มีผนึกพิเศษอยู่ ผู้ที่อยู่ภายนอกจะไม่สามารถรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านในได้

สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยความดูหมิ่น “ต้องยกคำพูดของท่านพี่มากล่าวเสียแล้ว ก็แค่คางคกอยากกินเนื้อหงส์ฟ้าเท่านั้น”

“อย่าไปสนใจเขาเลย พวกเราต่อกันเถิด”

“หือ ยังไม่พออีกหรือ”

“ไม่พอ ไม่มีวันพอ!”

….

เมื่อกลับถึงถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็พรูลมหายใจออกมา

หากมิใช่เพราะเขาบรรลุระดับเทพแล้ว หลังจากวิชาอัญเชิญเทพปิดลง เขาจะต้องบินลัดฟ้ากลับมายังแดนชำระบาปเก้าขุม ตอนนี้เขาสามารถเปิดเส้นทางกลับมาได้โดยตรง เขาลงตราประทับหกวิถีไว้ในถ้ำเทวาฟ้าประทาน สามารถค้นหาทางเชื่อมมิติได้

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้ม สาวน้อยคนนี้มักทำราวกับเขาเป็นพระถังซัมจั๋งก็มิปาน

เคี่ยวกรำกันอยู่หลายเดือน นับว่าได้ผ่อนคลายเช่นกัน

หานเจวี๋ยเริ่มศึกษาค้นคว้าวิชาอัญเชิญเทพแล้ว

สองปีผ่านไป

หานเจวี๋ยใช้ทักษะความเข้าใจระดับเทพยกระดับวิชาอัญเชิญเทพ นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาสามารถรับรู้ได้แล้วว่าเป็นผู้ใดที่เรียกตัวเขา

เขากำชับสิงหงเสวียนไปแล้ว หากไม่มีอะไรไม่ควรเรียกหาเขาส่งเดช!

หลังจากนางออดอ้อนเว้าวอนสารพัด หานเจวี๋ยจึงอนุญาตให้นางใช้ได้อย่างมากคือหนึ่งครั้งในร้อยปี

หลังจากยกระดับวิชาอัญเชิญเทพเสร็จสิ้น หานเจวี๋ยตัดสินใจจะใช้วิชาความฝันอันธการอีกครั้ง

ครั้งนี้ เขาต้องการเข้าฝันเซวี่ยหมิงเหอ

หนนั้นที่เซวี่ยหมิงเหอหนีออกจากแดนชำระบาปบังเอิญเข้ามาใกล้เกาะสำนักซ่อนเร้นพอดี หานเจวี๋ยคัดลอกข้อมูลของเขาไว้แล้ว ทราบรูปพรรณสัณฐาน สิ่งนี้ทำให้เข้าฝันเขาได้สะดวกมากขึ้น

ผ่านไปสักพักหนึ่ง

เข้าฝันสำเร็จ!

หานเจวี๋ยบังคับสร้างความฝันให้เซวี่ยหมิงเหอ ดึงเขาเข้าสู่ความฝันโดยตรง

ที่นี่คือดินแดนมืดมัวเต็มไปด้วยภูเขาไฟ หานเจวี๋ยแปลงกายเป็นเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ มืดมนน่าหวาดผวา

เมื่อเซวี่ยหมิงเหอลืมตาขึ้น ทันทีที่มองเห็นหานเจวี๋ยก็สะดุ้งสุดตัว แต่ทันใดนั้นคล้ายเขาจะตระหนึกถึงบางสิ่งได้ จึงสอบถามอย่างระมัดระวัง “หรือว่าใต้เท้าก็คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ”

เซวี่ยหมิงเหอรู้สึกว่าจู่ๆ ตนก็มาโผล่ในความฝัน แต่การที่สามารถบังคับดึงเขาเข้าสู่ความฝันได้ แสดงว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขา ระดับความแข็งแกร่งในความฝันก็เพียงพอจะแสดงถึงเจตนาดีของอีกฝ่ายแล้ว

รูปลักษณ์เช่นนี้…

นามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของเซวี่ยหมิงเหอก็คือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

หานเจวี๋ยถามด้วยความสงบ “แอบอ้างนามข้า สบายยิ่งนักใช่หรือไม่”

เมื่อเซวี่ยหมิงเหอได้ยินก็ราวกับถูกฟ้าผ่า คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว ประสานหมัดเอ่ยว่าจา “ผู้อาวุโสขอรับ ข้าและลัทธิอันธการเคารพเลื่อมใสในตัวท่านอย่างแท้จริง ยินดีรับใช้ท่านขอรับ!”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เจ้ามีเผ่าอสูรแล้ว เหตุใดต้องมารับใช้ข้าเล่า”

เซวี่ยหมิงเหอตอบด้วยความละอาย “ขอตอบอย่างไม่ปิดบัง เผ่าอสูรมีต้นกำเนิดมาจากทะเลโลหิตอสูรในยุคบรรพกาล พวกเรามิใช่เผ่าพันธุ์ที่มรรคาสวรรค์โปรดปราน ข้าแสวงหาโอกาสก้าวหน้ามาโดยตลอด หวังว่าท่านจะอนุญาตให้พวกเราได้รับใช้ท่านขอรับ!”

“นับจากนี้ไป เผ่าอสูรจะอยู่ใต้การบัญชาของท่าน ข้อเรียกร้องของพวกเราไม่สูงเลยขอรับ หวังเพียงว่าท่านจะปกป้องคุ้มครองพวกเรา”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พวกเจ้าเผ่าอสูรมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ หรือยังมิมีวิธีรับมือกับมหาเคราะห์อีก”

เซวี่ยหมิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มีจริงๆ ขอรับ แต่พวกเรามีแรงกรรมพัวพันกายมาตั้งแต่กำเนิด แรงบีบคั้นที่มรรคาสวรรค์มีต่อพวกเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านบงการมหาเคราะห์อยู่ในมุมมืด จะต้องบาดหมางกับมรรคาสวรรค์เป็นแน่ พวกเรานับว่าลงเรือลำเดียวกันแล้วขอรับ”

หานเจวี๋ยเงียบไป ไม่ได้พูดต่ออีก

เซวี่ยหมิงเหอหัวใจเต้นแรง หรือว่าตนจะพูดผิดไป?

หานเจวี๋ยจ้องมองเซวี่ยหมิงอยู่เงียบๆ เช่นนี้ นัยน์ตาสีม่วงแปลกประหลาดมองจนเซวี่ยหมิงเหอใจฝ่อขึ้นมา รีบก้มหน้าลงไป

ทั้งโลกเงียบสงัด

ผ่านไปพักใหญ่

ในขณะที่เซวี่ยหมิงเหอใกล้จะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว หานเจวี๋ยก็เปิดปากเอ่ยเนิบๆ ว่า “ได้ยินว่าเจ้าร่วมมือกับวังสวรรค์ อันที่จริงข้าและวังสวรรค์มิได้มีความเกี่ยวข้องกัน เหตุผลที่ไม่สาปแช่งวังสวรรค์ เป็นเพราะวังสวรรค์คือหมากสำคัญตัวหนึ่งของข้า”

เซวี่ยหมิงเหอเงยหน้ามองหานเจวี๋ยด้วยความแปลกใจ

“หากต้องการทำลายจักรวรรดิหนึ่ง จะต้องทำให้หลงลำพองจนมองไม่เห็นหัวทุกสิ่งเสียก่อน”

เมื่อเซวียนหมิงเหอได้ฟังก็กระจ่างแจ้งทันที

เขาเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง “เป้าหมายสูงสุดของท่านคือทำลายวังสวรรค์ หรือว่าล้มล้างรูปแบบของมรรคาสวรรค์ขอรับ”

หานเจวี๋ยตอบสั้นๆ “ข้าทำเพื่อตัวเอง”

เพื่อตัวเอง!

เซวี่ยหมิงเหอพลันมีความคิดผุดขึ้นมาสารพัด

คำตอบนี้เป็นคำตอบที่ทำให้เซวี่ยหมิงเหอยอมเชื่ออย่างง่ายดายยิ่ง

หากมิได้ทำไปเพื่อตัวเอง การบงการมหาเคราะห์จะมีประโยชน์อันใดเล่า

อีกฝ่ายต้องการพิสูจน์มรรคสำเร็จเป็นอริยะหรือ

[เซวี่ยหมิงเหอเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 4 ดาว]

หานเจวี๋ยกล่าวเสริมอีกว่า “ช่วยเหลือวังสวรรค์ต่อไปเถอะ ยามนี้มีอริยะสอดมือเข้าแทรกแซงมหาเคราะห์ ตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริงยังไม่เผยตัวออกมา เจ้าสามารถพึ่งพาวังสวรรค์เพื่อปกป้องตนเองไปก่อนได้ รอดูความเปลี่ยนแปลง”

อริยะสอดมือเข้ามาแทรกแซงหรือ

เซวี่ยหมิงเหอเบิกตากว้าง เหงื่อตกทันที

เขานึกถึงตำนานบรรพกาลเหล่านั้น

ขอเพียงอริยะเข้าร่วมมหาเคราะห์ เช่นนั้นโลกาล้วนจะล่มสลาย แม้แต่แดนเซียนก็ยากจะรักษาตัวให้รอดได้

[ค่าความประทับใจที่เซวี่ยหมิงเหอมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจตอนนี้คือ 4.5 ดาว]

เซวี่ยหมิงเหอกล่าวอย่างเคารพนบน้อม “ข้าน้อยรับบัญชา!”

ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยโบกมือ ความฝันพังทลายลงทันที

เซวี่ยหมิงเหอกลับสู่ความเป็นจริง เมื่อนึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ รู้สึกมหัศจรรย์ใจยิ่ง

นี่น่ะหรือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

ช่างสูงส่งลึกล้ำโดยแท้!

….

ภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยยังคงใคร่ครวญอยู่ว่ามีผู้ใดให้ใช้ประโยชน์ได้อีก

นอกจากเซวี่ยหมิงเหอ เขาก็ไม่ทราบแล้วว่ามีผู้ใดบ้างที่เลื่อมใสในตัวเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ

แล้วไปเถิด

เท่านี้ก่อนแล้วกัน

หานเจวี๋ยปลุกเร้าความกระฉับกระเฉง ฝึกบำเพ็ญต่อ

ช่วงที่ผ่านมานี้เป็นเพราะสิงหงเสวียน ทำให้เวลาฝึกบำเพ็ญเชื่องช้าลง จำเป็นต้องชดเชยเวลากลับมา

ระดับความเร็วในการดูดซับแรงกรรมของหานเจวี๋ยพัฒนาขึ้นอย่างมั่นคงเสมอมา ตอนนี้อยู่ห่างจากระดับปฐมเทพขั้นสี่ไม่นับว่าไกล อย่างน้อยก็พอจะมองเห็นสัญญาณบ้างแล้ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

สามสิบปีผ่านไป

หลิวเป้ยกลับมาแล้ว เร็วกว่าที่หานเจวี๋ยคาดการณ์ไว้

หลิวเป้ยมีสีหน้าเบิกบาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน สถานที่แบบที่ท่านต้องการ ข้าหาพบแล้ว! ยอดเยี่ยมกว่าแดนชำระบาปเก้าขุมเสียอีก!”

………………………………………………………………