บทที่ 392 พวกเราคือผู้เผยแพร่คำสอนที่แท้จริง

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 392 พวกเราคือผู้เผยแพร่คำสอนที่แท้จริง

บทที่ 392 พวกเราคือผู้เผยแพร่คำสอนที่แท้จริง

ไป๋ชิวหรานเกิดอาการตื่นตระหนก เขาเกือบจะวิ่งออกไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลินเซิง เจ้าหน้าที่สองคนซึ่งเดินตรวจตราอยู่บนถนนก็หันกลับมา และเดินเข้ามาหาไป๋ชิวหรานผู้ยืนอยู่ตรงนั้น

“ลัทธิอะไร?”

เจ้าหน้าที่ทั้งสองเดินเข้ามาพร้อมอาวุธในมือ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“นายท่าน เขาคือผู้นำลัทธิคลั่ง!”

หลินเซิงชี้ไปที่ไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าวต่อ

“เมื่อปีที่แล้วที่ผิงโจว ข้าถูกชายคนนี้ขวางทางเพื่อเผยแพร่คำสอนบางอย่าง แล้ววันนี้เขายังมาที่ตู่โจว แถมพยายามล่อลวงสหายของข้า”

“โอ้!” เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปถามจินเฟิ่งหลาย “แล้วชายผู้นี้สั่งสอนอะไรเจ้า?”

“เขาขอให้ข้าศรัทธาต่อเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน”

จินเฟิ่งหลายตอบอย่างซื่อตรง

“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน? โอ้ เข้าใจแล้ว” เจ้าหน้าที่ทั้งสองหยิบกุญแจมือออกมา และจับกุมหลินเซิงที่ยังคงตะโกนไม่หยุด “เจ้ามากับข้า!!”

“ฮะ?” หลินเซิงมองกุญแจที่ข้อมือของตนเองด้วยความรู้สึกสับสน “นายท่าน! จับคนผิดแล้ว เขาต่างหากที่เป็นพวกลัทธิคลั่ง!!”

“ว่าไงนะ… เจ้าเรียกว่าลัทธิอะไรนะ?” เจ้าหน้าที่อีกคนคำรามอย่างเดือดดาล “เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเป็นความศรัทธาที่องค์จักรพรรดิเลือก มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าสิ่งนี้คือสัญลักษณ์ประจำอาณาจักรของเรา ตอนนี้เจ้าบอกว่าผู้ที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์นี้เป็นพวกลัทธิคลั่งงั้นหรือ เจ้ามีเจตนาใดกันแน่?”

“อืม…” ไป๋ชิวหรานเกาศีรษะก่อนจะยิ้มยียวนกวนบาทา “ตอนนี้ราชสำนักรับรองพวกเราแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เคยทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้ต้องขอโทษพี่ชายแล้ว…”

หลินเซิงถึงกับหวาดกลัว เหงื่อแตกพลั่ก เมื่อเห็นท่าทีลับ ๆ ล่อ ๆ ของไป๋ชิวหราน เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังทำสิ่งมิดีมิร้ายโดยไม่ทันตรวจสอบ

“ไปได้แล้ว อย่าให้ข้าต้องลงมือ” เจ้าหน้าที่พาหลินเซิงเดินตรงไปยังศาลาว่าการประจำเมืองของเมืองตู่โจว “หากองค์จักรพรรดิทรงพิโรธที่เจ้ากล่าวล่วงเกินสำนักของพระองค์ ชีวิตของเจ้าคงไม่พบจุดจบที่ดีแน่! ข้าขอแนะนำให้เจ้าสงบปากสงบคำไว้ซะ”

หลินเซิงไม่กล้าขัดขืน หากต่อต้าน สำนักของเขาจะโดนร่างแหไปด้วย ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของอาจารย์จะได้รับผลกระทบ แต่สำนักกระบี่หลัวซาทั้งหมดต้องประสบโชคร้าย เขาจึงทำได้เพียงติดตามเจ้าหน้าที่อย่างไร้หนทาง เดินตรงสู่ศาลาว่าการประจำเมืองอย่างว่าง่าย

“พี่ชาย ไม่มีใครเกะกะอีกแล้ว…”

ไป๋ชิวหรานไม่คิดสนใจหลินเซิง เขาหันกลับมาหาจินเฟิ่งหลายพร้อมกล่าวต่อ

“ให้ข้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานให้ฟังเถิด”

“ขอโทษ… ไว้คราวหน้า” จินเฟิ่งหลายโค้งคำนับต่อไป๋ชิวหรานก่อนจะกล่าว “ข้าขอโทษที่เราเข้าใจผิดคิดว่าท่านคือพวกลัทธิคลั่ง แต่ศิษย์พี่หลินคือสหายของข้า ข้าจึงต้องพาเขาออกมาก่อน”

พูดจบ เขาก็วิ่งตรงไปที่ศาลาว่าการประจำเมืองทันที

“แย่จริง ๆ ข้านี่ไม่มีพรสวรรค์เลยหรือไร?”

ไป๋ชิวหรานส่ายศีรษะและกำลังจะจากไป ทว่าฝีเท้าของเขาก็หยุดลงอีกครั้ง

“ไม่… หากกลับไปมือเปล่า จะต้องถูกจิ่นเหยาและศิษย์ไม่คู่ควรผู้นั้นเย้ยหยันแน่นอน แบบนี้ไม่ดีแน่ เช่นนั้นเทพองค์นี้จะต้องนำศิษย์ติดไม้ติดมือกลับไปสักคนสองคน”

หลังจากคิดไตร่ตรอง เขาก็เดินตามจินเฟิ่งหลายและมุ่งสู่ศาลาว่าการประจำเมืองของเมืองตู่โจวทันที

หลังจากที่ทั้งสามคนจากไปแล้ว ชายและหญิงสองคนในร้านอาหารข้าง ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ตกใจหมด!” สตรีที่ค่อนข้างอวดดีตบหน้าอกตนเองเบา ๆ “ข้าได้ยินว่าน้องชายคนนั้นตะโกนว่า ‘ลัทธิคลั่ง’ บนถนน ข้านึกว่าเราจะถูกจับได้เสียแล้ว”

“ฮึ่ม พวกไร้ยางอาย” ชายผู้นั้นกล่าวดูหมิ่น “ยังไงเสีย การคาดเดาของท่านเจ้าสำนักนั้นก็ยอดเยี่ยม มีผู้ศรัทธาในเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเข้าร่วมงานสมาพันธ์กระบี่นี้ เจ้าจดจำได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นหน้าตาเป็นเช่นไร?”

“จำได้”

นางตอบ

“ดี”

ชายผู้นั้นกล่าวตอบอย่างพึงพอใจ

“หากมีโอกาสก็ลองคุยกับเขา คนผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ศรัทธาและมีสถานะสูงส่งในสำนักของเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน”

“เข้าไป!” หลินเซิงถูกเจ้าหน้าที่โยนเข้าไปห้องด้านในศาลาว่าการประจำเมือง ห้องนี้คล้ายกับห้องทำงานใหญ่ของผู้นำระดับสูง มีชายสวมเครื่องแบบกำลังถือพู่กันเขียนบันทึกบางสิ่งด้วยท่าทีจริงจังอยู่บนโต๊ะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพราะงานสมาพันธ์กระบี่ถูกจัดขึ้นที่เมืองตู่โจว ผู้คนจึงหลั่งไหลเข้ามากันมากมายจนเกิดข้อพิพาทจากคนของเจียงหูมากขึ้น การต่อสู้ทั้งหมดบนท้องถนน และการทะเลาะวิวาทต่าง ๆ ไม่อาจถูกกองกำลังของราชสำนักจัดการได้หมดสิ้น เช่นนี้ศาลาว่าการประจำเมืองจึงต้องแบกรับหน้าที่เหล่านี้ไปด้วย

เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นหลินเซิงที่เข้ามาใหม่ ชายระดับสูงก็ถอนหายใจก่อนจะกล่าวถามว่า

“ทำอะไรมาอีกล่ะ? ทะเลาะกัน?”

“ไม่ใช่ มันยิ่งใหญ่กว่านั้น” เจ้าหน้าที่ตอบกลับ “เขาตะโกนบนถนนว่า เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานคือพวกลัทธิคลั่ง”

“โอ้…” หลังจากได้ยินเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมเหลือบมองหลินเซิง “หนุ่มน้อย… นี่มันความผิดร้ายแรง พฤติกรรมของเจ้านับว่าเป็นเรื่องใหญ่ นี่คือความผิดฐานดูหมิ่นองค์จักรพรรดิ สมควรถูกประหารชีวิต”

“ด… ได้โปรดเถิดท่าน” หลินเซิงรีบอ้อนวอน “ข้าเพียงเข้าใจผิด เมื่อก่อนนี้ที่คนผู้นั้นมาเผยแพร่ให้ข้ารู้จักเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน วันนั้นเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่อาจปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นคงอธิบายเรื่องนี้ต่อเบื้องบนซึ่งลำบากไม่น้อย” เจ้าหน้าที่พลิกเอกสารไปมาก่อนจะกล่าวต่อ “อ่า… ค่าปรับยี่สิบตำลึงสำหรับการทะเลาะวิวาทบนท้องถนน กฎของเราที่นี่คือผู้แพ้จะต้องจ่ายเงินเป็นสองเท่า เอาล่ะ! ข้าจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นการทะเลาะวิวาทแล้วกัน เจ้ามานี่และจ่ายเงินสี่สิบตำลึง แล้วข้าจะจัดการเรื่องราวให้ เมื่อนั้นจึงสามารถกลับไปได้”

“เอ่อ… สี่สิบตำลึง…”

หลินเซิงกลายเป็นกังวล เขาไม่อยากรับโทษ แต่อย่างไรแล้วก็ไม่อยากหลบเลี่ยง ด้วยเกียรติลูกหลานแห่งเจียงหู การถูกราชสำนักฟ้องร้องอาจเป็นเรื่องที่ ‘สมควร’ ยอมรับให้ได้ แต่หากให้เขาจ่ายเงินมากถึงสี่สิบตำลึงก็ยากเกินไป

จินเฟิ่งหลายเป็นบุตรชายของเจ้าสำนักดาบปีกผีเสื้อทองคำ การหยิบเงินออกจากกระเป๋ากว่ายี่สิบตำลึงยังรู้สึกเจ็บปวด ส่วนหลินเซิงเป็นศิษย์สายตรงของสำนักกระบี่หลัวซา หลัวเทียนซ่งเป็นเพียงอาจารย์ของเขาแต่ไม่ใช่บิดา ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่จำเป็นต้องช่วยเหลือเขาในการจ่ายค่าปรับ

“อะไร? เจ้าไม่มีเงินงั้นหรือ?” เมื่อเห็นใบหน้าของหลินเซิงเริ่มหดหู่ เจ้าหน้าที่จึงกล่าวต่อ “หากมีไม่พอ เราจะส่งคนไปรับเงินที่บ้านของเจ้าแทน”

ปัญหาก็คือต่อให้พาคนไปที่บ้าน พวกเขาก็ไม่ได้เงินมากมายเช่นนั้นอยู่ดี…

หลินเซิงพึมพำในใจ

“ข้าไม่มี…” เจ้าหน้าที่ยกนิ้วโป้งชี้ไปด้านหลัง “งั้นก็อยู่ที่นี่กับพวกเราสักสองสามวันแล้วกัน!”

ผู้ฟังหน้าเสียไปถนัดตา แต่จะให้หาเงินมากมายเช่นนั้นก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน

ขณะที่หลินเซิงกำลังคิดว่าทำไมไม่อยู่รับประทานอาหารที่นี่สักสองสามวันกันล่ะ… เจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับจินเฟิ่งหลาย

“ศิษย์พี่หลิน” เขาจับมือของหลินเซิงพร้อมกับหยิบเงินในกระเป๋าออกมาโดยไม่กล่าวอะไร “เจ้าต้องถูกกระทำเช่นนี้ก็เพราะช่วยเหลือข้า เช่นนั้นข้าจะให้ยืมก่อน”

“ศิษย์พี่จิน” หลินเซิงตื้นตันยิ่งนัก “ท่านคือพี่ชายที่ดีของข้า…”

“อย่าได้กล่าวเรื่องอื่นเลย” จินเฟิ่งหลายยิ้มและถามต่อ “แล้วค่าปรับของเจ้าคือเท่าใดหรือ?”

“ทั้งหมดสี่สิบตำลึง”

เจ้าหน้าที่ตอบให้แทนด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ทะ… เท่าไหร่นะ?”

มือของจินเฟิ่งหลายถึงกับแข็งทื่อ

“สี่สิบตำลึง”

เจ้าหน้าที่ย้ำ

“มากขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ดวงตาของจินเฟิ่งหลายเบิกกว้าง

“แต่ข้าที่ทะเลาะวิวาทบนท้องถนนถูกปรับเพียงยี่สิบตำลึง”

“เขากล่าววาจาไร้สาระ สิ่งที่เขากล่าวออกมามันร้ายแรงยิ่งกว่าการต่อสู้ของเจ้ามาก มีบางสิ่งในโลกที่ไม่อาจกล่าวล่วงเกินได้ รู้หรือไม่ว่าข้าสามารถรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิแล้วตัดหัวเขาได้”

ผู้นำเจ้าหน้าที่กล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว

“เอ่อ…”

จินเฟิ่งหลายเม้มริมฝีปาก ก่อนจะหันมากล่าวกับหลินเซิง

“ตอนนี้ข้าไม่ได้มีเงินมากเช่นนั้น ข้าจึงต้องกลับไปเอา…”

“ไม่จำเป็น”

ขณะนั้น ไป๋ชิวหรานก็เดินเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกคน เขาหยิบถุงเงินออกจากอ้อมแขน แล้วกล่าวกับเจ้าหน้าที่ด้วยเสียงราวพระโพธิสัตว์

“ข้าจ่ายค่าปรับให้เขาแล้ว”