ตอนที่ 402 เป็นญาติของท่านแม่ทัพ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 402 เป็นญาติของท่านแม่ทัพ

เดิมทีหลินเว่ยเว่ยก็เป็นคนชอบกินปลาอยู่แล้ว หลังจากทะลุมิติมาก็พอดีเป็นช่วงภัยแล้ง ปลาจึงมีราคาแพงและหาซื้อได้ยากมาก นี่ก็ผ่านมาเกือบหนึ่งปีแล้วนางได้กินปลาแค่ไม่กี่ตัว เมื่อเห็นว่าที่นี่มีปลาสด ๆ กองขายเหมือนภูเขาลูกเล็กจึงเป็นธรรมดาที่จะอดใจไม่ไหว

หลินจื่อเหยียนเห็นพี่รองซื้อปลาตัวแล้วตัวเล่าจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนนางว่า “พี่รอง ปลามากมายขนาดนี้เราจะขนกลับได้หรือ ? อย่าปล่อยให้เน่าระหว่างทางเลย น่าเสียดายจะตาย ! ”

หลินเว่ยเว่ย ‘บ้า’ ไปแล้ว นางไม่ฟังคำเตือน “ไม่เป็นไร ใส่น้ำแข็งไว้เยอะ ๆ หน่อย หรือไม่ก็เตรียมดินประสิวไว้ก็ได้ ไม่มีทางเน่าเสียหรอก…”

แต่คำพูดของเจียงโม่หานสามารถทำให้หลินเว่ยเว่ยหยุดเหมาซื้อปลาอย่างบ้าคลั่งได้ “แม้พวกเราเดินทางโดยรถม้า แต่รถม้าคันนั้นก็บรรทุกปลามากมายขนาดนี้ไม่ไหวหรอก หรือเจ้าคิดจะหาบปลาแล้วเดินไปตามถนน ? ”

จริงสิ ! ถ้าซื้อมากเกินไปจะขนลำบาก รู้อย่างนี้ไม่พาบัณฑิตอ่อนแอสองคนนี้มาด้วยก็ดี เพราะหากนางมาเองแล้วอยากใส่อะไรเข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคิดหนักเรื่องการขนย้าย

“ถ้าอย่างไร…เราซื้อรถม้าอีกสักคันดีหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความไม่พอใจ

เจียงโม่หานย้อนถาม “พอกลับไปแล้ว เจ้าคิดจะกินปลาสักกี่วัน ? ”

เอาเถิด ! หลินเว่ยเว่ยรู้ตัวว่าไม่ใช่แมว ถ้าให้กินปลาทุกวันก็คงไม่ไหว เฮ้อ ต่อไปจะยังได้เห็นสถานที่มีปลาเยอะและหลากหลายขนาดนี้อีกหรือเปล่า หลินเว่ยเว่ยแอบตัดสินใจว่าอีกประเดี๋ยวจะหาทางสลัดเจ้าสองคนนี้ทิ้ง แล้วซื้อปลาเพิ่มเพื่อเก็บเข้ามิติน้ำพุวิญญาณอีกหน่อย !

ในตลาดการค้าข้ามเขตแดน ชาวตงหูมักจะใช้ขนสัตว์ สมุนไพรล้ำค่าหรือพวกม้า วัวและแกะมาแลกเปลี่ยน ส่วนชาวต้าเซี่ยใช้ธัญพืช ใบชา ผ้าไหม เครื่องลายคราม เกลือ เหล็กและของอื่นๆ มาแลก ทว่าพวกเกลือ เหล็กและธัญพืชมีปริมาณจำกัด ชาวตงหูส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่กินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลักจึงค่อนข้างชอบใบชามากกว่า เพราะในสายตาของพวกเขาแล้ว ใบชาสามารถช่วยขจัดพิษได้ ทั้งยังสามารถช่วยย่อยอาหารและลดไขมัน

พ่อค้าขายใบชาสองสามเจ้าเป็นที่ต้อนรับมาก มีแต่ชาวตงหูเข้ามารายล้อมที่แผง คราวนี้พวกหลินเว่ยเว่ยไม่ได้เอาอะไรมาแลกจึงได้แต่ใช้เงินซื้อของ มีชาวตงหูบางกลุ่มที่ไม่รับเงินเพราะต้องใช้ของแลกเท่านั้น ในมิติน้ำพุวิญญาณของหลินเว่ยเว่ยมีข้าวและธัญพืชอยู่ แต่เอาออกมาไม่ได้ นางจึงได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองของที่ชอบ

ส่วนเรื่องซื้อที่ดินแล้วสร้างร้านที่เขตอวี้อันถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี เนื่องจากตัวนางก็ถือเป็นวีรสตรีคนหนึ่ง มีชื่อเสียงในกองทหารรักษาการณ์ เจ้าหน้าที่ประจำที่ว่าการเขตอวี้อันจึงไม่ได้สร้างปัญหาแก่นางและให้ราคาซื้อขายอย่างยุติธรรม

แต่เรื่องสร้างร้านทำให้นางต้องลำบากใจ หรือจะต้องรอให้บัณฑิตน้อยสอบเสร็จแล้วจริง ๆ จึงจะมาจัดการเรื่องนี้ได้ ? ภายในกลุ่มชาวบ้านที่นางช่วยไว้มีช่างก่อสร้างฝีมือดีคนหนึ่ง หลังจากรู้ว่านางจะสร้างร้านตรงบริเวณชานเมืองฝั่งตะวันออก เขาก็พาพี่น้องทั้งหลายมาอาสาช่วยสร้างด้วยตนเอง…ค่าแรงจะให้เท่าไหร่ก็ได้ หรือจะไม่ให้ก็ไม่เป็นไร !

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด ก่อนจะอธิบายถึงแบบบ้านที่ตัวเองต้องการจะสร้าง…ด้านหน้าเป็นร้านค้า ด้านหลังเป็นบ้านเจ้าของร้าน ดีที่สุดต้องมีลานกว้าง ปีกทางซ้ายและขวาของบ้านต้องสร้างให้กว้างเหมือนโกดังเก็บของ ตัวบ้านก่อด้วยอิฐ เรื่องวัสดุในการก่อสร้าง แม้แต่ต้องใช้เวลานานเท่าไรหรือใช้งบประมาณแค่ไหนก็คุยกับช่างก่อสร้างคนนั้นจนหมด

ช่างก่อสร้างที่มีนามว่าหลี่เลี่ยงคนนั้นคิดตามราคาค่าวัสดุของฝั่งเมืองชายแดนและช่วยนางปรับงบประมาณ ร้านค้าจำนวนสิบร้านจึงสามารถช่วยนางประหยัดเงินได้หลายสิบตำลึง !

หากไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของร้านแล้วประหยัดเงินได้ เหตุใดนางจะไม่ทำ ? หลินเว่ยเว่ยพอใจต่อการประหยัดงบประมาณในครั้งนี้และยกเงินส่วนหนึ่งให้เป็น ‘โบนัส’ แก่พวกเขา

โบนัส ? ก็คือตกรางวัลกระมัง ? นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เลี่ยงได้ยินคำศัพท์ใหม่ ๆ ด้านหลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เหมือนกัน ตกรางวัลคือการให้ของขวัญโดยที่พวกท่านไม่ได้ทำอะไรเลย แต่โบนัสคือรางวัลพิเศษสำหรับการที่พวกท่านทำงานอย่างหนัก นี่เป็นสิ่งที่พวกท่านสมควรได้รับ ! ”

บัณฑิตชนชั้นนำ เกษตรกร กรรมกรและพ่อค้า เดิมทีกรรมกรก็มีฐานะไม่สูงอยู่แล้วจึงมักโดนดูถูกบ่อยครั้ง นายจ้างก็เรื่องเยอะ หาเหตุผลต่างต่างนานามาหักค่าจ้างพวกตน

หลี่เลี่ยงไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการทำงานดี ๆ ให้เจ้าของบ้านยังจะได้รับเงินอย่างอื่นเพิ่มเติม เจ้าของบ้านบอกว่าเงิน ‘โบนัส’ เป็นสิ่งที่พวกตนสมควรได้รับ แต่ไม่ใช่การบริจาคให้ทาน เจ้าของบ้านยังบอกเขาว่าทุกคนที่ทำงานอย่างตั้งใจล้วนคู่ควรจะได้รับการยกย่อง…

พี่หลี่ที่อยู่ประจำกองทหารรักษาการณ์ พอรู้ข่าวที่พวกนางคิดจะสร้างบ้านและร้านค้าตรงชานเมืองฝั่งตะวันออก แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องวิ่งมาซื้อที่ดินและสร้างร้านค้าไกลขนาดนี้ แต่เขาก็ยังแสดงออกว่าหากไม่ติดงานหลักก็จะคอยมาจับตาดูให้

คราวนี้บาดแผลที่พี่หลี่ได้รับล้วนเป็นบาดแผลภายนอก ไม่ได้ร้ายแรงถึงกระดูกและเส้นเอ็น แผลหนักสุดก็คือบริเวณไหล่ ต้องใช้เวลารักษาตัวประมาณ 8-10 วันก็หายขาด

เพราะความกล้าหาญในครั้งนี้ เขาสามารถสังหารโจรโฉดตงหูไปได้หลายคน พี่หลี่จึงได้เลื่อนตำแหน่งจากนายสิบกลายเป็นนายร้อย ลูกน้องใต้บัญชาจาก 10 นายก็เพิ่มเป็น 100 นายภายในพริบตา หลังรอให้บาดแผลหายดีแล้ว เขาก็เข้ารับตำแหน่งทันที หน้าที่ยังเป็นการลาดตระเวนและดูแลความสงบภายในตลาดการค้าข้ามเขตแดนแห่งนี้

หลินเว่ยเว่ยแสดงความยินดี พี่หลี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ใช่เพราะบารมีของหลินกู่เหนียงหรอกหรือ ? หากไม่ได้ลูกศรไม้ไผ่ของเจ้า พี่หลี่คนนี้ก็คงตายภายใต้คมดาบโจรตงหูไปแล้ว เจ้าไม่เพียงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้ แต่ยังเป็นดาวนำโชคของข้าอีกด้วย ! ”

หลินเว่ยเว่ยรีบพูด “ฟังพี่หลี่พูดเข้าสิ ! แม้คนไม่รู้จักมาเสี่ยงอันตรายอยู่ตรงหน้า ข้าก็จะช่วยเหมือนกัน นับประสาอะไรกับผู้ที่เคยกินแกะย่างตัวเดียวกันมาก่อน ? พี่หลี่เองก็ฝีมือร้ายกาจ คนเดียวสู้กับโจรตงหูได้ตั้งสี่ห้าคน สีหน้าของท่านยังดูไม่หวาดกลัวอีกด้วย ! ” ขณะพูด หลินเว่ยเว่ยยังยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา

พี่หลี่พูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ใครบอกว่าข้าไม่กลัว ? แต่ตอนนั้นไม่มีทางให้ถอยแล้ว แม้จะกลัวก็ต้องกัดฟันสู้ ! พวกทหารดูแลชาวบ้านอย่างเรามีเพียงต้องต่อสู้อย่างโชกเลือด ถึงจะได้มีวันลืมตาอ้าปาก ! ”

พอเข้าร่วมกองทัพแล้วก็จะกลายเป็นทหารไปหลายชั่วอายุคน ต้องไต่เต้าขึ้นไปให้สูงมากพอจึงจะมีโอกาสพาคนในครอบครัวหลุดพ้นจากฐานะยากจน เขาเพิ่งได้เป็นนายร้อย เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล !

“ใครต่างก็บอกว่าถ้ารอดจากความตายมาได้ย่อมมีโชคลาภรออยู่ ถ้าต่อไปพี่หลี่ขึ้นเป็นแม่ทัพแล้ว เห็นน้องอย่างข้าก็อย่าลืมกันล่ะ ! ” หลินเว่ยเว่ยรีบทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาขึ้น

พี่หลี่หัวเราะฮ่าฮ่า “ขอให้เป็นอย่างที่เจ้าพูด รอให้ข้าขึ้นเป็นแม่ทัพแล้วจะต้องจดจำน้องสาวอย่างเจ้าได้แน่นอน ! จริงสิ แม่ทัพของพวกเราก็เป็นคนอำเภอเป่าชิง กู่เหนียงก็แซ่หลิน อาจเป็นญาติห่างๆ กันก็ได้ ? แบบนั้นข้าคงไม่กล้าอาจเอื้อม ! ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “อำเภอเป่าชิงกว้างใหญ่ คนแซ่หลินก็มีอยู่ไม่น้อย ข้าสามารถบอกท่านได้อย่างมั่นใจว่าบ้านเราไม่มีญาติเป็นแม่ทัพ ! ”

ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยยังเดินเล่นที่ตลาดอีกหนึ่งวันแล้วจึงเดินทางกลับ พี่หลี่พาลูกน้องสองสามนายมาส่งพวกนาง แม้แต่หมินอ๋องซื่อจื่อก็ยังส่งคนสนิทมามอบม้าดีให้หลินเว่ยเว่ยหนึ่งตัว…เป็นม้าที่จับได้ตอนปราบปรามโจรตงหู พี่หลี่ก็มอบแกะให้สองสามตัว…แกะตัวเป็น ๆ !

ตอนที่หลินเว่ยเว่ยนั่งอยู่บนหลังม้าตัวที่หมินอ๋องซื่อจื่อมอบให้ นางก็หันไปมองรถม้าที่เต็มไปด้วยปลาแช่แข็งแล้วยังมีแกะสองสามตัวอยู่หลังรถม้า จากนั้นนางก็หันมาหยอกอินทรีทองบนบ่า “คราวนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยวจริง ๆ ได้ของกลับไปเยอะมาก ! ”

หลินจื่อเหยียนมีสีหน้าบูดบึ้งพลางนั่งบีบจมูกอยู่บนรถม้า “เพื่อปลาเหล่านี้แล้ว พี่รองถึงขั้นรื้อรถม้าที่มีราคาแพงกว่าปลาพวกนี้ตั้งเยอะ ! ”