ตอนที่ 429 วังสวรรค์หมื่นวิมานมีแขกมาเยือน

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 429 วังสวรรค์หมื่นวิมานมีแขกมาเยือน

ไป๋เหยาเดินออกไป ทั้งสามคนที่อยู่ในห้องมองกันไปมองกันมา เผิงโย่วไจ้ออกเดินทางไปอย่างเร่งด่วน ส่วนทางนี้ต้องย้อนกลับไปที่เมืองซั่งผิง น่าจะมีสาเหตุอยู่เป็นแน่ ทั้งสามต่างรับรู้ได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างผิดปกติ

ซางซูชิงลองถามหยั่งเชิง “หรือจดหมายฉบับนั้นของเต้าเหยี่ยจะได้ผล?”

ไม่รู้! ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงเองก็รู้สึกสับสนเช่นกัน ไม่อาจหาคำตอบได้

“เก็บของแล้วไปกันเถอะ!” ซางเฉาจงลังเลกับคำสั่งอยู่เล็กน้อย แต่สำนักหยกสวรรค์สั่งให้เขาไปที่ไหนเขาก็ต้องไปที่นั่น ไร้อิสระและไร้ทางเลือก

เมื่อเก็บของเสร็จ ทั้งกลุ่มก็เดินออกมาด้านนอกจุดพักม้า ศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์เองก็รีบมารวมตัวกัน

เฟิ่งรั่วหนานเองก็เดินออกมาเช่นกัน ซางเฉาจงไปที่ใดนางก็ต้องไปด้วย ทั้งขุ่นข้องในสำนักหยกสวรรค์ แล้วก็รู้สึกละอายใจจนไม่รู้ว่าสมควรจะเผชิญหน้ากับซางเฉาจงอย่างไร เข้ากับฝ่ายใดไม่ได้ทั้งนั้น ภายในใจรู้สึกขมขื่น จมอยู่ในความโดดเดี่ยว อยู่ในห้องเพียงลำพัง

นางมิใช่คนโง่ มาถึงตอนนี้แล้ว ไหนเลยจะยังไม่ทราบอีกว่าท่านตาและบิดามารดาของตนร่วมมือกันเล่นงานสามีตนอยู่ แล้วนางควรจะทำอย่างไร? จะให้นางแตกหักกับบิดามารดาของตนหรือ?

นางค่อยๆ เดินเข้าไปรวมตัวกับทางฝั่งซางเฉาจง หลานรั่วถิงประสานมือคารวะ ยังคงให้เกียรติอยู่ ส่วนซางเฉาจงเพียงเหลือบมองอย่างเย็นชาคราหนึ่ง ในแววตาคล้ายจะปรากฏแววตาดูแคลนที่ยากจะสังเกตเห็นเอาไว้

เฟิ่งรั่วหนานทรมานใจนัก กลับเป็นซางซูชิงที่เดินเข้ามา ยื่นสองมือมากุมมือนางไว้ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่สะใภ้”

“อื้อ!” เฟิ่งรั่วหนานฝืนยิ้มเล็กน้อย

หลังจากสังเกตดูเล็กน้อย พวกซางเฉาจงเองก็มองออกว่าสีหน้าของบรรดาผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์ค่อนข้างตึงเครียด อีกทั้งผู้อาวุโสเหล่านั้นก็คอยเหลือบมองมาทางนี้เป็นระยะอย่างเห็นได้ชัด แววตาดูซับซ้อน

จุดนี้ยิ่งทำให้ทั้งสามมั่นใจมากกว่าเดิมว่าเกิดเหตุบางอย่างขึ้นแล้ว

สำนักหยกสวรรค์ปิดกั้นข่าวสารจากพวกเขา ทั้งสามจึงยังไม่ทราบว่าราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้ว

ทุกคนมากันพร้อมหน้า จากนั้นเฉินถิงซิ่วก็ออกคำสั่งให้ทุกคนขึ้นหลังม้า ขบวนม้ากลุ่มใหญ่วิ่งห้อออกจากจุดพักม้า ควบม้าฝุ่นตลบไปตามเส้นทางหลวง ย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม

……

ช่วงกลางดึก แสงคบเพลิงบนกำแพงเมืองซั่งผิงลุกโชน ประตูเมืองเปิดชั่วคราว ขบวนม้ากลุ่มหนึ่งที่มีพวกซางเฉาจงรวมอยู่ด้วยควบม้าผ่านเข้าเมืองไป เกิดเสียงดังรบกวนความสงบในตัวเมืองที่อยู่ใต้ความมืดยามค่ำคืน ทำให้ตะเกียงในบ้านเรือนประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกจุดสว่างขึ้นมา

ยังคงเป็นเรือนหลังเดิม พวกซางเฉาจงถูกส่งตัวกลับมายังเรือนที่เคยใช้กักบริเวณพวกเขาก่อนหน้านี้

เป็นค่ำคืนแห่งการขบคิด คนมากมายยากจะข่มตาหลับได้ พวกซางเฉาจงเองก็เช่นกัน กำลังวิเคราะห์หาข้อสรุปอยู่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ซางเฉาจงเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในสวนใต้แสงจันทร์เนื่องจากยากจะข่มตานอนได้ อาภรณ์เปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย

เฟิ่งรั่วหนานออกมาจากในเรือน ถือเสื้อคลุมกันลมมาด้วย เดินเข้าไปหยุดข้างกายซางเฉาจง สะบัดคลี่ออกคลุมลงบนไหล่ของซางเฉาจง

ซางเฉาจงหันไปมอง กระชากเสื้อคลุมกันลมออกจากไหล่ โยนกลับไปในอ้อมแขนของเฟิ่งรั่วหนานอย่างไม่ไว้หน้า “มิบังอาจรบกวน รับไว้ไม่ได้หรอก!”

“เสด็จพี่!” ซางซูชิงรีบเดินเข้ามาถลึงตาใส่ซางเฉาจง น้ำเสียงแฝงเจตนาตำหนิ

เฟิ่งรั่วหนานกัดริมฝีปาก กอดเสื้อคลุมกันลมไว้แล้วหันหลังเดินออกไปเงียบๆ

หลานรั่วถิงที่อยู่ใต้ชายคามองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เขาไม่รู้ว่าควรจะว่าอย่างไรจริงๆ

“พี่สะใภ้เกี่ยวอะไรด้วย พี่สะใภ้จะไปจัดการอะไรได้?” ซางซูชิงกระซิบต่อว่าซางเฉาจงประโยคหนึ่ง

ซางเฉาจงกล่าวว่า “แล้วนางเคยช่วยพูดอะไรให้พวกเราหรือเปล่า? เราก็ไม่เคยคาดหวังว่านางจะช่วยอันใดได้ แต่ออกหน้าช่วยพูดสักประโยคก็ไม่ได้อย่างนั้นหรือ? นางเห็นข้าเป็นสามีของนางบ้างหรือเปล่า? นางเห็นพวกเราเป็นครอบครัวของนางบ้างหรือเปล่า?”

ถึงจะรู้ว่าพี่ชายพูดไปด้วยโทสะ แต่เรื่องนี้ไม่อาจคุยกันให้กระจ่างได้ภายในไม่กี่ประโยค ซางซูชิงไม่โต้เถียงกับเขาอีก รีบเดินมุ่งหน้าไปทางห้องของเฟิ่งรั่วหนาน

เมื่อผลักประตูเข้าไป นางมองเห็นเฟิ่งรั่วหนานนั่งอยู่ข้างตะเกียง นั่งจ้องมองตะเกียงด้วยสีหน้าเลื่อนลอย หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆ

ซางซูชิงหันไปปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าเฟิ่งรั่วหนาน ดึงมือเฟิ่งรั่วหนานมาจับไว้ เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พี่สะใภ้ อย่าร้องไห้เลยนะ เสด็จพี่พูดไปด้วยอารมณ์เท่านั้น ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย ไม่มีอะไรหรอก เรื่องผ่านไปแล้ว อย่าร้องไห้เลย” ว่าพลางช่วยเช็ดน้ำตาให้นางด้วยความสงสาร

เฟิ่งรั่วหนานพลันน้ำตาไพลพราก โผกอดซางซูชิงเอาไว้ ฝืนข่มกลั้นเสียงร้องและเสียงสะอื้น ความเจ็บปวดเศร้าหมองที่อัดแน่นอยู่ในใจกลายเป็นน้ำตาที่ไหลรินออกมา

“พี่สะใภ้ ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรจริงๆ” ซางซูชิงกอดปลอบนาง หลั่งน้ำตาไปด้วยเช่นกัน

การที่อีกฝ่ายข่มกลั้นเสียงร้องไห้เอาไว้เช่นนี้ทำให้นางรู้สึกสงสารอีกฝ่ายอย่างมากจริงๆ พี่สะใภ้เคยร้องไห้เช่นนี้เสียเมื่อไร? นี่ยังใช่แม่ทัพหญิงผู้องอาจที่ต่อให้มีศัตรูนับหมื่นพันบุกโจมตีเข้ามาก็ยังไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วคนนั้นอยู่หรือเปล่า?

ฟ้าสว่างแล้ว องครักษ์นายหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก รายงานซางเฉาจงที่อยู่ในสวนว่า “ท่านอ๋อง แม่ทัพเหมิงกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“อยู่ที่ไหน?” ซางเฉาจงดีใจนัก จากนั้นก็ได้ยินเสียงล้อหมุนเอี๊ยดอ๊าดแว่วเข้าหู เขาหันกลับไปมองทันที เห็นหลัวอันเข็นเหมิงซานหมิงเข้ามาอย่างช้าๆ

ซางเฉาจงพุ่งเข้าไปหาทันที หลานรั่วถิงที่อยู่บนบันไดก็กระโดดพรวดพราดลงมา ทั้งสองวิ่งตามกันเข้าไป หยุดตรงหน้าเหมิงซานหมิง ต่างยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง

“ท่านลุงเหมิง!”

“แม่ทัพเหมิง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ซางซูชิงได้ยินเสียงดังเอะอะจึงเปิดประตูออกมา จากนั้นยกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น วิ่งพลางร้องเรียกอย่างดีอกดีใจ “ท่านลุงเหมิง!”

เหมิงซานหมิงโบกมือให้ สื่อว่าไม่เป็นไร จากนั้นหันไปส่งสัญญาณให้หลัวอันเล็กน้อย หลัวอันผละออกจากรถเข็นทันที ออกไปเฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าเรือน

“แม่ทัพเหมิง ในเมื่อทราบเรื่องดี ไยถึงจงใจปิดบังพวกเราอีก? ท่านทำเช่นนี้จะให้พวกเราสบายใจได้อย่างไร?” ซางเฉาจงเอ่ยด้วยความเจ็บปวด

“อย่าพูดเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” เหมิงซานหมิงยกมือปราม มาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ทุกคนรับรู้อยู่ในใจก็พอ ไม่จำเป็นต้องมาต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จบอีก ตอนนี้เขาเป็นกังวลกับเรื่องอื่น จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ท่านอ๋อง เหตุใดพระองค์ถึงย้อนกลับมาอีกพ่ะย่ะค่ะ?” จากนั้นก็จ้องมองหลานรั่วถิง “ลั่วเซ่าฟูปัญญาเลิศล้ำ แต่เหตุใดถึงได้สั่งสอนศิษย์เลอะเลือนอย่างเจ้าออกมาได้ เหตุใดไม่โน้มน้าวห้ามปรามท่านอ๋องเอาไว้?”

เขายอมสละตัวเองโดยไม่นึกเสียดายก็เพราะหวังว่าทางนี้จะเข้าใจสถานการณ์ แต่ตอนนี้กลับหวนย้อนกลับมาอีก เขาหลงนึกไปว่าอีกฝ่ายย้อนกลับมาเพราะตัวเขา ทำให้ในใจเขาทั้งผ่อนคลายแล้วก็ขุ่นเคือง เกือบจะหลุดตำหนิซางเฉาจงไปว่าทำตัวเลอะเลือน

“ท่านลุงเหมิง ท่านเข้าใจอาจารย์หลานผิดแล้ว เหตุผลที่ย้อนกลับมาไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์หลานเลย พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับเต้าเหยี่ยหรือไม่…” ซางเฉาจงรีบเล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวออกมา

พอทราบว่าหนิวโหย่วเต้าได้ทิ้งถุงแพรใบที่สองเอาไว้ให้ด้วย เหมิงซานหมิงก็มองไปที่ซางซูชิงอย่างแปลกใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าซางซูชิงจะเชื่อฟังหนิวโหย่วเต้าขนาดนี้ ถึงแม้จะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างแล้ว แต่ครั้งนี้ก็นับว่ายิ่งเพิ่มความมั่นใจให้เขาอีกหลายส่วน

แววตาที่มองซางซูชิงแฝงความเวทนาสงสารอย่างไม่อาจอธิบายได้ ในใจยิ่งรู้สึกทอดถอนใจ หนิวโหย่วเต้าผู้นั้น ถึงแม้ภายนอกจะดูเข้าถึงง่าย อายุอานามก็ยังหนุ่มแน่น แต่วิสัยทัศน์ยอดเยี่ยม เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว อีกทั้งยังมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา คนประเภทนี้นับเป็นยอดคนที่หาได้ยากในโลกนี้ ต้องการสตรีเช่นไรล้วนหาได้ทั้งสิ้น สตรีธรรมดาๆ ไหนเลยจะเข้าตาอีกฝ่ายได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงรูปโฉมของท่านหญิงเลย เกรงว่าสาวน้อยคนนี้คงแอบรักอีกฝ่ายข้างเดียวเสียแล้ว!

เขาตัดสินใจแล้ว หากว่าผ่านเรื่องราวในครั้งนี้ไปได้ เขาเตรียมจะไปพูดคุยกับหนิวโหย่วเต้าสักหน่อย ดูว่าพอจะจับคู่ให้กับทั้งสองได้หรือไม่ หากว่าทั้งสองลงเอยกันได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อท่านอ๋องอย่างมาก!

ซางซูชิงถูกเขามองจนรู้สึกละอายขึ้นมาเล็กน้อย เข้าใจเจตนาของเหมิงซานหมิงผิดไป เอ่ยกระซิบว่า “ท่านลุงเหมิง ขอโทษเจ้าค่ะ”

“ล้วนผ่านไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหมิงซานหมิงโบกมือ ตกอยู่ในห้วงความคิด พึมพำกับตัวเองว่า “จินโจวจะเข้าโจมตีหนานโจวได้อย่างไรกัน? หรือว่าเต้าเหยี่ยผู้นั้นจะลงมือแล้วจริงๆ?”

ตัวเขาที่อยู่ทางนี้ก็ถูกปิดกั้นข่าวสารเช่นกัน ไม่ทราบเรื่องที่ราชสำนักแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้วเช่นกัน เฟิ่งหลิงปอเองก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาทราบเรื่องนี้ได้

……

ทิวเขาเชื่อมเรียงรายดังระลอกคลื่น เมื่อตะวันลับขอบฟ้า หมอกก็มาเยือน ค่อยๆ ปกคลุมอบอวล จากนั้นท้องนภาก็ดาษไปด้วยดวงดาราดฮณ๊ฯดฯฌซ,

ขบวนเดินทางใช้วิธีเปลี่ยนม้าไปเรื่อยๆ ควบม้าวิ่งห้อไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงดินแดนที่มีชัยภูมิเลิศล้ำแห่งนี้เสียที

เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่นไปตามเส้นทางภูเขา จนมาหยุดลงที่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง บนหน้าผามีอักษรตัวใหญ่สะดุดตาสลักไว้ วังสวรรค์หมื่นวิมาน!

ผู้มาเยือนก็คือพวกเผิงโย่วไจ้ คนที่ขวางพวกเขาเอาไว้ก็คือศิษย์ของวังสวรรค์หมื่นวิมาน

ตลอดทางที่มุ่งหน้ามายังมณฑลจินโจวมีการผลัดเปลี่ยนม้าตามจุดพักม้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ปิดบังร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น ทันทีที่เข้าเขตมณฑลจินโจวมา ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานก็ทราบเรื่องแล้ว เวลานี้จึงมีผู้อาวุโสคนหนึ่งของวังสวรรค์หมื่นวิมานออกมารอต้อนรับ

ทั้งกลุ่มลงจากหลังม้า มุ่งหน้าขึ้นเขาต่อไป เส้นทางภูเขาขรุขระ ไม่อาจขี่ม้าขึ้นไปได้

เมื่อปีนขึ้นไปถึงสุดปลายยอดเขา มีตำหนักใหญ่โตหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ผีเสื้อจันทราหลายตัวโบยบินออกมาต้อนรับแขก ซือถูเย่าประมุขวังสวรรค์หมื่นวิมานออกมาต้อนรับแขกพร้อมกับศิษย์วังสวรรค์หมื่นวิมานกลุ่มหนึ่ง

“ประมุขซือถู”

“เจ้าสำนักเผิง”

เผิงโย่วไจ้ที่เดินขึ้นบันไดขึ้นสุดท้ายมาประสานมือเอ่ยทักทายซือถูเย่าอย่างสุภาพ

“ทราบข่าวว่าเจ้าสำนักเผิงจะให้เกียรติมาเยือน ทางนี้จึงจัดเตรียมงานเลี้ยงรับรองเอาไว้ก่อนแล้ว ทุกท่าน เชิญ!” ซือถูเย่าเบี่ยงกาย ผายมือเชิญไปยังทิศทางของตำหนักใหญ่

เผิงโย่วไจ้ไหนเลยจะมีอารมณ์ไปดื่มสุราสังสรรค์อันใดกับเขาอีก ระหว่างทางเขาก็ได้เห็นแล้วว่าทัพใหญ่ของมณฑลจินโจวมุ่งหน้าไปรวมตัวที่ชายแดนมณฑลหนานโจว รู้สึกกระวนกระวายใจมาตลอดทาง เขาจึงยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ยไปว่า “ไม่เป็นไร เรื่องงานเลี้ยงเอาไว้ทีหลังก็ได้ ประมุขซือถูสะดวกจะคุยกันหน่อยหรือไม่”

ซือถูเย่าสบตากับคนที่ยืนอยู่ข้างกายเล็กน้อย จากนั้นยกมือชี้ไปยังศาลาหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก

ผู้นำของทั้งสองสำนักเดินเคียงกันออกไป艾琳小說

ก่อนจะเดินออกไป เผิงโย่วไจ้อาศัยแสงสว่างจากผีเสื้อจันทรา จับสังเกตได้ว่าสีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสของวังสวรรค์หมื่นวิมานก็คล้ายจะมิสู้ดีเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ค่อยอยากจะต้อนรับหรือว่าทางนี้ก็มีเรื่องใดเกิดขึ้นเช่นกัน

เมื่อเดินมาใกล้ศาลาเรียบง่ายหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมผา ทั้งสองไม่ได้เข้าไปในศาลา แต่กลับยกมือไพล่หลังยืนเคียงข้างกันอยู่ริมหน้าผา ทอดสายตามองหมู่ดาวบนฟากฟ้า

“แซ่เผิงมาด้วยเจตนาใด คาดว่าซือถูซยงคงทราบแล้วกระมัง?” เผิงโหย่วไจ้ปรายตามองพลางเอ่ยถาม

ซือถูเย่าแสร้งทำไขสือ “ไม่ทราบแน่ชัด กำลังอยากจะขอคำชี้แนะอยู่พอดี”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “ซือถูซยง พวกเราสองสำนักเป็นพันธมิตรกันแล้ว ต่างพึ่งพาอาศัยกัน ต้องติดต่อกันเอาไว้ตลอดเวลาถึงจะถูก แต่เหตุใดสำนักหยกสวรรค์ของข้าติดต่อมาหาหลายครั้งก็ไม่ได้รับการตอบกลับเลย หรือว่าฝ่ายท่านมีใจเป็นอื่นไปเสียแล้ว? ”

ซือถูเย่ากล่าวว่า “เผิงซยง ได้ยินว่าราชสำนักแคว้นเยี่ยนประกาศแต่งตั้งซางเฉาจงเป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจวแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เผิงโย่วไจ้ค่อยๆ หันหน้ามามอง “ใช่แล้วอย่างไร?”

ซือถูเย่าเอ่ยว่า “ในเมื่อราชสำนักแคว้นเยี่ยนยอมถอยให้แล้ว มณฑลหนานโจวก็ตกเป็นของสำนักหยกสวรรค์ของท่านอย่างเป็นทางการแล้ว ไยสำนักหยกสวรรค์ยังต้องต่อต้านราชสำนักแคว้นเยี่ยนอีกเล่า หากก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีกมันจะไม่เป็นผลดีต่อผู้ใดทั้งนั้น ท่านว่าใช่หรือไม่?”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยอย่างเย็นชา “จะให้ผู้ใดรับผิดชอบปกครองหนานโจว สำนักหยกสวรรค์ของข้าตัดสินใจกันเองได้ หรือว่าซือถูซยงคิดจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องภายในสำนักหยกสวรรค์ของข้า?”

ซือถูเย่าโบกมือ “เผิงซยงเข้าใจผิดแล้ว ทางข้าก็ลำบากใจเช่นกัน”

เผิงโย่วไจ้ถาม “ลำบากเรื่องใด?”

ซือถูเย่ากล่าวว่า “ซางเฉาจงเป็นหลานห่างๆ ของไห่หรูเยวี่ย เรื่องนี้ท่านก็น่าจะทราบดี ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าเองก็เพิ่งทราบเมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ในอดีตไห่หรูเยวี่ยกับหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วหรือก็คือบิดาของซางเฉาจงเคยรักกันมาก่อน ไห่หรูเยวี่ยเห็นซางเฉาจงเป็นเหมือนดั่งบุตรชายแท้ๆ ของตัวเอง นางไม่ยินดีให้หลานชายได้รับความขุ่นข้องหมองใจ…ท่านก็ทราบดี สตรีมักจะใช้อารมณ์ตัดสินใจอะไรง่ายๆ ข้าเองก็ปวดหัวเช่นกัน”

……………………………………………………………..