ตอนที่ 408

My Disciples Are All Villains

พลังที่ถูกดูดซับมาได้ถูกหยุดลงอย่างกะทันหัน

ยาพลังปีศาจ?

ตราบใดที่จุดตันเถียนของเหล่าแม่ทัพถูกทำลายไป แม้แต่ฤทธิ์จากยาพลังปีศาจก็ยังไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้ สิ่งที่ลู่โจวจะต้องทำมีเพียงการทำลายพลังอวตาร

ดวงตาของลู่โจวดูเหมือนจะเปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าในขณะที่เหลือบมองแม่ทัพทั้งหลาย

ส่วนดวงตาของเหล่าแม่ทัพเต็มไปด้วยความกลัว แม่ทัพทั้งหลายต่างก็คิดว่าชายชราที่อยู่ตรงหน้าเป็นเหมือนกับราชาปีศาจที่หลุดรอดมาจากก้นบึ้งของขุมนรก เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับชายชราอ่อนแรงก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง ดวงตาที่ดูลึกล้ำของเขาทำให้ชายชราคนนี้ดูเหมือนจะรอบรู้และมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้

มือของลู่โจวได้คว้าไปที่คอของแม่ทัพคนหนึ่ง มันเป็นการเคลื่อนไหวโดยการใช้กระบวนท่า กระบวนท่าฝ่ามือของชาวพุทธนั่นเอง เนื่องจากคู่ต่อสู้ของตัวเขาได้ดื่มยาเพิ่มพลังปีศาจไป การที่จะใช้พลังลมปราณเข้าสู้คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ วิธีเดียวที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดได้ก็คือการใช้กระบวนท่านั่นเอง!

นิ้วมือของลู่โจวที่คว้าคอของแม่ทัพคนหนึ่งเอาไว้ส่องประกายแสงออกมา

แคล๊ก!

หัวของแม่ทัพผู้โชคร้ายได้หันไปอีกข้าง ลู่โจวได้หักคอของเขาไปแล้วนั่นเอง

ร่างที่ไร้วิญญาณของแม่ทัพผู้โชคร้ายได้ตกลงสู่พื้น

“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ: 1,500”

พลังสีฟ้าจางๆ บนตัวของลู่โจวได้หายจางไป ตัวเขาได้ใช้พลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จนหมดไปแล้ว

สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ที่เห็นภาพการสังหารรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งหมดไม่เห็นสัญญาณของพลังวรยุทธที่จะถดถอยของลู่โจวเพราะขีดจำกัดอันยิ่งใหญ่ที่ใกล้จะมาถึงได้เลย ลู่โจวในตอนนี้ยังคงดูสง่างามเหมือนกับที่เคยเป็นมา! แม้ว่าจะแก่แต่ก็ยังแข็งแกร่ง!

ลู่โจวได้เอามือไขว้หลังของตัวเองก่อนที่จะหันมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัว

ลูกน้องของหลิวปิงได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร มันเป็นเพราะว่าสี่แม่ทัพในตอนแรกได้รับบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว

ในทางกลับกันสีวู่หยาดูเหมือนจะเจอศึกหนัก ตัวเขาได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของพลังอวตารราชาหมาป่ามาก่อนหน้านี้แล้ว

แม้ว่าลู่โจวอยากจะช่วยแค่ไหนแต่ถ้าหากตัวเขาต้องช่วยตัวเขาก็ทำได้แค่ใช้พลังจากการ์ดวิเศษ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังไม่ต้องใช้ทางเลือกนั้น

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

สีวู่หยากระเด็นกลับมา ตัวเขาได้ใช้พลังปีกขนาดใหญ่อีกครั้ง สีวู่หยากำลังกระพือปีกของตัวเองไปทางเหล่าแม่ทัพ

แม่ทัพทั้งสองที่ได้ดื่มยาพลังปีศาจไปยังคงแข็งแกร่งขึ้นเช่นเดิม

“หลี่จิงยี่” ลู่โจวได้พูดออกมา

หลี่จิงยี่ที่ได้ยินแบบนั้นตกใจจนเกือบใจหาย นางได้โค้งคำนับให้ก่อนที่จะพูดออกมา “ผู้อาวุโส…”

“เจ้าน่ะชื่นชอบดูการแสดงอย่างงั้นสินะ?” ลู่โจวได้ถามออกมาก่อนที่จะเหลือบมองไปทางหลี่จิงยี่

หลี่จิงยี่ตัวสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นนางก็ได้พูดออกมา “ให้ข้าได้อธิบายเถอะท่านผู้อาวุโส…ข้าก็แค่ติดตามเซียงลี่มาที่นี่ก็เพื่อที่จะจับตาดูเขา ถ้าหากเซียงลี่ต่อสู้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ สุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็คงจะตายไปนานแล้ว…”

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้า ตัวเขาเหลือบมองไปที่หลี่จิงยี่ที่อยู่ไกลออกไป “นี้คือสิ่งที่เจียงอาเฉียนบอกให้เจ้าทำอย่างงั้นสินะ?”

หลี่จิงยี่ได้ยิ้มอย่างเขินอายก่อนที่จะพยักหน้า

“ท่านไม่จำเป็นเลยที่จะต้องลงมือด้วยตัวเองผู้อาวุโส!” หลี่จิงยี่ยกร่มกระดาษขึ้นมา นางกระโดดออกไปด้วยความเร็วสูงในขณะที่ร่มของนางกำลังหมุนรอบตัวเองอยู่ พลังลมปราณมหาศาลได้ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่มกระดาษที่อยู่ในมือนาง

“นี่มันวิชาจากสำนักเผิงไหล วิหคสีเขียว” ลู่โจวนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ ร่มที่อยู่ในมือของหลี่จิงยี่มีชื่อว่าวิหคสีเขียว

เมื่อหลี่จิงยี่เริ่มหมุนร่มของตัวเอง ในตอนนั้นมันก็ปล่อยดาบพลังลมปราณออกมารอบตัว

“ไม่มีอะไรรอดพ้นสายตาท่านได้จริงๆ ผู้อาวุโส…” หลี่จิงยี่พูดเสียงต่ำ หลังจากนั้นนางก็ได้เรียกพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบของนางออกมาอีกครั้ง มันเป็นพลังอวตารที่มีความสูงเกือบ 90 ฟุตด้วยกัน หลี่จิงยี่ได้ตั้งใจใช้พลังอวตารควบคู่ไปกับอาวุธของนาง ด้วยพลังจากอวตารทำให้การโจมตีของหลี่จิงยี่พุ่งไปรอบด้าน!

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

แม่ทัพที่เหลืออีก 3 คนถูกการโจมตีจนกระเด็นถอยกลับไป ที่ริมฝีปากของพวกเขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก

“ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ” สีวู่หยายืนหยัดได้อีกครั้ง ตัวเขาได้ยิงเข็มพลังงานจำนวนมากจากปีกที่อยู่ด้านหลังออกมา เข็มพลังงานได้พุ่งเข้าใส่จุดตันเถียนของเหล่าแม่ทัพทั้ง 3 อย่างแม่นยำ

ในเวลาเดียวกันร่มวิหคสีเขียวก็โจมตีออกมาอย่างต่อเนื่อง พลังการโจมตีอีกละลอกได้ตกลงจากท้องฟ้าเข้าใส่แม่ทัพทั้ง 3

สีวู่หยาเองก็ยังคงโจมตีต่อไป

“ติ้ง! สังหารเป้าหมายสำเร็จ ได้รับรางวัลแต้มบุญ 1,500”

ตู๊ม!

แม่ทัพทั้ง 3 ถูกโจมตีจนกระเด็นชนเข้ากับซากปรักหักพังของเมือง แม้ว่าจะพึ่งพลังจากยาเพิ่มพลังปีศาจแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้เลย

ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง

พายุพลังที่ก่อตัวขึ้นอยู่เหนือเมืองได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว พลังทั้งหมดที่เคยถูกดูดซับมากำลังสลายไปในอากาศ

หลี่จิงยี่ได้เก็บร่มกระดาษของนาง นางได้หันมาโค้งคำนับให้กับองค์ชายหลิวปิงและสีวู่หยาก่อนที่จะเดินจากไป

ลู่โจวมองดูซากปรักหักพังที่อยู่บนพื้นเบื้องล่าง ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพังทลายและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อเห็นแบบนั้นตัวเขาก็ได้แต่ส่ายหัว ศัตรูทั้งหมดมีถึง 3 คน แต่สีวู่หยาสามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้แค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าหากหลี่จิงยี่ไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้คงจะเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่เมื่อผลลัพธ์ออกมาเช่นนี้ลู่โจวก็รู้สึกพึงพอใจมากแล้ว

แต่สำหรับหลิวปิงตัวเขารู้สึกไม่ดีเท่าไหร่…อันที่จริงในสายตาของเขาดูมีความอาฆาตด้วยซ้ำไป

สีวู่หยาสลัดปีกของตัวเองก่อนที่จะลงมาสู่พื้น

หยวนเอ๋อที่เห็นผู้เป็นศิษย์พี่กลับมาได้พูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่เจ็ด นางยังมีชีวิตอยู่…โชคยังดีที่ข้ามาปกป้องนางเอาไว้ได้ทัน ถ้าหากไม่เป็นแบบนั้นนางก็คงจะตายไปแล้ว!”

สีวู่หยาพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่องช้า “ขอบคุณนะศิษย์น้องเล็ก”

แม้ว่าคำพูดของนางจะฟังดูมีความหวังดี แต่ทำไมมันเหมือนกับคำสาปแช่งกัน?

สีวู่หยาได้อุ้มองค์หญิงหลิวเหวินจุนขึ้นมาก่อนที่จะส่ายหัวเล็กน้อย

ในขณะเดียวกันลู่โจวก็ได้แต่ลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะลอยไปตามสายลม ตัวเขากำลังจ้องมองไปที่หลิวปิง

หลังจากที่หลิวปิงระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายแล้วตัวเขาก็ได้สงบลง สีหน้าของหลิวปิงไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

ลู่โจวเหลือบมองไปที่หลิวปิงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้าไม่เหมาะกับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ซะหรอก..พรมแดนเป็นที่ที่ต้องการเจ้าซะมากกว่า”

หลิวปิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตัวเขาเงยหน้าขึ้นมามอง แต่ลู่โจวในตอนนี้ได้กลับลงสู่พื้นไปแล้ว

หลิวปิงได้เก็บคำพูดของลู่โจวมาคิดก่อนที่จะส่ายหัวและถอนหายใจออกมา หลิวปิงได้รับชื่อเสียงมากมายในตลอดเวลาที่อยู่ในพรมแดนมากว่าหลายปี ตัวเขาได้กลับมาที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลิวปิงก็เกือบที่จะสูญเสียตัวเองไปซะแล้ว ตัวเขายังคิดที่จะร่วมมือกับชนเผ่าอื่นอีกด้วย…หลิวปิงเกือบที่จะกลายเป็นคนขายชาติที่น่าอับอายไปซะเอง ตัวเขาเกือบจะกลายเป็นคนบาปที่ยอมใช้น้องสาวของตัวเองเพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองซะด้วยซ้ำ! กว่าที่หลิวปิงจะรู้ตัวมันก็เกือบที่จะสายไปแล้ว ท้ายที่สุดศัตรูของเขาก็ไม่ใช่ชาวเมืองของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่

แม่ทัพที่อยู่ทางขวามือของหลิวปิงรู้สึกหวาดกลัว ตัวเขาได้ถามออกมาอย่างลังเล “องค์ชาย…พวกเราควรจะกลับไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะรายงานเรื่องนี้ไหม?”

รายงานเรื่องนี้? ทำไมพวกเราจะต้องกลับไปกัน? ไปพบกับคนไร้เมตตาพรรค์นั้นที่คิดแต่จะใช้ประโยชน์กับลูกชายของตัวเองย่างงั้นหรอ? น่าขัน “ไม่!”

“ถ้าอย่างงั้นพวกเราจะไปที่ไหนกันดี? พวกเราขอสาบานเอาไว้ว่าจะติดตามองค์ชายไปสุดล่าฟ้าเขียว!” แม่ทัพทั้งสองได้คุกเข่าให้กับหลิวปิงกลางอากาศ

“ข้าอยากกลับไปที่พรมแดน…” หลิวปิงไม่ได้คิดที่จะใช้ตำแหน่งในฐานะราชวงศ์อีกต่อไป

“พรมแดนรอย่างงั้นหรอ?”

“ข้าอยากจะกลับไปเริ่มต้นใหม่…” หลิวปิงพูดออกมาเบาๆ ตัวเขาต้องการกลับไปที่ที่ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมกับพี่น้องทุกคน ที่ที่ทุกคนยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องดินแดนแห่งนี้ “ถ้าหากพวกเจ้าไม่เต็มใจที่จะกลับไป ข้าก็ไม่คิดที่จะฝืนใจเจ้าหรอกนะ…”

“พวกเราจะติดตามองค์ชายไปตลอดชีวิต!” ทั้งสองคนยังไม่ยอมลุกขึ้น พวกเขายังคงคุกเข่าต่อหน้าหลิวปิงต่อไป

หลิวปิงบินลงมาก่อนที่จะหันกลับไปพูด “เขียนรายงานกลับไปว่าองค์ชายสี่หลิวปิงเสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้ที่เมืองแห่งหนึ่งในมณฑลเหลียง”

เฉินเหลียงชูส่ายหัวเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด “เมื่อมาลองคิดดูหลิวปิงก็เป็นเหมือนกับวีรบุรุษ แต่น่าเสียดาย เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับเขา ที่แห่งนั้นแทบไม่มีอิสระสำหรับหลิวปิงเลย ถ้าหากเขาไม่ระวังตัวสิ่งที่ตัวเขาอุส่าทำมาก็คงจะสูญเปล่าไป”

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นกลอกตาก่อนที่จะมองย้อนกลับมา “เจ้าเองก็กล้าพูดนะ?”

“เอ่อ…” เฉินเหลียงชูรู้สึกอับอาย ตัวเขาไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นอะไรอีกต่อไป

สีวู่หยาไม่ได้มีกระจิดกะใจจะไปนึกถึงหลิวปิง ตัวเขากำลังเฝ้ามองดูหลิวเหวินจุนอย่างใกล้ชิด

ลู่โจวได้ลงมาข้างๆ ตัวของสีวู่หยา มือข้างหนึ่งของตัวเขากำลังไขว้หลังเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของลู่โจวกำลังยื่นไปที่สีวู่หยา

สีวู่หยารู้ดีว่าลู่โจวต้องการอะไร ตัวเขาได้หยิบพัดขนนกยูงออกมาก่อนที่จะส่งมันกลับคืนไปหาลู่โจว ผู้ที่เป็นอาจารย์ของตัวเขาเอง

ลู่โจวรู้ดีว่าสีวู่หยาเป็นคนที่เจ้าแผนการมากแค่ไหน เมื่อคนอย่างสีวู่หยามีอาวุธที่ร้ายกาจอยู่ในมือ อาวุธชิ้นนี้ก็จะทรงพลังจนน่ากลัว

ในตอนนั้นเองเหล่าสาวกจากสำนักอเวจีต่างก็วิ่งเข้าหาพวกลู่โจวจากในระยะไกล ฝีเท้าของคนหมู่มากได้ทำให้ฝุ่นกระจายไปทั่วเมือง เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ได้ปรากฏตัวในสายตาของลู่โจว