บทที่ 275 ดูมิออกหรือว่าข้าแต่งหน้าแต่งตัว

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา

นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 275 ดูมิออกหรือว่าข้าแต่งหน้าแต่งตัว

“เหตุใดจึงเอ่ยมากความนัก” สวีฉางหลินตอบรับอย่างเย็นชา แต่สายตาของเขามิได้ละไปจากโจวกุ้ยหลานที่อยู่ในครัวเลย

“ข้าเพียงแค่เอ่ยเตือนเจ้า”เสี่ยวจิ่วตอบ

สวีฉางหลินกล่าวว่า “เจ้ามิมีสามี จะไปรู้อะไรเกี่ยวกับสามีภรรยา”

เสี่ยวจิ่วนิ่งเงียบ ขณะที่นางจะกล่าวบางอย่างออกมานั้น โจวกุ้ยหลานก็ตรงออกมาก่อน

เมื่อได้ยินเสียง โจวกุ้ยหลานจึงเงยหน้าขึ้นพบว่าทั้งสองคนกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูคนหนึ่ง หลังประตูคนหนึ่ง

ทั้งสองคนสวมชุดสีดำใบหน้าดูเย็นชา อีกทั้งหน้าตางดงาม ดูมีสง่าราศี เหตุใดมองไปจึงเข้ากันยิ่งนัก

โจวกุ้ยหลานยิ่งมองยิ่งรู้สึกแสบตาจึงลุกขึ้นเดินไปที่ประตู ดึงแขนสวีฉางหลินตรงเข้าไปในห้อง

เมื่อเข้าไปในห้องแล้วนางก็ปิดประตูดังปัง ก่อนหันกลับมาผลักสวีฉางหลินลงไปที่ตรงขอบเตียง กดร่างเขาให้นั่งลง ส่วนนางยืนอยู่ที่เดิมจ้องมองไปที่สวีฉางหลินอย่างเย็นชา

แววตานั้นมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าอย่างดุดัน

นี่เป็นครั้งแรกที่สวีฉางหลินเห็นแววตาเช่นนี้จากโจวกุ้ยหลาน มิรู้ว่าเพราะเหตุใดความรู้สึกระวนกระวายก็เริ่มปรากฏขึ้น

โจวกุ้ยหลานเอามือเท้าสะเอวมองไปที่สวีฉางหลินอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามิพอใจในตัวข้าตรงไหนหรือ?”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” สวีฉางหลินมิเข้าใจในความหมายของนาง

โจวกุ้ยหลานสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามระงับความโกรธในใจของตนแล้วเอ่ยขึ้นทันทีว่า “เจ้าชื่นชอบแม่นางที่ชื่อว่าเสี่ยวจิ่วใช่หรือไม่?”

หลายวันมานี้สวีฉางหลินดูผิดปกติไป และความผิดปกตินี้ปรากฏขึ้นหลังจากที่เสี่ยวจิ่วปรากฏตัว

“อะไรนะ?”

ยังแสร้งทำสับสนหรือ!

เดิมทีความโมโหของโจวกุ้ยหลานยังคงสามารถระงับไว้ได้ แต่วินาทีนี้กลับทวีคูณเพิ่มขึ้น นางเยาะเย้ยว่า “แกล้งโง่หรือ ตอนกลางคืนพวกเจ้าทำอะไรกันพึมพำอยู่ในห้อง และหลายวันมานี้เจ้าพานางไปล่าสัตว์ วัน ๆ หนึ่งมิเคยเห็นเงา คิดว่าข้าตาบอดหรือไร!”

โจวกุ้ยหลานกล่าวถึงตรงนี้ ก็ตั้งใจรอให้เขาอธิบาย แต่ผ่านไปสักพักก็พบว่าสวีฉางหลินเพียงจ้องมองมาที่นางอย่างเงียบ ๆ

“มองข้าทำไม มีอะไรก็ให้พูด หากเจ้ารักนางแล้วจริง ๆ พวกเจ้าทั้งสองคนตกหลุมรักกันข้าเองก็จะมิรั้งไว้ เราสองหย่าร้างและใช้ชีวิตของใครของมัน”

เมื่อกล่าวจบ นางก็รู้สึกเหมือนมีมือขนาดมหึมาบีบอยู่ที่หน้าอกทำให้นางหายใจมิออก

โจวกุ้ยหลานสุดลมหายใจเข้าใบหน้าของนางยังคงเย็นชาแล้วมองไปที่สวีฉางหลิน รอให้เขาเอ่ยปาก

ผ่านไปเนิ่นนาน นางก็ยังเห็นสวีฉางหลินเพียงจ้องมองมาอย่างเงียบ ๆ

นางรู้สึกเหนื่อยใจเหลือเกินและหันหลังเพื่อจะจากไป

ในโลกนี้ใครขาดใครแล้วจะอยู่มิได้เล่า ต่อให้……ต่อให้นางจะชื่นชอบสวีฉางหลินมากและอยากอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต แต่หากจิตใจเขามิอยู่ที่นี่นางก็ยินดีที่จะจากไปทันที

ขณะที่นางกำลังก้าวขาออกไปนั้น เอวของนางก็ถูกใครเข้ามาร่างเอาไว้ ก่อนที่ร่างจะลอยขึ้นไปท่ามกลางอากาศหมุนไปรอบ ๆ หลังของนางถูกวางลงบนเตียง

ยังมิทันได้สติกลับคืนมา ริมฝีปากของนางก็ถูกสวีฉางหลินประกบไว้

มิทันจะอธิบายใด ๆ ให้ชัดเจน เขาก็ คิดจะผ่านไปอย่างคลุมเครือเช่นนี้หรือ?

โจวกุ้ยหลานกัดลิ้นของสวีฉางหลินไว้อย่างแรงเพื่อต้องการให้เขาปล่อยตน แต่ดูเหมือนสวีฉางหลินจะมิรู้สึกถึงความเจ็บปวด เขากดริมฝีปากทวีแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงดัง “แขวก!” และร่างของนางก็เย็นวาบ

ชุดใหม่ของนางพัง!

โจวกุ้ยหลานโกรธมากจนยกมือขึ้นผลักสวีฉางหลิน แต่สวีฉางหลินกลับกดนางเอาไว้อย่างแรง เขาจับร่างของนางเอาไว้แน่นเพื่อมิให้นางลุกขึ้นได้

“เจ้านี่!” ความโกรธในใจของโจวกุ้ยหลานทวีรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาศัยช่วงที่สวีฉางหลินฉีกเสื้อผ้าของนาง นางจึงเลื่อนมือลงไปจับอวัยวะบางส่วนของเขา แล้วดึงมันออกมาอย่างแรง

ความรู้สึกเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย ทำให้สวีฉางหลินถึงกับตัวแข็งทื่อ

เขายกตัวขึ้นเล็กน้อยแล้วปล่อยริมฝีปากของโจวกุ้ยหลาน

โจวกุ้ยหลานใช้แรงบิดและได้ยินเสียงออกจากปากของชายหนุ่ม

“เจ้ายังมิอธิบายให้ชัดเจน ก็คิดจะกดข้าลงบนเตียงงั้นรึ? สวีฉางหลินรู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร จงบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ ว่าเจ้ากับเสี่ยวจิ่วเป็นอะไรกัน!”

“มิได้เป็นอะไรกัน” สวีฉางหลินกัดฟันกล่าวออกมาด้วยใบหน้าอันแดงเรื่อ

“มิบอกงั้นหรือ ข้าจะตัดมันทิ้งเสีย!” โจวกุ้ยหลานตะคอกออกมาอย่างเย็นชา และมือของนางก็ออกแรงเพิ่มขึ้น

บัดนี้ยังกล้ามาอยากเล่นกับนางอีก คิดว่านางเป็นเด็กอายุสามขวบหรือไรกัน

ใบหน้าอันเยือกเย็นของสวีฉางหลินเปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเม้มริมฝีปากแน่น

เมื่อเห็นความดื้อรั้นของเขาโจวกุ้ยหลานก็ยิ่งโมโห บัดนี้แล้วยังมิบอกความจริงกับนางคิดว่านางมิมีอารมณ์โกรธหรือไรกัน

ขณะที่นางกำลังออกแรงจู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น

โจวกุ้ยหลานตกใจมองไปทางสวีฉางหลิน รู้สึกว่าเขาดูมิได้เจ็บปวดเหมือนเมื่อครู่ มือของนางร้อนผ่าว

ผู้ชายคนนี้นี่!

ใบหน้าของโจวกุ้ยหลานแดงเรื่อ มือของนางแทบจับไว้มิอยู่ ขณะที่อยู่ในภาวะกลืนมิเข้าคลายมิออก ชายหนุ่มก็ลุกขึ้น นางต้องการจะปล่อยมือ แต่มือของตนกลับถูกชายหนุ่มจับเอาไว้ จากนั้นเขาก็กุมมือของนางขยับขึ้นลง

ชายหนุ่มผู้ที่เดิมที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดบัดนี้ใบหน้ากลับมีความสุข

ผู้ชายคนนี้ยังมีหน้ามาสนุกกับมัน!

โจวกุ้ยหลานตั้งใจจะดึงมือกลับมา แต่มือใหญ่ข้างนั้นมิให้โอกาสนางเลย วินาทีต่อมาริมฝีปากของชายหนุ่มก็บดลงมาอีกครั้ง ปิดกั้นริมฝีปากของนางมิให้นางมีโอกาสพูดอีก

จนกระทั่งนางเมื่อยปาก เมื่อยมือ ตัวไปทั้งสิ้น……

นางถูกใครบางคนรังแก เสียจนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่นิ้วมือก็ยังมิอยากขยับ

ก่อนหน้านี้ค่อนข้างเร่งรีบ นางถูกผลักลงไปที่เตียงโดยยังมิได้ปูผ้านวมจึงทำให้ปวดหลัง

โจวกุ้ยหลานมิมีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยถามคำถาม นางหลับตาลงเพื่อพักผ่อน

หลังจากนั้นมินานสวีฉางหลินก็ลุกขึ้นแล้วจากไป มินานต่อมาเขาก็เข้ามาอีกครั้ง นางรู้สึกว่าเขากำลังเช็ดตัวให้กับนาง

นางลืมตาขึ้นพบว่าสวีฉางหลินกำลังอุ่นผ้าขนหนูอยู่ที่เตา

นางพลิกตัวกลับมิอยากสนใจคนผู้นั้น สวีฉางหลินบิดผ้าขนหนูแล้วเช็ดตัวให้กับนาง รอจนกระทั่งเช็ดสะอาดสะอ้านแล้ว จึงได้ปูผ้านวมลงบนเตียงอุ้มนางขึ้นไปนอนแล้วห่มผ้า

“ชุดของข้านั้นราคาสองตำลึง” โจวกุ้ยหลานกล่าว

สวีฉางหลินเหลือบมองไปยังชุดสีแดงแล้วพยักหน้า “พรุ่งนี้นำหมาป่าไปขายก็มีเงินแล้ว”

“เครื่องประทินโฉมของข้าถูกเจ้าทำลายจนมิมีชิ้นดี” โจวกุ้ยหลานยังคงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้าอันบูดบึ้ง

สวีฉางหลินงุนงง “เครื่องประทินโฉม?”

เขามิสังเกตเห็นจริงด้วย!

โจวกุ้ยหลานหันไปมองเขาแล้วตำหนิว่า “เจ้ามองมิออกหรือ?”

สวีฉางหลินนิ่งเงียบ

“เครื่องประทินโฉมนั้นราคาถึงหนึ่งตำลึงเชียว”

“พรุ่งนี้ข้าจะไปล่าสัตว์อีก” สวีฉางหลินตอบต่อไป

โจวกุ้ยหลานจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยแต่ถึงอย่างไรในใจนางก็ยังมีขวากหนาม เมื่อมองเห็นบรรยากาศเช่นนี้นางก็มิอยากทำร้ายให้มันย่ำแย่ จึงได้แต่เก็บมันไว้ในใจ

นางสวมเสื้อผ้าแล้วนอนอยู่บนเตียงตั้งใจจะพักผ่อนกลับได้ยินเสียงสตรีคนหนึ่งดังมาจากข้างนอก

โจวกุ้ยหลานยัดกระโปรงสีแดงซึ่งถูกสวีฉางหลินฉีกขาดเข้าไปในผ้าห่ม

หลังจากเสร็จสิ้น ประตูก็ถูกผลักเข้ามา ป้าอู๋เดินเข้ามาพร้อมถูมือของตน

“กุ้ยหลาน เจ้านอนหลับอยู่หรือ? ประเดี๋ยวข้าค่อยมามิเป็นไร”

โจวกุ้ยหลานเห็นว่านางมีธุระจึงลุกขึ้นนั่ง เป็นการบอกป้าอู๋ว่ามิเป็นไร