ตอนที่ 245 ยินดีต้อนรับพวกท่าน
“นี่ก็สายมากแล้ว กินอาหารเช้ากันก่อนเถิด กินเสร็จเจ้ายังต้องเข้าวังกับข้า รอให้กลับมาก่อนพวกเจ้าค่อยสนทนากันใหม่ เวลานั้นจะได้ไม่ต้องรีบร้อน ”
เย่ซิวตู๋หันมามองสองพี่น้องอีกครั้งก่อนที่จะออกจากห้องไป ในตอนที่เดินไปยังห้องโถงก็ยังพบเข้ากับเยว่ซินที่ยืนอยู่ตรงนั้น จึงได้เอ่ยกับนางว่า “เจ้ากลับไปที่เรือนแล้วรีบนำเสื้อคลุมสะอาดมาให้คุณหนูของเจ้าเสีย”
เยว่ซินกะพริบตาอย่างประหลาดใจ แต่นี่คือคำสั่งของท่านอ๋อง ต่อให้ไม่เห็นสถานการณ์ของคุณหนู หญิงสาวก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง
เมื่อรอให้อวี้ชิงลั่วและอวี้เป่าเอ๋อร์เด็กชายผู้ซึ่งมีความสุขเปี่ยมล้นบนใบหน้ามาถึงห้องโถง เยว่ซินก็ได้ถือเสื้อคลุมเอาไว้และมองดูคุณหนูของตน
อวี้เป่าเอ๋อร์สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เวลานั้นเด็กชายก็มองดูเสื้อคลุมตรงบริเวณไหล่ของอวี้ชิงลั่ว แล้วจึงรีบก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกที่อับอายเป็นอย่างมาก
“นั่งลงสิ” เย่ซิวตู๋มองดูเยว่ซินที่พาอวี้ชิงลั่วเข้ามาในห้อง และได้พยักหน้าให้อวี้เป่าเอ๋อร์มานั่งบริเวณหน้าโต๊ะ
อวี้เป่าเอ๋อร์เพิ่งจะได้พบกับพี่สาวของตน จึงมีความสุขเป็นอย่างมาก ครั้นได้ยินน้ำเสียงที่เยือกเย็นของเย่ซิวตู๋ พริบตานั้นก็เหมือนกลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง โดยเฉพาะเมื่อเห็นการกระทำของอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย
ความหมายของเย่ซิวตู๋คือต้องการให้เขามานั่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันใช่หรือไม่?
แต่ว่า…ด้วยสถานะของเขาแล้ว จะมีคุณสมบัติอะไรที่จะไปนั่งร่วมโต๊ะกับท่านอ๋องกัน
ไม่นานนักอวี้เป่าเอ๋อร์ก็ได้สติขึ้นมา เขารู้ดีว่าที่นี่คือตำหนักท่านอ๋อง จึงต้องสำรวมระมัดระวังการกระทำให้มาก ๆ ไม่เช่นนั้นถ้าเผลอทำให้พี่สาวของตนที่กว่าจะได้พบเจอนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายต้องตกที่นั่งลำบาก เช่นนั้นแล้วเขาจะทำเช่นไร?
แต่ในเมื่อท่านอ๋องเชิญให้เขานั่ง เขาเองก็ไม่กล้าขัดขืน
อวี้เป่าเอ๋อร์เม้มปาก เด็กชายรวบรวมความกล้าที่จะเดินเข้าไปข้าง ๆ ท่านอ๋องและลากเก้าอี้ออกมาก่อนที่จะนั่งลงไป
อย่างไรก็ตาม เด็กชายเพียงแค่นั่งลงไปเท่านั้น เรื่องอย่างอื่นเขาไม่กล้ากระทำแม้แต่น้อย
โม่เสียนผู้ซึ่งรับช่วงต่อจากเหวินเทียนได้แต่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเงียบไม่พูดไม่จา เขาเองก็เข้าใจท่าทางการแสดงออกทั้งหมดของอวี้เป่าเอ๋อร์ที่แสดงออกมา ภายใต้รัศมีขอบเขตของท่านอ๋อง ผู้ใดก็ไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจเหมือนกับแม่นางอวี้ได้
โชคดีที่ไม่นานอวี้ชิงลั่วก็ได้เปลี่ยนเสื้อคลุมของตนเสร็จ เมื่อพบว่าอาหารบนโต๊ะตระการตากว่าวันอื่น ๆ รอยยิ้มที่มุมปากก็ค่อย ๆ กว้างขึ้น นางนั่งลงข้าง ๆ อวี้เป่าเอ๋อร์และหยิบตะเกียบขึ้นมา ก่อนคีบเนื้อสองชิ้นมาวางบนชามของน้องชายตน
“เมื่อวานตอนเย็นเจ้าไม่ได้กินอะไรเลย ท้องคงจะหิวแล้ว พ่อครัวประจำตำหนักท่านอ๋องนั้นฝีมือดียิ่งนัก ทำอาหารออกมาได้น่ารับประทานยิ่ง เจ้ากินเยอะ ๆ หน่อย เป็นเด็กผู้ชายอย่าปล่อยให้ร่างกายผอมเกินไป ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับซี่โครงเดินได้ มา ๆ ลองกินสิ่งนี้ดู”
ท่าทางที่เป็นธรรมชาติเช่นนี้ของอวี้ชิงลั่ว ในสายตาของอวี้เป่าเอ๋อร์แล้วช่างให้ความรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก
ต่อให้ ต่อให้เขาโดนกักบริเวณอยู่นานหลายปี แต่เขาก็รู้ดีถึงมารยาทพื้นฐาน ในการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับท่านอ๋อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอ๋องผู้นี้คือท่านอ๋องซิว เขาก็ยังไม่ได้เริ่มขยับตะเกียบแม้แต่น้อย เหตุใดท่านพี่จึงกล้าที่จะคีบอาหาร? มากไปกว่านั้นคือคีบอาหารมาใส่ไว้ในชามของเขาด้วย
อวี้เป่าเอ๋อร์รีบหันไปมองเย่ซิวตู๋ เมื่อเห็นท่านอ๋องมีสีหน้าดูจะไม่ค่อยดีนัก หัวใจของเด็กชายก็เต้นรัวขึ้นมา จึงรีบส่งสัญญาณให้กับอวี้ชิงลั่ว เพื่อให้นางรอจนกว่าท่านอ๋องจะเริ่มรับประทานก่อน
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วและมองดูอวี้เป่าเอ๋อร์ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเย่ซิวตู๋ที่มีสีหน้าหน้าดำคร่ำเครียด หญิงสาวจึงขมวดคิ้วอีกครั้ง
“ไม่กินหรือ?”
อวี้เป่าเอ๋อร์มองดูเย่ซิวตู๋ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ขยับเขยื้อนเหมือนเดิม เด็กชายก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรแม้แต่น้อย
อวี้ชิงลั่วกระตุกริมฝีปาก กับแค่การกินอาหาร เหตุใดจึงต้องทำบรรยากาศให้ดูจริงจังเช่นนี้?
หญิงสาวยื่นมือออกไปคีบเนื้อสองชิ้นในจานกับข้าวเมื่อสักครู่นี้ ครั้งนี้นางวางลงในชามของเย่ซิวตู๋โดยตรง
“กินข้าวได้” ในที่สุดเย่ซิวตู๋ก็เริ่มจับตะเกียบ ความรู้สึกไม่ปกติภายในใจก็ได้หายไปแล้ว บรรยากาศในห้องโถงดีขึ้นมาเป็นอย่างมาก
ในขณะที่อวี้เป่าเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของเด็กชายก็ยังเปี่ยมไปด้วยความแปลกใจ คาดไม่ถึงว่า…ท่านอ๋องซิวจะรับประทานอาหารที่พี่สาวของตนนั้นคีบให้ น่าประหลาดมาก ๆ กฎระเบียบของราชวงศ์นั้นมากมาย จะสามารถให้คีบอาหารให้กันเช่นนี้ได้หรือ?
อวี้เป่าเอ๋อร์กลอกตาไปมา และมองไปมองพี่สาวของตนด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงพบว่าท่านอ๋องซิวปฏิบัติต่อพี่สาวของเขาดีมาก ไม่ว่าคำพูดคำจาหรือกิริยาท่าทางต่าง ๆ ก็ดูราวกับว่าเอาอกเอาใจพี่สาวของตนอยู่
“จริงสิ เป่าเอ๋อร์ถูกส่งมาที่นี่ แล้วตระกูลอวี้ไม่ได้ไปหาเย่ฮ่าวหรานเพื่อตามเจ้าหรือ? ”
วันนี้เย่ซิวตู๋ดูเหมือนจะชอบเนื้อจานนั้นเป็นพิเศษ เช้า ๆ แบบนี้เขาก็ได้กินเข้าไปอย่างไม่กลัวว่าจะมันเลี่ยน และยังคงคีบกินอยู่ตลอด เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงสาวเขาก็เพียงพยักหน้าเบา ๆ “ไม่เป็นไร เจ้าแปดรับมือได้ พูดอีกอย่างก็คือตระกูลอวี้นับว่าเป็นเกราะกำบังไม่ให้อวี้เป่าเอ๋อร์เข้าใกล้เสนาบดีฝ่ายขวา พวกเขาแค่ป้องกันจวนของเสนาบดีฝ่ายขวาไว้ ไม่ให้อวี้เป่าเอ๋อร์เข้าไปใกล้ก็พอแล้ว”
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า และมองไปยังอวี้เป่าเอ๋อร์ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูราวกับว่ายังไม่กล้าคีบอาหารมากมาย นางจึงลอบถอนหายใจอยู่ในใจและคีบอาหารแทนเขา ใครจะคาดคิดว่าเมื่อยื่นตะเกียบออกไป เนื้อจานนั้นก็ลดลงไปถึงก้นจานแล้ว
นางมองไปยังเย่ซิวตู๋ด้วยความสงสัย “วันนี้ห้องครัวทำอาหารจานเนื้อได้อร่อยเป็นพิเศษหรือ?”
“ก็ไม่เลว” เย่ซิวตู๋ตอบกลับหน้าตาย
โม่เสียนที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ เหลือบมองบนขึ้นไปยังคานที่แกะสลักอย่างสวยงาม อยากจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้ายิ้มออกมา
นายท่าน อวี้เป่าเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เด็กที่ฟันยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม และยังเป็นน้องชายของแม่นางอวี้ ท่านยังจะคิดหึงหวงอยู่อีกหรือ
เย่ซิวตู๋วางชามและตะเกียบลง เขาอาจจะกินมากเกินไป จึงรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้น “ข้าไปห้องตำราก่อน เจ้ากินเสร็จแล้วก็ไปรอข้าที่ประตู อีกสักพักจะเข้าวังกัน”
“อื้ม” อวี้ชิงลั่วตอบกลับหนึ่งคำ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเดินไปไกลแล้ว นางก็กินเข้าไปอีกไม่กี่คำ เมื่ออิ่มแล้วจึงวางตะเกียบลง และสนทนากับอวี้เป่าเอ๋อร์ไม่กี่ประโยค
“เป่าเอ๋อร์ อีกสักพักข้าจะไปเข้าวัง เจ้าอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋องอย่างเชื่อฟังล่ะ มีเรื่องอะไรเจ้าก็ไปหาเยว่ซินได้โดยตรง ไม่ต้องกลับไปที่จวนตระกูลอวี้แล้ว ต่อไปก็อยู่ที่ตำหนักท่านอ๋องก่อน ไม่ต้องเกรงใจจนเกินไป ส่วนจวนของเสนาบดีฝ่ายขวานั้นเจ้าเองก็ไม่ต้องไปแล้ว เสนาบดีฝ่ายขวาไม่ใช่คนโง่ เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่าอวี้ชิงโหรวเป็นคนเช่นไร? ถ้าหากว่าเขาจะแต่งงานจริง ๆ เขาก็คงจะแต่งไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ยื้อมาถึงตอนนี้หรอกเข้าใจใช่ไหม?”
อวี้เป่าเอ๋อร์ตกตะลึง และนึกขึ้นมาได้ว่าถ้าเสนาบดีฝ่ายขวาต้องการจะแต่งงานจริงก็คงจะแต่งไปแล้ว
เด็กชายพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้าเข้าใจแล้วท่านพี่ เช่นนั้นแล้วท่านก็รีบกลับมา เป่าเอ๋อร์มีเรื่องราวมากมายอยากจะสนทนากับท่าน”
“อื้ม ยังมีอีก เจ้าอย่าลืมกินให้เยอะ ๆ ล่ะ เจ้าผอมเกินไปแล้ว”
อวี้ชิงลั่วยิ้มและเอ่ยกำชับไม่กี่คำ จึงปล่อยเยว่ซินเอาไว้ ก่อนที่จะขึ้นรถม้าตามเย่ซิวตู๋ไปเพื่อเดินทางเข้าพระราชวัง
ครั้นรถม้าของทั้งสองคนพึ่งจะเข้ามาถึงประตูพระราชวังก็พบว่าคนของเหมิงกุ้ยเฟยได้มายืนรออยู่ข้าง ๆ ประตูแล้ว เมื่อพบกับทั้งสองจึงรีบโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อง เหนียงเหนียงให้กระหม่อมมาต้อนรับท่านอ๋องและแม่นางชิงพ่ะย่ะค่ะ”
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โม่เสียนยิ้มอรุ่มเจ๊าะในใจแล้วหนึ่ง ท่านอ๋องหนอ กับน้องชายภรรยาก็ไม่เว้น ทำไหน้ำส้มแตกไปกี่ใบแล้วท่าน
นังกุ้ยเฟยมีแผนอะไรในใจอีกหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)