ตอนที่ 435 อย่าเพิ่งขึ้นราคา

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 435 อย่าเพิ่งขึ้นราคา

หกโมงเช้าเวียนมาบรรจบอีกวัน หลินม่ายตื่นนอนตรงเวลา

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อหาซื้อหนังสือพิมพ์

พอได้หนังสือพิมพ์มาแล้ว ก็กวาดสายตามองหาบทความของหนิวลี่ลี่เพื่อติดตามผลของเมื่อวานนี้ เรื่องใครลอกใครกันแน่ระหว่าง Unique กับซีม่าน

กลับกลายเป็นว่าพาดหัวข่าวในหน้าแรกเป็นบทความที่เขียนขึ้นโดยหนิวลี่ลี่เช่นเดียวกัน แต่เป็นเรื่องที่เธอส่งหลักฐานไปยังเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลตามเสียงเรียกร้องของคนส่วนใหญ่

เธออ่านมันด้วยความสนใจ

ผลสรุปก็คือผู้อำนวยการหูจากคณะกรรมาธิการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ ถูกคณะกรรมการตรวจสอบวินัยสอบสวนเข้ม จึงรู้สึกมีความสุขมาก

ร่มป้องกันลมฝนของกวนหย่งหัวหายไปคนหนึ่งแล้ว อยากรู้นักว่าในอนาคตเขาจะหันหน้าไปพึ่งใคร!

เธออ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป ไม่นานก็เจอบทความที่นำเสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอกเลียนแบบที่หนิวลี่ลี่คอยติดตามและนำเสนอข่าวอย่างใกล้ชิด

หนิวลี่ลี่เขียนไว้ในบทความว่า ทันทีที่บทความสัมภาษณ์นายกวนหย่งหัวเจ้าของโรงงานตัดเสื้อซีม่านถูกเผยแพร่ลงหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้ หลินม่ายเจ้าของโรงงานตัดเสื้อ Unique ก็เข้าร้องเรียนกับสำนักหนังสือพิมพ์เช่นเดียวกัน

เธอย้ำว่า Unique ไม่เคยลอกเลียนแบบสไตล์เสื้อผ้าของซีม่าน แต่ซีม่านต่างหากที่ลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของเธอ

นอกจากนี้ยังขอให้นักข่าวเดินทางไปขึ้นศาลกับเธอเพื่อฟ้องร้องกวนหย่งหัวเจ้าของโรงงานซีม่านในข้อหาหมิ่นประมาท

จุดประสงค์คือเพื่อให้เขาแสดงคำขอโทษต่อสาธารณะผ่านทางหนังสือพิมพ์ และกอบกู้ชื่อเสียงของร้าน Unique

หนิวลี่ลี่ยังเขียนแนบท้ายบทความไว้อีกว่า มารอติดตามกัน ว่าใครลอกใครกันแน่!

มุมปากหลินม่ายยกขึ้นทันที

อดสงสัยไม่ได้ว่ากวนหย่งหัวกับหวังหรงจะตื่นตระหนกแค่ไหนหลังจากได้อ่านบทความนี้

ทางด้านกวนหย่งหัวไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเมื่อเห็นบทความดังกล่าว เพราะเขาเตรียมมาตรการรับมือไว้แล้ว

แต่เขารู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อยเมื่ออ่านเจอว่าผู้อำนวยการหูถูกคณะกรรมการตรวจสอบวินัยสอบสวนเข้ม

แถมบทความนั้นยังระบุด้วยว่า สาเหตุที่ผู้อำนวยการหูกลั่นแกล้งธุรกิจเสื้อผ้า Unique ก็เพราะเขาเป็นผู้ติดสินบน

กวนหย่งหัวกังวลมาก ว่าเขาจะถูกตัดสินโทษในข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐด้วยหรือไม่

เขาตั้งใจมาที่เจียงเฉิงเพื่อเปิดโรงงานตัดเสื้อ นั่นก็เพราะเขาต้องการกอบโกยเงินปันผลก้อนโตจากจีนแผ่นดินใหญ่จากการทำธุรกิจ เพื่อรับทองคำก้อนใหญ่ไม่ใช่หรือ?

ตอนนี้อย่าว่าแต่ทองคำก้อนใหญ่เลย แม้กระทั่งเศษเหล็กชิ้นเล็ก ๆ เขาก็ยังไม่ได้รับ

อีกหน่อยเขาไม่ถูกเพื่อนร่วมงานในฮ่องกงหัวเราะเยาะแย่เหรอ ถ้าเขาต้องมาติดคุกหัวโตเพราะติดสินบนเจ้าหน้าที่ราชการด้วยเงินแค่เล็กน้อย?

แม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงเจ็ดโมงตรง แต่กวนหย่งหัวก็โทรศัพท์ไปหาที่ปรึกษาทางกฎหมายในฮ่องกงอย่างจดจ่อ

ทนายความคนนี้ไม่เพียงเชี่ยวชาญด้านกฎหมายฮ่องกงเท่านั้น แต่ยังรอบรู้กฎหมายจีนเป็นพิเศษ

ที่ปรึกษาทางกฎหมายบอกกวนหย่งหัวทางโทรศัพท์ว่าระดับความผิดของการติดสินบนขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของผลกระทบ คงไม่พ้นถูกตักเตือนและเรียกค่าปรับเท่านั้น ไม่ถึงกับต้องจำคุก

ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็แนะนำให้เขาหาแพะรับบาปโดยเร็วที่สุด เพื่อปิดช่องโหว่ทางอาชญากรรมของตัวเอง

นั่นก็เพื่อไม่ให้ผู้หลักผู้ใหญ่เกิดความประทับใจอันย่ำแย่ต่อเขา ทำให้การประกอบธุรกิจในอนาคตยิ่งยากเข้าไปใหญ่

แต่การหาแพะรับบาปไม่ใช่เรื่องง่าย

กวนหย่งหัวเข้าไปที่โรงงานตัดเสื้อซีม่านโดยทันที เรียกปี้ซิงผู้จัดการฝ่ายขายให้ตามไปพบที่ออฟฟิศ

จากนั้นก็เริ่มการเจรจาให้เขายอมเป็นแพะรับบาป โดยเสนอเงินให้จำนวนหนึ่งพันหยวน

แผนก็คือถ้าคณะกรรมการตรวจสอบวินัยมาสอบสวน ให้บอกไปว่าเขากลัวว่าตัวเองอาจไม่สามารถทำยอดขายที่เจ้านายวางไว้ได้ตามเป้า ดังนั้นจึงเลือกติดสินบนผู้อำนวยการหู เพื่อกำจัดคู่แข่งอย่าง Unique

ผู้จัดการฝ่ายขายตกลงอย่างง่ายดาย

โทษที่เขาได้รับอย่างมากก็แค่ถูกตักเตือน ไม่ต้องติดคุกให้เสียประวัติ แถมยังได้รับเงินจำนวนหนึ่งพันหยวนมาง่าย ๆ นี่ถือเป็นพายชิ้นใหญ่จากฟากฟ้า คนโง่เท่านั้นแหละที่ไม่ยอมทำ!

หลังจากจัดหาแพะรับบาปเสร็จเรียบร้อยแล้ว กวนหย่งหัวก็เคาะม้วนหนังสือพิมพ์ลงกับโต๊ะเป็นจังหวะ พลางแสดงสีหน้าเย้ยหยัน “หวังให้ฉันขอโทษเธองั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!”

จากนั้นก็วานให้เลขาสาวไปเรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมาย สั่งให้เขาไปขึ้นศาลเพื่อฟ้องหลินม่ายกลับในข้อหาหมิ่นประมาท

จุดประสงค์คือขอให้เธอแสดงความขอโทษเขาผ่านทางหนังสือพิมพ์ และกอบกู้ชื่อเสียงของแบรนด์ซีม่าน

พอแผ่นหลังของเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฎหมายลับสายตาไป กวนหย่งหัวก็กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างลำพองใจ

ไม่เห็นจะยาก คอยดูเถอะว่าใครจะได้หัวเราะทีหลังดังกว่า!

ที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง พ่อหรงก็ได้เห็นบทความในหนังสือพิมพ์ที่เขียนเกี่ยวกับกวนหย่งหัว

หวังหรงรู้เข้าก็กระวนกระวายทันทีเหมือนมดย่ำบนกระทะร้อน รีบแจ้นไปที่เกสต์เฮ้าส์ของกวนหย่งหัวตั้งแต่เช้าตรู่ ถามว่าเขามีมาตรการรับมืออย่างไรบ้าง

หวังหรงเพิ่งออกไปได้ไม่นานก็กลับมาอย่างมีความสุข บอกพ่อกับแม่ว่ากวนหย่งหัวเตรียมแผนรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล

พ่อหรงและแม่หรงกลืนหัวใจกลับลงท้องไปอีกครั้ง

ตอนนี้พวกเขาหมดกังวลแล้ว แต่แม่หรงยังมีความคิดว่าจะทำให้ธุรกิจ Unique ของหลินม่ายเสื่อมเสียชื่อเสียง โดยประจานในที่สาธารณะต่อไป

วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน สามพ่อแม่ลูกไม่ได้ทำงานในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป ต่อให้ฟางจั๋วหรานจะออกโรงจัดการพวกเขาด้วยตัวเอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

ประกอบกับมีนักธุรกิจชาวฮ่องกงอย่างกวนหย่งหัวคอยหนุนหลัง พวกเขาจึงไม่เหลือยางอายใด ๆ อีก

อย่างน้อยก็ได้ใช้โอกาสนี้เพื่อแก้แค้นผู้หญิงสารเลวอย่างหลินม่าย แล้วทำให้ว่าที่ลูกเขยพึงพอใจ!

หลินม่ายไม่รู้ความคิดอันดำมืดของแม่หรง

ต่อให้รู้ แต่เธอก็ไม่คิดจะหยุดการกระทำของอีกฝ่าย แถมยังหวังให้แม่หรงสร้างความวุ่นวายให้ถึงที่สุด

แปดโมงเช้า หลินม่ายไปที่โรงงานตัดเสื้อ Unique เพื่อเรียกประชุมเป็นการเฉพาะกิจ

เธออยากรู้ว่าข่าวเชิงลบที่กวนหย่งหัวเป็นฝ่ายใส่ร้าย Unique ว่าลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของซีม่านลงในหนังสือพิมพ์เมื่อวานนี้ ส่งผลกระทบต่อยอดขายของร้าน Unique ยังไงบ้าง

เหรินเป่าจูเป็นคนรายงานสถานการณ์ “ผลกระทบไม่ใหญ่โตมากค่ะ ลูกค้าไม่สนใจว่าใครก๊อปใครกันแน่ สนใจแค่ว่าร้านไหนขายเสื้อผ้าคุณภาพดีในราคาถูกกว่ากัน ซีม่านเสียเปรียบเราในเรื่องราคา ต่อให้พวกเขาพยายามขัดขาเราเท่าไหร่ ก็แข่งขันกับแบรนด์ Unique ของเราไม่ได้”

หลินม่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เสนอว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ อีกไม่นานเราก็ควรขึ้นราคาเสื้อผ้าทั้งหมดในร้านบ้างแล้ว ขอแค่ถูกกว่าร้านซีม่านสักสองหยวนก็ยังดี”

โฮ่วซินอี้พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

เหรินเป่าจูกลับลังเล ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันขอคัดค้าน”

หลินม่ายเงยหน้ามอง “เหตุผลล่ะ?”

“สาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขายเมื่อวานของเราลดลงเล็กน้อย เป็นเพราะซีม่านลอกเลียนแบบกลยุทธ์การส่งเสริมการขายจากเรา โดยการใช้ของแถมฟรีมาเป็นสิ่งจูงใจลูกค้า ของแถมของเราเป็นแค่ผ้าเช็ดหน้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ฝั่งเขาใจกว้างกว่า ถึงกับแถมผ้าพันคอสี่เหลี่ยมให้ลูกค้า จากคำโฆษณาชวนเชื่อของพนักงานขายร้านซีม่าน ผ้าพันคอสี่เหลี่ยมพวกนั้นนำเข้าจากฮ่องกงทั้งหมด มูลค่าผืนละหลายหยวน ลูกค้าบางคนเลยยอมซื้อเสื้อผ้าจากร้านนั้นเพราะอยากได้ของแถมชิ้นนี้ ถ้าเราขึ้นราคา คราวนี้คงสูญเสียความได้เปรียบด้านราคาไปจริง ๆ”

หลินม่ายไม่รู้ว่าซีม่านมีกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบนี้ด้วย

เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ “ผ้าพันคอสี่เหลี่ยมพวกนั้นคุณภาพดีไหม?”

เหรินเป่าจูหยิบผ้าพันคอสี่เหลี่ยมที่ว่าออกมาแล้วส่งให้หลินม่าย “ถึงตอนมองแวบแรกจะดูเหมือนเป็นสินค้าค้างสต็อก แต่ก็ให้ความรู้สึกหรูหรา สีสันสวยงาม แถมยังทำจากผ้าไหมแท้ คุณภาพไม่เลวเลย”

หลินม่ายพิจารณาผ้าพันคอสี่เหลี่ยมในมือ ก่อนจะส่งคืนให้เหรินเป่าจู “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเพิ่งขึ้นราคา”

ถึงยังไงต้นทุนการผลิตเสื้อผ้าของเธอก็อยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าเจ้าอื่นอยู่แล้ว ราคาถูกแต่ก็ยังได้กำไร ต่อให้ช่วงนี้ยังขึ้นราคาไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

หลังเสร็จสิ้นการประชุม ทุกคนก็ทยอยเดินออกจากห้องประชุมพร้อมกัน

หลินม่ายเดินเข้าไปหาเถาจืออวิ๋น พูดกับเธอว่า “ขอบคุณพี่มากนะที่อุตส่าห์ตัดเสื้อให้ฉัน”

เถาจืออวิ๋นเหมือนคนหูหนวก ไม่ตอบสนองต่อคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย แถมยังเหม่อลอยผิดปกติ

หลินม่ายสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น จึงขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรไม่สบายใจเหรอ?”

เถาจืออวิ๋นยังคงจมอยู่ในโลกของตัวเองต่อไป ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น

หล่อนนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งหลินม่ายสะกิดสองสามครั้งถึงได้รู้สึกตัว ถามอย่างว่างเปล่า “มีอะไรเหรอ?”

หลินม่ายพูดประโยคก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วและถามว่า “พี่เป็นอะไรไป?”

เถาจืออวิ๋นเกลี่ยปอยผมขึ้นไปทัดไว้หลังหู จากนั้นก็ยิ้มบาง ๆ “ฉันสบายดี แค่กำลังนึกถึงเรื่องบางอย่าง ไม่รู้ว่าควรบอกเธอดีไหม”

หลินม่ายเหลือบมองหล่อน “พี่เห็นฉันเป็นคนนอกไปแล้วเหรอ มีอะไรที่ไม่สะดวกใจจะบอกกัน?”

จากนั้นเถาจืออวิ๋นจึงพูดว่า “ฉันแค่อยากเสนอให้เธอปรับเวลาเข้าเรียนและเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนอนุบาลใหม่ ถ้าเริ่มเรียนเวลาเจ็ดโมงครึ่ง แล้วเลิกเรียนตอนสี่โมงเย็น ฉันคิดว่าพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ คงมารับไปส่งเด็ก ๆ ได้สะดวกกว่าตอนนี้”

ชาติที่แล้วหลินม่ายเคยเห็นข่าวการร้องเรียนของผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นอนุบาลและประถมผ่านทางอินเทอร์เน็ต

พวกเขาบอกว่าการจัดเวลาเรียนของทางโรงเรียนนั้นค่อนข้างไร้มนุษยธรรม

เพราะเวลาเข้าเรียนของเด็ก ตรงกันกับเวลาเข้างานของผู้ปกครอง

เวลาเลิกเรียนของเด็ก ก็มักจะตรงกันกับเวลาเลิกงานของผู้ปกครองเช่นกัน

ทำให้ผู้ปกครองไม่สะดวกในการพาบุตรหลานไปส่งและรับกลับจากโรงเรียน

ชาติก่อนเธอไม่มีลูก จึงไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่

และถึงแม้ชาตินี้เธอจะมีโต้วโต้ว แต่คุณปู่ฟางกับภรรยาของเขาก็เป็นกำลังหลักในการรับส่งโต้วโต้วไปโรงเรียน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร

เธอตบแขนเถาจืออวิ๋นเบา ๆ “เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ นั่นแหละ ถึงได้ส่งผลต่อสภาพจิตใจของพี่แบบนี้ ไว้ฉันจะไปคุยกับอาจารย์ใหญ่อีกที”

หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในสำนักงาน หยิบกระเป๋าแล้วออกจากโรงงานไป

ไม่ไกลจากตรงนั้น มีสายตาคู่หนึ่งคอยเฝ้าจับตามองท่าทางของหลินม่ายกับเถาจืออวิ๋น

หลินม่ายขี่จักรยานไปที่โรงเรียนอนุบาลเสี่ยวหงฮวา ขอให้อาจารย์ใหญ่ปรับเวลาเข้าเรียนและเลิกเรียนเสียใหม่

ไม่ลืมบอกให้อาจารย์ใหญ่แจ้งพนักงานและคุณครูทุกคนว่าจะเพิ่มค่าจ้างให้คนละห้าหยวน

บุคลากรในโรงเรียนต้องทำงานเพิ่มขึ้นวันละหนึ่งชั่วโมงก็จริง แต่อย่างน้อยก็ยังได้รับค่าจ้างเพิ่ม ทำให้ไม่มีใครคัดค้านการปรับเวลานี้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ฝั่งนั้นเขาก็เหลี่ยมเหมือนกันนะม่ายจื่อ อย่าเพิ่งเสียเปรียบเชียว

ไหหม่า(海馬)