บทที่ 376 ท่าทีที่เย็นชา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

หลังจากที่ได้ดูคลิปเหตุการณ์นี้ไป นัทธีก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น

รอจนเลขากับแม่บ้านมาทำความสะอาดให้จนแล้วเสร็จ ตัวเขาเองก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้

จนกระทั่งตอนเย็นวารุณีโทรมาหา เขาก็เพิ่งจะฟื้นสติขึ้นมาได้บ้าง

“ที่รัก วันนี้คุณยุ่งมากเลยเหรอคะ ?”เสียงปลายสายของวารุณีเอ่ยถามขึ้นมา

นัทธีหลุบตาลง “ไม่ มีอะไร?”

“เอ่อ……”ไม่รู้ว่าเพราะคิดไปเองรึเปล่า วารุณีรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาเย็นชาไปหน่อย แต่เพราะเขาพูดออกมาน้อยคำ เธอก็เลยไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร

บางทีเธออาจจะฟังผิดไปก็ได้

เมื่อคิดได้แบบนี้ วารุณีก็จึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ยิ้มแล้วพูดว่า“ ปรกติเวลานี้คุณมารับฉันแล้ว วันนี้คุณยังไม่มา เลยโทรมาถาม คิดว่าคุณคงน่าจะยุ่งอยู่ ”

“อืม ผมจะไปเดี๋ยวนี้”นัทธีตอบกลับ

“ค่ะ ขับรถดีๆนะคะ”วารุณีพยักหน้ารับ

เมื่อได้ยินคำว่าขับรถดีๆ ม่านตาของนัทธีก็ไหวสั่น สีหน้าก็ดำดิ่งแน่นิ่งลง ในหัวสมองมีภาพของรถคันสีแดงนั้นโผล่ขึ้นมา รถที่ชนพ่อแม่ของเขา

นัทธีวางโทรศัพท์ในมือลง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ระเบียงเพื่อรับลมเย็นๆ ให้ลมเย็นนั้นพัดพาปัดเป่าให้หัวสมองไม่คิดฟุ้งซ่าน

หากเขาสงบสติอารมณ์ลงไม่ได้ กับแค่การขับรถเขายังไม่รู้เลยว่าจะสามารถควบคุมมันได้ไหม

ยืนรับลมอยู่ได้สักพัก นัทธีก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง จากนั้นก็จึงออกจากที่ทำงาน ขับรถมุ่งตรงไปยังบริษัทของวารุณี

วารุณีกับลีน่าและปาจรีย์กำลังยืนคุยกันอยู่ตรงชั้นล่างของบริษัท

ลีน่ากำลังเตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน ดังนั้นจึงมาเพื่อที่จะบอกลาวารุณีกับปาจรีย์

ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นรถหรูไมบัคสีดำคันหนึ่งก็ขับเข้ามา เทียบจอดอยู่ตรงข้างๆของพวกเขาสามคน

“วารุณี สามีเธอมาแล้ว”ลีน่าดันวารุณีออกห่าง แล้วยิ้มให้อย่างมีเลศนัย

วารุณีมองเธอแล้วยิ้มเยาะให้“ไปแล้วก็ตั้งใจทำผลงานให้ดี เดือนหน้าฉันก็จะไปแข่งขันระดับนานาชาติที่ต่างประเทศเหมือนกัน บางทีเราอาจจะได้เจอกันนะ”

“ต้องเจอกันแน่นอน ฉันได้ยินอาจารย์บอกว่า การแข่งขันการออกแบบนานาชาติของเธอ รอบชิงชนะเลิศ มีความเกี่ยวพันกับการแข่งขันออกแบบเครื่องประดับของฉัน ขอแค่เราสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ต้องได้เจอกันแน่นอน” ลีน่าตบไปที่ไหล่ของวารุณี

ปาจรีย์ยิ้มแล้วพูดว่า“พวกเธอทั้งคู่เก่งกันขนาดนี้ เข้ารอบชิงไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก ”

“ก็จริงนะ”วารุณีกับลีน่ามองหน้ากันแล้วพากันหัวเราะออกมา

หลังจากนั้น วารุณีก็โบกมือให้กับทั้งสองคน“ เอาล่ะปาจรีย์ ลีน่า ฉันไปก่อนนะ”

“แล้วเจอกันบ๊ายบาย!” ลีน่ากับปาจรีย์พยักหน้าให้

วารุณีเดินมาที่รถยนต์ไมบัค แล้วเปิดประตูด้านข้างคนขับออกแล้วขึ้นนั่ง “ขอโทษด้วยนัทธี ทำคุณรอนายเลยไหมคะ ?”

นัทธีไม่ตอบ แต่กลับจ้องมองหน้าเธอเหมือนกำลังมองหาอะไร

ใบหน้าของเธอสวยงามมาก เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาเลยก็ว่าได้

ใบหน้าที่สวยงามนี้ กับใบหน้าที่อ่อนเยาว์และไร้เดียงสาที่เขาเห็นมันผ่านคลิปวิดีโอในวันนี้ เหมือนเป็นภาพที่ทับซ้อนกันเลย

ไม่ว่าพวกเธอแม่ลูกจะเป็นคนที่ขับรถชนพ่อแม่ของเขาหรือไม่ แต่พวกเธอแม่ลูก ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

แล้วเขา จะทำยังไงกับเธอดี ?

“นัทธี ? นัทธีค่ะ?”เมื่อจู่ๆนัทธีเหม่อลอย วารุณีก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ยื่นมือไปด้านหน้าแล้วโบกไปมา

ดวงตาของนัทธีก็ไหวสั่น แล้วได้สติ “ว่าไง?”

“ฉันกำลังคิดว่าคุณเป็นอะไร เมื่อครู่ก็เหม่อลอย เรียกก็ไม่ได้ยิน”วารุณีกล่าว

นัทธีหลุบตาลงต่ำ เก็บซ่อนอารมณ์ในดวงตา น้ำเสียงทุ้มต่ำตอบกลับไปว่า “โทษที เราไปกันเถอะ”

“ค่ะ”วารุณีพยักหน้าให้ แต่ในใจก็กลับรู้สึกแปลกใจมากยิ่งขึ้น

เขาเป็นอะไรไป

ทำไมถึงได้ว่าง่ายอย่างนี้ เหมือนมีอะไรในใจ แต่ก็ไม่ยอมบอกเธอ หรือว่าที่บริษัทเกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ ?

ระหว่างทาง ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ภายในรถจึงมีเพียงเสียงลมหายใจของคนทั้งคู่เท่านั้น

เดิมทีวารุณีก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน หาเรื่องชวนอีกฝ่ายพูดคุยด้วย แต่นัทธีก็ไม่ต่อบทสนทนาของเธอ เอาแต่จ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า ราวกับไม่ได้ยินที่เธอพูดยังไงอย่างนั้น

ผ่านไปสักพัก วารุณีก็ไปต่อไม่ได้จึงเงียบไป

เพราะไม่มีการตอบโต้กัน ก็เหมือนพูดอยู่คนเดียว น่าอึดอัดไม่น้อย

ไม่นาน ก็มาถึงที่โรงเรียนอนุบาล

เด็กทั้งสองคนขึ้นรถมาอย่างอารมณ์ดี “คุณพ่อ หม่ามี๊”

“คุณพ่อหม่ามี๊ ทำไมวันนี้มารับช้าจัง ช้ากว่าปรกติไปครึ่งชั่วโมงเลย”อารัณมองดูนาฬิกาบนมือถือแล้วพูดออกมา

ไอริณไม่รู้เรื่องของเวลา และไม่รู้ว่าทั้งสองคนมารับสาย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชาย ก็พยักหน้าให้ตาม

วารุณีหันไปมองลูกทั้งสองคนอย่างรู้สึกผิด “โทษทีนะลูก คุณพ่องานยุ่ง เลยมารับช้าไปหน่อย ”

“ครับ/ค่ะ”เด็กทั้งสองคนพยักหน้าให้

จากนั้นอารัณก็พูดขึ้นอีกครั้งว่า“หากคุณพ่อยุ่ง คราวหน้าไม่ต้องมารับพวกเราก็ได้ครับ อยู่ทำงานเลยนะครับย ”

“ใช่ค่ะ”ไอริณก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน

มองเด็กทั้งสองที่รู้ความและว่าง่ายผ่านกระจกมองหลัง ในใจของนัทธีก็ทั้งอบอุ่นและสับสน

ที่อบอุ่นคือ ความเป็นห่วงที่เด็กทั้งสองมีให้ เขารู้สึกดีใจมาก

และที่สับสนก็คือ หากวารุณีแม่ลูกเป็นคนขับรถชนพ่อแม่ของเขา แล้วเด็กน้อยทั้งสองคนนี้ล่ะ เขาจะทำยังไงกับพวกเด็กๆดี ?

“นัทธี?”เมื่อวารุณีเห็นนัทธีเหม่อลอยขึ้นมาอีก ก็ถามไปด้วยความเป็นห่วงว่า“คุณเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ ?”

“ไม่มี”นัทธีหลุบตาลงแล้วตอบกลับ เข้าเกียร์แล้วสตาร์ทรถออกไป

วารุณีเห็นว่าชายหนุ่มไม่คิดที่จะปริปากพูด อีกทั้งน้ำเสียงก็ค่อนข้างที่จะเย็นชา ริมฝีปากจึงขยับไปมา แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

เด็กทั้งสองคนรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างจากคนทั้งสอง ก็จ้องมองสบตากัน

คุณพ่อกับหม่ามี๊ทะเลาะกันงั้นเหรอ ?

ระหว่างทาง บรรยากาศภายในรถดูแปลกประหลาด และอึมครึมมาก

จนมาถึงที่คฤหาสน์ เด็กทั้งสองคนก็ถึงได้โล่งใจ

“คุณยายส้ม”ป้าส้มกับนวิยายืนรอต้อนรับกันอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน

เด็กทั้งสองคนพอลงจากรถมาได้ ก็วิ่งไปหาป้าส้มทันที

กับนวิยาที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ทำเหมือนมองไม่เห็น

เป็นครั้งแรกที่นวิยาไม่ได้รู้สึกโกรธ และไม่ได้ให้ความสนใจกับเด็กทั้งสอง แต่มองจ้องไปยังนัทธีกับวารุณีแทน

เห็นท่าทีที่ตึงเครียดของนัทธี กับดวงตาที่สับสน มุมปากของเธอก็ยกหยักขึ้น

ดูท่านัทธีคงจะเห็นมันแล้ว ไม่งั้นคงไม่มีท่าทีแปลกๆแบบนี้

แต่ทำไมเขาถึงไม่เปิดอกคุยกับวารุณีจนแตกหักกันไปข้างล่ะ ?

นวิยาหันมองไปยังวารุณีอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไร

วารุณีเองก็กำลังรอรับกระเป๋าเอกสารของนัทธี

นัทธีก็ยื่นมันให้กับเธอ

เมื่อเห็นคนทั้งคู่ยังใช้ชีวิตกันอย่างปรกติ นวิยาก็เม้มริมฝีปาก ในใจรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร

นี่มันอะไรกัน ?

นัทธีเห็นคลิปวิดีโอนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังทำแบบนี้กับวารุณีอีก

หรือเขาคิดว่าวิดีโอนั้นเป็นของปลอม ?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นวิยาก็ขบริมฝีปากแน่น

หากเป็นแบบนี้ เห็นทีแค่คลิปวิดีโอเดียวคงไม่พอ ต้องเอาหลักฐานอื่นเพิ่มให้ด้วยแล้ว

เพราะยังไง เธอต้องทำให้ความสัมพันธ์ของนัทธีกับวารุณีพังลงให้ได้ มันถึงจะไม่เสียแรงที่เธออุตส่าห์เก็บซ่อนวิดีโอนั้นเอาไว้อยู่หลายปี

เพราะการบันทึกคลิปวิดีโอนั้น เธอ……

ดวงตาของนวิยามืดมน ไม่ได้คิดมันต่อ เห็นนัทธีกับวารุณีเดินเข้ามาใกล้ ก็ยิ้มแล้วเอ่ยทักทาย“นัทธี คุณวารุณี ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ”

“ค่ะคุณนวิยา”วารุณีพยักหน้าให้ ตอบกลับไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา

เมื่อนัทธีเห็นนวิยาสวมเสื้อบางเบาเพียงสองตัว ก็ขมวดคิ้วขึ้น“ทำไมไม่ใส่เสื้อคลุม?”

“เมื่อกี้นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น อากาศที่ห้องนั่งเล่นไม่เย็นเท่าไร เลยไม่ได้สวมเสื้อคลุมด้วย”นวิยาสยายไปที่วิกผม ยิ้มแล้วตอบกลับ

“ไปเถอะ เข้าไปข้างในกัน ”นัทธีพยักหน้าให้ ก้าวเท้าแล้วเดินเข้าคฤหาสน์ไป

นวิยาก็ตามหลังไปติดๆ

ครั้งนี้ นัทธีไม่ได้จูงมือของวารุณี เดินเข้าบ้านพร้อมกันอย่างที่เคยทำ แต่กลับเลือกเดินเข้าไปเพียงคนเดียวลำพัง

นวิยาหันมองไปที่วารุณีแล้วยิ้มให้อย่างสื่อความหมาย จากนั้นก็หันหลังไปอย่างรวดเร็ว วิ่งเหยาะๆ ไปข้างๆของนัทธี“นัทธี รอฉันด้วยค่ะ!”