นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 278 เตรียมตัว
กระบี่นั้นไร้ปราณี ถ้าเขาปล่อยนางไปจริง ๆ ไม่รู้ว่ายังจะมีโอกาสกอดน้องนางอย่างนี้อีกครั้งหรือไม่
โจวกุ้ยหลานดิ้นรน นางใช้แรงผลักสวีฉางหลินออก ทว่าสวีฉางหลินกลับไม่ขยับ นางใช้แรงถีบขาสวีฉางหลินทั้งสองข้าง ความขมขื่นในใจแทบไม่ได้รับการบรรเทา แต่กลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
นางก้มหน้าลง กัดเข้าไปที่แขนของสวีฉางหลินด้วยความโกรธแค้น สวีฉางหลินสูดลมหายใจเข้า ผิวหนังค่อย ๆ กลายเป็นสีแดง จนกระทั่งในได้กลิ่นเลือดภายในปาก นางถึงรับรู้ได้ว่าสวีฉางหลินมีเลือดออก
นางผ่อนแรงลง ทุบเข้าไปที่หลังของสวีฉางหลินสองครั้ง ถึงได้รู้สึกผ่อนคลายลง
ตั้งแต่ที่เสี่ยวจิ่วปรากฏตัวขึ้น นางก็เข้าใจว่าตนเองนั้นชอบสวีฉางหลินมาก มากถึงขนาดไม่อยากสงสัยเขา แต่ว่าในวินาทีนี้ นางเพิ่งจะพบว่าตนนั้นมีแต่ความกลัว กลัวว่าเขาจะไปตายที่สนามรบจริง ๆ กลัวว่าจะเหลือแค่นางคนเดียว
“สวีฉางหลิน เจ้า….จริง ๆ แล้วเจ้าเป็นใครกันแน่ ?” โจวกุ้ยหลานถามเขาด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ชื่อเดิมของเจ้า ไม่ใช่ชื่อนี้สินะ ?”
พูดเสร็จ ก็นึกอยากจะหัวเราะออกมา “เจ้าดูสิ พวกเราอยู่ด้วยกันมาเกือบจะสองปีแล้ว แม้แต่ชื่อจริงของเจ้าข้าก็ไม่รู้”
เรื่องเหล่านี้ นางไม่เคยกล้าคิดมากมาก่อน ในวันนี้ กระดาษที่กั้นหน้าต่างระหว่างสองคนเอาไว้ถูกสวีฉางหลินเปิดออกมาอย่างไร้ปราณี นางยังคงแทงมีดเข้าไปในหัวใจของตนเอง แม้ว่าเลือดจะหยดลง แต่นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว
สวีฉางหลินรับรู้ถึงความรู้สึกของโจวกุ้ยหลาน มือยิ่งกำแน่นขึ้น “ข้าชื่อว่าสวีฉางหลิน เป็น….เป็นลูกชายของอัครเสนาบดีสวีเยว่”
“ฮาฮา ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่เหมือนคนอื่น……ทั้งจิตใจและความสามารถของเจ้าไม่มีทางเป็นชาวบ้านทั่วไปแน่ แต่ไม่ว่าจะดีหรือเลวยังไง ข้าก็รู้ชื่อจริงของเจ้าแล้ว งั้นเสี่ยวเทียนนั่นล่ะ ? เขาเป็นลูกของใครงั้นหรือ ?”
โจวกุ้ยหลานไม่รู้ทำไม อยากจะหัวเราะออกมา
สวีฉางหลินเม้นริมฝีปาก “ลูกของจักพรรดิ”
จักรพรรดิ……
ตั้งแต่นางมีชีวิตมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำเรียกของจักรพรรดิ
ก็จริง เขตทุรกันดารอย่างหมู่บ้านต้าสือ นอกจากท่านนายอำเภอก็เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้ว จะไปพบเจอกับจักรพรรดิได้ที่ไหน ? นี่มันจะไกลเกินเอื้อมไปแล้ว
“งั้นฉันคงโชคดีจริง ๆ ที่ได้เป็นแม่ให้กับองค์ชาย งั้นตัวตนของพี่สาวเจ้าล่ะ ?”
สวีฉางหลินไม่กล้าปิดบัง “ฮองเฮา เป็นฮองเฮาแห่งราชวงศ์เฉา”
ที่แท้ก็เป็นฮองเฮา หญิงที่ดูแลคนทั้งโลกด้วยความรัก ตัวตนผู้ชายของนางไม่ธรรมดาจริง ๆ ถึงว่า ถึงว่าทำไมตอนนี้ เขาถึงต้องจากไป
คิดได้ดังนี้ โจวกุ้ยหลานกลับเงียบลง
แถมยัง เงียบผิดปกติด้วย
นางยกมือขึ้น ตบลงไปบนไหล่ของสวีฉางหลิน สวีฉางหลินราวกับว่าสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงปล่อยนางออก
นางยืนนิ่ง เงยหน้าขึ้นมองเขา มองลึกลงไปในแววตา คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทันใดนั้นนางก็ได้ปล่อยวางลง
“ข้าควรจะดีใจ ตอนที่เจ้าต้องการจากไปเมื่อครึ่งปีก่อนแต่ไม่ได้ไป คอยหาหนทางถอยให้ข้า เรื่องนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
สวีฉางหลินรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดนี้ “ภรรยา ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดจะจากเจ้าไป”
“แต่เจ้าเคยมีความคิดไม่ใช่หรือ ?” โจวกุ้ยหลานพูด
ถ้าหากไม่อยากไปล่ะก็ ทำไมต้องเตรียมเงิน เตรียมเมล็ดข้าวพันธุ์ด้วย ?
สวีฉางหลินเงียบลงอีกครั้ง
“เสี่ยวจิ่วเป็นใครงั้นหรือ ?” โจวกุ้ยหลานถามออกไปอีกครั้ง
สวีฉางหลินไม่คิดจะปิดบัง “เป็นองครักษ์ลับของข้า”
“คนรู้ใจตั้งแต่เด็กสินะ” โจวกุ้ยหลานพยักหน้า
สวีฉางหลินยิ่งรู้สึกว่าในใจทุกข์ทรมาน ณ ตอนนั้นเขาอยากให้โจวกุ้ยหลานตะโกนต่อว่าเขา ด่าเขา ทุบตีเขา แต่ไม่ใช่อย่างตอนนี้ที่คอยถามทีละคำถาม
ราวกับว่าเรื่องระหว่างพวกเขาจะไม่มีวันย้อนกลับมาแล้ว ตอนนี้ทำแค่ปล่อยให้นางยอมแพ้ไป
เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ไม่ชอบเลยจริง ๆ
“ภรรยา ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับนาง ให้ข้าช่วยเหลือนายพลหลงเรียบร้อยแล้ว ข้าจะรีบกลับมา !” สวีฉางหลินตื่นตกใจเล็กน้อย คิดจะคว้ามือของโจวกุ้ยหลานเอาไว้ แต่โจวกุ่ยหลานกลับถอยหลังออกไป แววตาทั้งสองข้างมองเขาด้วยความเย็นชา
“สวีฉางหลิน เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำไมข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนทั่วไป แต่กลับไม่เคยถามเจ้าเลย ?” โจวกุ้ยหลานเอียงคอ “เพราะว่าข้ารู้ ว่าเจ้าน่ะมีพื้นหลังบางอย่าง ในเมื่อไม่อยากบอกข้า ข้าก็ไม่ดึงดัน แต่พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะจากไป เจ้าควรจะบอกข้าล่วงหน้าไม่ใช่หรือ ? เจ้าเคยเห็นข้าเป็นส่วนหนึ่งของข้ารึเปล่า ? หรือว่า เป็นแค่ส่วนเสริมของเจ้าเท่านั้น ?”
ไม่รอให้สวีฉางหลินตอบกลับ โจวกุ้ยหลานก็พูดต่อว่า “เจ้าอยากไปข้าก็จะไม่ห้าม ขอบคุณที่เตรียมห้องใต้ดินและเมล็ดข้าวพันธุ์เหล่านี้ อ้อ แล้วก็เงินด้วย”
พูดจบ โจวกุ้ยหลานก็ยกขาก้าวขึ้นบันไดชั้นใต้ดินออกไป
ทว่าแขนของนางได้ถูกคว้าเอาไว้อีกครั้ง นางไม่ขัดขืน กลับกันต่อให้ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์
นางหันกลับมา ทันใดนั้นร่างกายก็ลอยอยู่กลางอากาศ ถูกสวีฉางหลินอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขน
สวีฉางหลินคุกเข่าลง จากนั้นพูดกับโจวกุ้ยหลานว่า “หยิบตะเกียงขึ้นมา”
โจวกุ้ยหลานยื่นมือออกไป หยิบตะเกียงขึ้นมาไว้ในมือ
แสงส่องสว่าง สวีฉางหลินเดินออกไปด้านหน้า โจวกุ้ยหลานสายตามองเขาที่เดินมาที่ผนังว่าง ๆ ผลักหินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงนั้นออก ทันใดนั้นก็ปรากฏช่องทางสำหรับคนหนึ่งคนเดินผ่าน เขาอุ้มนางพลางพาเดินเข้าไป
ภายใต้ความมืด ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของสวีฉางหลิน สิ่งที่มองเห็น มีแค่แสงจากตะเกียงเท่านั้น
ในใจของโจวกุ้ยหลานค่อย ๆ สงบลง อยากลงมาเดินด้วยตัวเอง แต่ทว่าสวีฉางหลินทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงแบกนางเดินต่อไป
โจวกุ้ยหลานได้แต่ปล่อยเขาไป ตอนนั้นทั้งร่างกายและจิตใจนางเหนื่อยล้า
ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไหร่ ในที่สุดทั้งสองคนก็โผล่ออกมาอยู่ภายในถ้ำในภูเขา
สวีฉางหลินวางนางลง จากนั้นขยับมือ ใช้แรงผลักหินที่อยู่ตรงทางปากถ้ำออกไป พวกเขาเดินออกไป เดินอยู่รอบ ๆ ป่าสักพัก สวีฉางหลินปัดกองหิมะออก พร้อมกับก้อนหินจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า ก่อนที่จะเข้าไปในรูเล็ก ๆ
หลังจากเข้าไปแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปด้านนอก
โจวกุ้ยหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังคลานตามเข้าไป
ทันทีที่เข้าไป ก็ต้องประหลาดใจกับภาพที่อยู่ด้านใน
ด้านในนี้ ไม่คาดคิดว่าจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ ด้านในเต็มไปด้วยห้องหินต่าง ๆ ด้านบนมีประตูไม้ นางเดินเข้าไป เปิดประตูออก ด้านในเต็มไปด้วยแป้งที่วางเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ
นางปิดประตูไม้ลง เดินไปยังอีกห้องที่อยู่ข้าง ๆ ผลักประตูออก ด้านในเต็มไปด้วยข้าวสารเต็มห้อง
แค่เมล็ดข้าวพันธุ์ที่นี่ห้องเดียว ก็มากกว่าเมล็ดข้าวพันธุ์ที่อยู่ในห้องใต้ดินของนางแล้ว
โจวกุ้ยหลานตกตะลึง ผลักประตูบานที่สามออก ก็พบว่าด้านในเต็มไปด้วยถ่าน
ห้องที่เหลืออยู่ นางลองดูแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเมล็ดข้าวพันธุ์และของกิน
ของมากมายขนาดนี้ เพียงพอที่จะให้หนึ่งครอบครัวใช้อยู่ที่นี่ได้ตลอดชีวิต
“เจ้าเป็นคนเตรียมของพวกนี้งั้นหรือ ?” โจวกุ้ยหลานอดไม่ได้ที่จะถามไร้สาระออกมา
สวีฉางหลินพยักหน้า จากนั้นพูดออกมาว่า “ถ้าถูกโจมตีเข้ามา เจ้าก็มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แม้ว่าภูเขาจะถูกเผา เจ้าก็อย่าได้กลัว รอข้ากลับมา”
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ หัวใจของโจวกุ้ยหลานก็เกิดการสูบฉีดขึ้น
ถ้าหากก่อนหน้านี้นางยังโทษที่เขาไม่ยอมบอกนางล่ะก็ ครั้งนี้ ความรู้สึกคลั่งไคล้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของนาง ได้กลืนกินความรู้สึกไม่พอใจเหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว