บทที่ 398 ผีสิง

บทที่ 398 ผีสิง

แน่นอนว่านอกจากคนในครอบครัวแล้ว ยังมีอีกไม่กี่คนได้รับรู้เรื่องนี้

ดวงตาของกู้ฉวนลู่มืดลงราวกับว่าเขาจำได้ถึงความเสียใจและความผิดหวัง ในครั้งนั้นเมื่ออาจารย์เห็นเขาไปเรียนเพียงลำพัง ดูเหมือนว่าอาจารย์จะบ่นเกี่ยวกับเขาว่า เหตุใดเขาถึงมาที่นี่เพียงคนเดียว

กู้ฉวนลู่ยังจำสายตาของอาจารย์ได้อยู่เสมอ ตั้งแต่เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นบัณฑิต เขาไม่เคยไปเยี่ยมอาจารย์คนนั้นอีกเลย และแม้แต่อาจารย์ที่สอนเขามา เขาก็ไม่เคยรู้สึกขอบคุณ

ในเวลานั้น กู้ฉวนลู่ต้องตั้งใจเรียนให้หนักเพื่อทำให้คนรอบข้างที่ดูถูกเขาตกตะลึง อย่างไรก็ตาม กู้ฉวนลู่เองไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้และไม่ว่าเขาจะตั้งใจแค่ไหนมันก็ไร้ประโยชน์ หลังจากที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบัณฑิต มันก็ไม่มีทางให้เขาปีนขึ้นไปอีก

เพราะที่บ้านไม่มีเงินส่งเสียเขาอีกแล้ว เขาจึงทำได้แค่กลับบ้าน และหลังจากเรียนหนังสือมาหลายปี เขาจึงไปที่ร้านอาหารเพื่อเป็นคนทำบัญชี

เมื่อกู้ฉวนลู่หวนนึกถึงอดีต เขาก็อยากจะกระอักเลือดออกมา จนกระทั่งพ่อเฒ้ากู้ใกล้จะตายก็ยังบ่นกับตนเองว่า เขาไม่ควรเก็บเงินไว้มากขนาดนี้ และควรให้กู้ฉวนฟู่ไปเรียนหนังสือเสียตั้งแต่ตอนนั้น

เมื่อกู้ฉวนลู่ได้ยินเรื่องนี้ เขาโกรธมากจนแทบอยากจะฆ่ากู้ฉวนฟู่

ซุนซื่อไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อน นางจึงไม่รู้ว่ากู้ฉวนฟู่เคยเรียนมาสองปี และผลการเรียนของเขาในเวลานั้นดีกว่ากู้ฉวนลู่มาก

ซุนซื่อคิดเพียงว่ากู้ฉวนฟู่เป็นชาวนาที่ไม่รู้หนังสือ เขาจะสอนกู้เสี่ยวหวานได้อย่างไร

แม้ว่ากู้ฉวนลู่จะไม่แปลกใจเลย แต่เขาก็พึมพำอยู่ในใจ ในเวลานั้น กู้ฉวนฟู่ไปเรียนที่สำนักศึกษาได้เพียงสองปี และเขายังไม่รู้จักตัวอักษรทั้งหมด เขาจะสอนกู้เสี่ยวหวานได้อย่างไร

กู้ฉวนลู่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับปริศนาทั้งสองที่กู้จือเหวินกล่าวถึง ไม่ต้องพูดถึงว่าพ่อบ้านที่จัดตั้งเวทีนั้นจะบอกว่าเจ้านายของเขาได้เปิดเผยปริศนานี้มาห้าปีแล้วและไม่มีใครเคยไขได้มาก่อน แต่มันกลับถูกทายได้โดยเด็กสาวในหมู่บ้านที่ไม่เคยไปเรียนที่สำนักศึกษา มันช่างแปลกประหลาดเสียจริง

เมื่อเห็นท่าทางที่งงงวยของกู้ฉวนลู่ ซุนซื่อก็นึกถึงบางสิ่งและเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว “สามี เจ้าคิดหรือไม่ว่า กู้เสี่ยวหวานในปัจจุบันและกู้เสี่ยวหวานคนก่อนเหมือนเป็นคนละคนกัน?”

กู้ฉวนลู่ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้ากำลังพูดอะไร?”

“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่ากู้เสี่ยวหวานในอดีตเคยเป็นเช่นไร?”

“นางขี้กลัวและหัวอ่อน เป็นแค่เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านทั่ว ๆ ไป” กู้ฉวนลู่พ่นลมและกล่าว หลังจากที่กู้ฉวนฟู่และภรรยาของเขาเสียชีวิต กู้เสี่ยวหวานก็พาน้องชายน้องสาวสามคนของนางไปหาอาหาร เนื้อตัวสกปรกและมีกลิ่นเหม็น

แค่ดวงตากลมโตที่น่าสะพรึงกลัว

ในช่วงปีใหม่ กู้ฉวนลู่จึงเห็นว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา กู้เสี่ยวหวานที่เคยไปขออาหารที่บ้านเก่าตระกูลกู้ แต่ถูกเฉาซื่อไล่ตะเพิดออกมา ตอนนั้นกู้ฉวนลู่และซุนซื่อก็อยู่ในบ้านเช่นกัน และได้ยินเสียงร้องไห้อันบีบคั้นหัวใจของกู้เสี่ยวหวาน แม้ว่าจะได้ยินแต่ก็แสร้งไม่ได้ยิน

“ไม่ผิด อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่กู้เสี่ยวหวานถูกซินเถาผลักลงไปในน้ำในครั้งนั้น นางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” เสียงของซุนซื่อสั่นราวกับว่ากำลังนึกถึงบางสิ่งที่น่ากลัว

ในอดีต ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความตื่นตระหนก พวกเขาตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นซุนซื่อ แต่ต่อมา ตั้งแต่ที่กู้เสี่ยวหวานตกลงไปในน้ำและฟื้นขึ้นมา นางก็เปลี่ยนไปและแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

หลังจากกู้ฉวนลู่ได้ยินสิ่งที่ซุนซื่อกล่าว เขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิด สิ่งที่ซุนซื่อกล่าวนั้นไม่ผิด กู้เสี่ยวหวานเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

นางมีความกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีใครสอนนาง แต่นางกลับรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ

ในอดีต นางพาน้อง ๆ ไปขออาหาร แต่ตอนนี้นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีใหม่เอี่ยม มีเกวียนวัว และมีที่ดินหลายร้อยหมู่

กู้เสี่ยวหวานไม่เคยเรียนหนังสือเลย นางจะรู้ตัวอักษรได้อย่างไร แม้ว่ากู้ฉวนฟู่และกู้หนิงอันจะสอนหนังสือตามที่ที่นางกล่าวอ้าง แต่นางจะสามารถทายปริศนาที่คนอื่นทายไม่ได้มาห้าปีแล้วได้อย่างไร มันแปลกประหลาดเกินไปหรือเปล่า!

กู้ฉวนลู่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ จึงรู้สึกว่ากู้เสี่ยวหวานผู้นี้น่าสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อซุ่นซื่อเห็นว่ากู้ฉวนลู่แสดงท่าทางสับสนเช่นกัน นางจึงกล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง สามี ตอนนี้เจ้าก็คิดว่ากู้เสี่ยวหวานคนนี้ไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิงใช่ไหม!”

“ไม่ใช่แค่ไม่เหมือนเดิม แต่นี่มันกลับหัวกลับหาง!” กู้ฉวนลู่บ่นอย่างเย็นชา

“ไม่ผิด ข้าคิดเรื่องนี้มาปีกว่าแล้ว! เหตุใดกู้เสี่ยวหวานถึงกลายเป็นเช่นนี้?”

“ทำไม? เป็นไปได้หรือไม่ว่านางเป็นกู้เสี่ยวหวานตัวปลอม!” กู้ฉวนลู่กล่าวอย่างโกรธเคือง

เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะเป็นตัวปลอม?

“ร่างกายไม่ใช่ของปลอม แต่แล้ววิญญาณที่อยู่ภายในเล่า?” ซุนซื่อมองไปรอบ ๆ แล้วลดเสียงลงและกล่าวอย่างลึกลับว่า “สามี เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องผีสิงน่ะ!”

เสียงของซุนซื่อเบาลง นางทำตัวลึกลับและหวาดกลัวเล็กน้อย

หน้าต่างมีช่องเล็ก ๆ เปิดไว้เพื่อระบายอากาศในบ้าน ครั้นกล่าวถึงเรื่องนี้ ลมกระโชกยามกลางคืนก็พัดหน้าต่างที่เปิดอยู่ให้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด กู้ฉวนลู่กับซุนซื่อก็ตกใจและกระโดดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่าหน้าต่างถูกเปิดออก ทั้งสองก็มองหน้ากันและเห็นความหนาวเย็นในดวงตาของกันและกัน

“นายท่านจ้าว…” ชายในชุดดำยืนอยู่ข้างหน้าเขาด้วยความเคารพ

ท่าทางของชายคนนั้นเย็นชา ความเมตตากรุณาที่เขามีเมื่ออยู่ในเมืองหลิวเจียนั้นหายไปไหนกัน

“นกพิราบสื่อสารถูกส่งออกไปแล้วหรือ?” จ้าวเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขอรับนายท่านจ้าว มันถูกส่งไปแล้ว”

“ดี ดี!” ดวงตาของจ้าวเซิงสะท้อนในแสงเทียนสลัว “ส่งคำสั่งออกไป พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้าตรู่”

“ขอรับ!” ชายชุดดำได้รับคำสั่ง เงาสีดำแวบไปราวกับสายฟ้า และบุคคลนั้นก็หายวับไป

ดูเหมือนว่าตอนนี้มีเพียงจ้าวเซิงเท่านั้นที่อยู่ในห้อง

ดวงตาของจ้าวเซิงเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น เมื่อมองดูดวงจันทร์ที่สดใสนอกหน้าต่าง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

ขณะนี้อาโม่กำลังรอฉินเย่จืออยู่บนภูเขา

ช่วงที่ผ่านมา เขาต้องกลับไปที่เมืองหลวงเป็นระยะเวลาหนึ่งเนื่องจากคำสั่งของฉินเย่จือ

โชคดีที่ปีใหม่ได้สิ้นสุดลงในวันนี้ เขาจึงรีบกลับมา

“ช่วงนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?” ฉินเย่จือเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน

“นายท่าน ทุกอย่างเรียบร้อยดี” อาโม่ตอบ หลังจากนั้นเขาก็รายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับบางสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง

ฉินเย่จือพยักหน้า มีองครักษ์ทมิฬของเขาอยู่ในเมืองหลวง ผู้คนที่กระสับกระส่ายเหล่านั้นก็ไม่สามารถหาบางอย่างได้