ตอนที่402 กระท่อมไม้ในฐานลับใต้ดิน (2)
ตอนที่402 กระท่อมไม้ในฐานลับใต้ดิน (2)
นี่ข้าลืมไปได้เยี่ยงไร? ชายที่กำลังก้าวเดินอยู่ตรงหน้าคนนี้ก็คือ บุคคลผู้เป็นอันตรายที่สุดคนหนึ่ง และทุกการกระทำของเย่หลีเทียน รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เคยช่วยเหลือเผื่อแผ่นาง ทั้งหมดนี้ เขาอาจมิได้ช่วยเหลือโดยหวังสิ่งตอบแทนอยู่ก็เป็นได้
เซียถงเดินติดตามเขาเข้าไปในกระท่อมไม้ เพิ่มความระมัดระวังตัวขึ้นเป็นทวี ตัวเรือนค่อนข้างสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ มีกรอบรูปหญิงสาวนางหนึ่งติดอยู่ข้างริมหน้าต่าง ซึ่งหญิงสาวในรูปแต่งกายในชุดแพรพรรณสง่าหรูหรา และยังอุ้มเด็กชายวัยครึ่งขวบอยู่ในอ้อมแขน เด็กน้อยผิวขาวจั๊วะกำลังขบกัดนิ้วตัวเอง พลางยิ้มแย้มหัวเราะอย่างไร้เดียงสา
“ภายในกระท่อมแห่งนี้ไม่มีกระทั่งเม็ดฝุ่น ชุดเครื่องชาสะอาดเอี่ยมราวกับเพิ่งล้างมา หมายความได้ว่า น่าจะมีคนแวะเวียนมาพักแรมอยู่บ่อยครั้ง”
เย่หลีเทียนลองใช้นิ้วปาดไปตามผิวโต๊ะ กลับไม่มีเศษฝุ่นปรากฏให้เห็นเลนสักเม็ด ชำเลืองมองชุดเครื่องชาบนโต๊ะที่ถูกจัดเรียงเป็นระเบียบ
เซียถงก็ยังเหม่อมองภาพวาดบนฝาผนังริมหน้าต่างไม่เสื่อมคลาย การที่คณบดีแขวนภาพวาดอันนี้ไว้ในกระท่อม ก็เป็นที่ชัดเจนว่า ตัวเขากับหญิงสาวนางนี้ควรจะมีความสัมพันธ์ที่หาได้ธรรมดาทั่วไป มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะเป็นรูปภรรยาและลูกชายของเขา ทว่าอย่างไร มันติดอยู่ตรงที่ว่า หญิงสาวนางนั้นในภาพดูมีสง่าราศี กิริยาท่าทางทั้งการวางมือและสีหน้าการแสดงออก ราวกับได้รับการฝึกฝนเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดีเยี่ยม คู่คิ้วและลักษณะดวงตาดูมีโหงวเฮ้ง วาสนาสูงส่ง ที่สำคัญยังมีโฉมหน้างดงามประดุจเทพธิดา ไม่ว่าจะมองยังไง คณบดีก็ไม่มีคุณสมบัติคู่ควรกับหญิงสาวนางนี้เลยสักนิด
มองอยู่สักครู่ เซียถงอดมุ่นคิ้วกล่าวขึ้นมิได้ว่า
“หญิงสาวนางนี้เป็นศรีภรรยาของคณบดีจริงรึ? นางดูมีวาสนาสูงส่งทรงบารมีเกินไป หากไม่เช่นนั้นก็อาจเป็นคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ในอดีต?”
“ครั้นหนึ่งในอดีต หญิงสาวนางนี้เคยถูกขนานนามว่า พระมารดาหลวง มหาราชินีแห่งจักรวรรดิซีฉิน และยังเป็นพระมารดาแท้ๆ ของจักรพรรดิซีฉินองค์ปัจจุบัน หลินหว่านเอ๋อร์”
เย่หลีเทียนแช่มมองภาพวาดบนผนัง
“มหาราชินีแห่งจักรวรรดิซีฉิน?”
เซียถงหันหน้ามองเย่หลีเทียน ทวนคำอุทานซ้ำขึ้นคำหนึ่ง
“เราเคยเห็นภาพวาดนี้ในวังหลวงแห่งซีฉินมาก่อน หลินหว่านเอ๋อร์ เคยได้ชื่อว่าเป็น อิสตรีรูปงามอันดับหนึ่งแห่งทวีปเทียนหลาง เมื่อหกสิบปีก่อน มีผู้ชายนับไม่ถ้วนต่างหลงใหลในความงดงามของนาง และต้องการครองคู่กับนาง สันนิษฐานได้ว่า ตาแก่คณบดีนั่นเองคงเป็นหนึ่งในนั้น คงได้แค่ปรารถนาและนึกเสียดายจวบจนวันนี้”
สีหน้าการแสดงออกของเย่หลีเทียนดูสงบนิ่ง ปราศจากทีท่าตื่นตกใจใดๆ
เซียถงส่ายหัวอาน ตัวนางกลับไม่คิดเช่นนั้น ด้วยสัญชาตญาณความเป็นผู้หญิงด้วยกัน คณบดีกับหลินหวานเอ๋อร์จะต้องมีสายสัมพันธ์คลุมเครืออะไรบางอย่างแน่นอน
“จักรพรรดิซีฉินองค์ปัจจุบันคือเด็กน้อยในอ้อมแขนของหลินหว่านเอ๋อร์กระมัง?”
เซียถงหาได้ต้องการยุ่มย่ามพัวพัน เรื่องราวความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างหลินหว่านเอ๋อร์กับคณบดี เหม่อมองเด็กชายตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของรูปวาด พลางเอ่ยถามออกมา
เย่หลีเทียนพยักหน้าตอบ
“ก็ควรจะเป็นเยี่ยงนั้น”
องค์จักรพรรดิซีฉินในวัยเด็กทารก ช่างน่ารักน่าชังเสีจริง แตกต่างไปจากตอนนี้ที่สันดานนิสัยน่ารังเกียจเกินบรรยาย พลางนึกถึงใบหน้าอันแสนภาคภูมิใจของอีกฝ่ายในตอนงานประลองสี่จักรวรรดิ เซียถงชักจะหงุดหงิดเดือดดาลขึ้นมา แทบอยากจะเอื้อมมือไปหยิบภาพวาดตรงหน้าโยนทิ้งเสียเหลือเกิน แต่ชั่วขณะนั้นเอง จู่ๆ สีหน้าท่าทีของเย่หลีเทียนก็ดูแปลกไปทันตา เขาขมวดคิ้วแน่นเอ่ยเสียงกระซิบต่ำขึ้นว่า
“มีคนกำลังมา! รีบไปซ่อนก่อนเร็ว!”
ทั้งสองช่วยกันกวาดสายตามองรอบกระท่อม ก่อนที่จะหยุดมองอยู่ ณ จุดเดียวกัน นั่นก็คือบริเวณใต้เตียงไม้ เนื่องด้วยมีผ้าปูที่นอนสีขาวยาวเกินออกมาค่อนข้างมาก นี่จึงเป็นบริเวณดีที่สุดแล้วในการซ่อนตัวแล้ว ทั้งสองรีบหมอบตัวคลานเข้าไปหลบใต้นั้นอย่างรวดเร็ว สักครู่ใหญ่ต่อมา พลันได้กลิ่นคาวเลือดโชยหึ่งมาแต่ไกล ตามมาด้วยรองเท้าผ้าสีเทาคู่หนึ่งที่เดินเหยียบย่าง ปราดเข้ามาประดุจสายลม
เนื่องจากเตียงไม้มีขนาดเล็กหนึ่งคนพอดีนอน เย่หลีเทียนจึงต้องกอดร่างเซียถงเอาไว้แน่นแนบกาย ทั้งสองซ่อนอยู่ใต้เตียงเดียวกัน เนื้อตัวชิดติดกันราวกับกาว แผ่นหลังของเซียถงแนบชิดติดแผ่นอกของเย่หลีเทียน ชนิดที่ว่าไม่มีพื้นที่ว่างให้หายใจหายคอ ซึ่งเรียวขาของนางเองก็เช่นกัน มันพัลวันเกี่ยวนัวอยู่กับขาอีกฝ่าย แต่อย่างไร เซียถงรู้สึกว่า อีกฝ่ายกระชับกอดร่างของนางแน่นเกินไป เกือบทำเอานางหายใจหายคอไม่ออก เช่นนั้นจึงพยายามขยับตัวจัดระเบียบร่างกายใหม่เล็กน้อย
“อย่าขยับ เดี๋ยวก็โดนจับได้พอดี”
เรือนร่างอรชรในอ้อมกอดเคลื่อนขยับหนึ่งจังหวะ เย่หลีเทียนรีบกระซิบเตือนเซียถงโดยไว ลมหายใจไอร้อนรุ่มของชายหนุ่มที่พ่นออกมาข้างใบหู ทำเอาเซียถงสั่นสะท้านโดยไม่มีเหตุผล
กลิ่นไอเลือดโลหิตยิ่งชัดเจนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มันคลุกฟุ้งตลบอบอวลในอากาศ สาวเท้าก้าวดังฉับ ปรากฏเป็นรองเท้าคู่สีเทาอ่อนเดินผ่านต่อหน้าต่อตาทั้งคู่ไป ตรงเข้านั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้ แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ อีกเลย
รองเท้าคู่สีเทาอ่อนไม่มีวี่แววขยับเคลื่อน ทั้งเซียถงและเย่หลีเทียนเองก็ไม่กล้าขยับตามเช่นกัน
สักครู่ต่อมา คล้ายได้ยินเป็นเสียงดื่มน้ำดังอึกใหญ่ น่าจะเป็นเจ้าของรองเท้าตู่สีเทาอ่อนคนนี้ที่กำลังดื่มน้ำคลายกระหายอยู่ ผ่านไปอีกสักครู่ เสียงดื่มน้ำก็หายไป และปรากฏสุ้มเสียงของชายชราดังขึ้นลอยๆ ว่า
“หว่านเอ๋อร์ พวกคนจากตงหลี่มันรู้เรื่องของข้าแล้ว วันนี้ข้ากับราชาหมาป่าสวรรค์ เราเข้าปะทะสัประยุทธ์กัน ข้าได้รับบาดเจ็บมาไม่น้อย แต่น่าเสียดายนัก… สุดท้ายข้าก็ไม่สามารถล้างแค้นให้เจ้าได้อยู่ดี ฝ่าบาทของเรายังมิอาจบุกยึดตงหลี่มาครองได้”
ได้ยินดังนั้น เซียถงพึงทราบทันทีว่าเป็นเสียงของคณบดี นางเลิกคิ้วอดสงสัยมิได้ ค่อยๆ หันศีรษะเหม่อมองเย่หลีเทียนที่อยู่เคียงข้างด้วยความงุนงง จากนั้น นางก็แบฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาและใช้นิ้วลากเขียนอักษรลงบนนั้น เพื่อใช้เป็นการสื่อสารแทนคำพูดว่า : ‘หรือมันเป็นพ่อที่แท้จริงของจักรวรรดิซีฉิน?’
เนื่องด้วยใบหน้าของเย่หลีเทียนอยู่แนบชิดติดอยู่ที่หลังศีรษะของเซียถง จึงทำให้มองอักษรอากาศที่นางเขียนขึ้นบนฝ่ามือไม่ชัดถนัดตานัก โดยไม่มีทางเลือกอื่นใด เขาจำต้องกลั้นใจค่อยๆ โอบอุ้มร่างของนาง ให้พลิกหันหน้าเข้าหากันอย่างระมัดระวังและเบามือที่สุดเ ทางด้านเซียถงไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวสุ่มสี่สุ่มห้า ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจ ยามนี้ปลายจมูกของทั้งสองแทบติดชน ร่างกายของชายหญิงแนบชิดเบียดเสียด ตรงหน้าของนางก็คือเย่หลีเทียนที่กำลังโอบกอดร่างของนางไว้แน่น ยามทั้งสองสบสายตากัน ก็เป็นฝ่ายชายที่ดวงตาเป็นประกายสว่างไสวขึ้นทันใด
เซียถงเห็นแบบนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ ถลึงตาใส่เย่หลีเทียนไปทีหนึ่ง กลัวว่าอีกฝ่ายจะเผลอไผลทำเรื่องไม่เป็นเรื่องในเวลาแบบนี้ ไม่นาน สายตาคู่นั้นของเย่หลีเทียนก็ค่อยๆ ทุเลาอ่อนลงประดุจสายลมยามฤดูใบไม้ผลิ เคลื่อนสายตาปริ่มมองไปที่ริมฝีปากบางของอิสตรีงามต่อหน้า ถึงจะดูซีดเซียวลงไปมาก ทว่ากลับมีเสน่ห์บางอย่างที่น่าดึงดูดเสียเหลือเกิน จนแทบหักห้ามใจไม่ไหว อยากจะจุมพิตนางสักครั้งหนึ่ง
ยิ่งได้เห็นเย่หลีเทียนมีสายตาอ่อนโยนลงทันควันเช่นนั้น เซียถงยิ่งเป็นกังวลหนัก ก่อนที่ทุกอย่างจะบานปลายไปมากกว่านี้ นางจึงรีบแบฝ่ามือชูขึ้นมาแนบติดอยู่กลางแผ่นอก และใช้อีกฝ่ายพยายามเขียนอักษรอากาศลงไปทีละตัวอย่างยากลำบาก ได้ความว่า : ‘มันเป็นพ่อแท้ๆ ของจักรวพรรดิซีฉินใช่ไหม?’
เย่หลีเทียนมุ่นคิ้วเล็กน้อย จับนางแบฝ่ามือและเขียนตอบลงไปบนนั้นว่า : ‘ไม่รู้’
“ตราบเท่าที่เจ้ายอมให้เวลาอีกสักหนึ่งปี ข้าย่อมสามารถโค่นล้มจักรวรรดิตงหลี่ และล้างแค้นให้แก้เจ้าได้แน่ หว่านเอ๋อร์ หาไม่ใช่เพราะตาแก่นั่นของพวกตงหลี่ เจ้าคงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น และไม่ต้องมาตายแบบนี้… ข้าเกลียดเหลือเกิน ข้าเกลียดพวกมันเหลือเกิน! เกลียดยิ่งกว่าอะไรดี! ข้าสังหารไป๋หลี่เฉิงได้แล้วคนหนึ่ง ตอนนี้ก็ซ่อนตัวอยู่ในตงหลี่เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จุดของพวกขุนนางในวังหลวงตงหลี่ทั้งหมด ล้วนอยู่ในมือข้า ขอเพียงสบโอกาสดีๆ ได้สักครั้ง ย่อมกำจัดพวกมัน และฆ่าราชาหมาป่าสวรรค์ได้ไม่ยาก! จักรวรรดิตงหลี่แห่งนี้จะตกอยู่ในเงื้อมมือฝ่าบาทของเรา แต่อนิจจา วันนี้กลับถูกราชาหมาป่าสวรรค์จับได้เสียก่อน พวกมันกำลังวางแผนกำจัดข้า!”
คณบดีกล่าวกับภาพวาดบนกำแพงราวกับมันมีชีวิตอย่างใดอย่างนั้น