บทที่ 327-2 สู่ขอ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 327 สู่ขอ (2)

ท่านเหล่าโหวจึงรีบเข้าวัง แต่กลับได้ยินว่าฮ่องเต้ออกจากวังไปแล้ว และพาเหอกงกงออกไปด้วย

“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะกลับมาเมื่อใดรึ” ท่านเหล่าโหวถามเว่ยกงกงตรงหน้าประตูหลักของตำหนัก

เว่ยกงกงเอ่ย “ข้าไม่ทราบ ท่านเหล่าโหวมีธุระด่วนจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือ”

จะว่าด่วนก็ด่วน ท่านเหล่าโหวกังวลว่าราชครูจวงจะติดต่อกับจวงไทเฮาเสียก่อน ให้จวงไทเฮาออกราชโองการแต่งตั้งกู้จิ่นอวี่เป็นเช่อเฟย แบบนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายไปเสียแล้ว

ท่านเหล่าโหวเอ่ย “ด่วนทีเดียว”

“อ่า…” เว่ยกงกงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ฝ่าบาทเสด็จไหนข้าไม่ทราบ หากท่านเหล่าโหวไว้ใจข้า ข้าก็ยินดีจะนำความของท่านเหล่าโหวไปทูลให้”

คงทำได้แค่นี้แล้วล่ะ

ท่านเหล่าโหวประสานมือ “รบกวนเว่ยกงกงด้วย”

หนึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าคันหนึ่งก็จอดอยู่หน้าสำนักชี

เว่ยกงกงเดินลงจากรถม้า

ฮ่องเต้กำลังป้อนยาให้จิ้งไท่เฟยในห้องภาวนา

จิ้งไท่เฟยนั่งอยู่ตรงหัวเตียง บนร่างห่มด้วยผ้าห่มผืนบางชั้นหนึ่ง

“ข้ากินเอง” นางบอก “ไม่ได้ป่วยอะไรมากมาย แค่ไข้หวัดเล็กน้อยเท่านั้น ฝ่าบาทจะเสด็จมาทำไม”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอ่ย “หากมิใช่เราจัดคนไว้แอบคุ้มกันเสด็จแม่เงียบๆ ก็คงไม่รู้ว่าเสด็จแม่ป่วยหรอก เมื่อก่อนเสด็จแม่ก็หลอกเราเช่นนี้ ปิดบังเราเสียทุกเรื่องเลย”

จิ้งไท่เฟยยิ้มจางบางพลางเอ่ย “คนเราอายุอานามมากขึ้นก็มักจะป่วยออดๆ แอดๆ เช่นนี้ล่ะ ไหนเลยจะเหมือนตอนสาวๆ ได้ ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์แห่งแคว้น ราชกิจรัดตัวนัก ไม่ต้องระดมคนมามากมายด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก”

ฮ่องเต้แค่นเสียงขึ้นจมูก “ใครบอกกันล่ะ เราเห็นร่างกายไทเฮาแข็งแรงยิ่งนัก! แข็งแรงเสียยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก!”

จิ้งไท่เฟยชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฮ่องเต้จะเอ่ยถึงไทเฮาขึ้นมา

นางยิ้มเอ่ย “ร่างกายไทเฮาแข็งแรงนับเป็นบุญของแคว้นเจา หลายปีมานี้ฟ้ายังไม่สางฝ่าบาทก็ลุกขึ้นมาทำงาน มืดค่ำถึงจะเสวย ทุ่มเทกำลังสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง ไทเฮาก็เป็นห่วงฝ่าบาทอยู่ไม่น้อย”

ฮ่องเต้แค่นเสียงเอ่ย “เสด็จแม่ไม่ต้องพูดแทนนางหรอก”

จิ้งไท่เฟยยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ได้พูดแทนนาง ข้าเข้าวังมาพร้อมกันกับนาง รู้จักกันมาหลายปีเพียงนี้ นางนิสัยอย่างไรข้าจะไม่รู้หรือ มีปากราวกับกรรไกร นิสัยแข็งกร้าวไม่ยอมคน แต่ใจนางเข้าข้างฝ่าบาทนะ”

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็น “หากนางเข้าข้างข้าจริงก็ควรมอบอำนาจมหาศาลในราชสำนักมาให้ข้าแล้วดูแลชีวิตวัยเกษียณที่ตำหนักเหรินโซ่วเสีย”

“เอาละ เอาละ ข้าไม่พูดแล้ว ยาเย็นแล้ว” จิ้งไท่เฟยยกถ้วยยามาเริ่มดื่ม

ฮ่องเต้เฝ้านางเงียบๆ จู่ๆ สายตาก็ตกลงบนปิ่นไม้บนศีรษะจิ้งไท่เฟย จึงขมวดคิ้วเอ่ย “แม้ว่าเสด็จแม่จะสวดมนต์กินเจ แต่ชีวิตช่างยากจนนัก แม้แต่ปิ่นที่พอไปวัดไปวาได้ก็ไม่มี ไม่เหมือนไทเฮา สวมมงกุฎสร้อยมุกและเพชรนิลจินดา ฟุ่มเฟือยยิ่งนัก!”

จิ้งไท่เฟยอ้าปากหมายจะเอ่ยบางอย่างแต่ก็เงียบไว้

นางดื่มยาต่อ

ฮ่องเต้กวาดตามองโต๊ะโล่งๆ ก่อนจะเอ่ยถามแม่นมไช่ที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง “ในห้องไม่มีผลไม้เชื่อมรึ”

แม่นมไช่ยิ้มแหย “ไท่เฟยไม่กินเพคะ”

ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น “เสด็จแม่กินขมเก่งต่างหากล่ะ ผลไม้เชื่อมในตำหนักเหรินโซ่วมีไม่ใช่น้อยๆ !”

จิ้งไท่เฟยกะพริบตาปริบๆ ดื่มยาให้หมดภายในรวดเดียว ก่อนส่งถ้วยเปล่าให้แม่นมไช่ถือไว้ แล้วใช้ผ้าเช็ดมุมปาก สีหน้ายิ้มแย้มเอ่ย “วันนี้ฝ่าบาทเอาแต่พูดถึงไทเฮาเลยนะเพคะ”

ฮ่องเต้ชะงักไป “เราทำรึ”

“อืม” จิ้งไท่เฟยยิ้มมองเขา

ฮ่องเต้แค่นเสียงเอ่ย “แบบนั้นนางก็เกินไปหน่อยแล้วกระมัง เราโมโหนางเสียจนปวดหัวไปหมด เราหวังแค่ว่าจะชิงอำนาจที่แท้จริงมาจากนางได้ในเร็ววัน แบบนั้นก็คงจะรับเสด็จแม่กลับวังได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ”

“เจ้านี่นะ” จิ้งไท่เฟยส่ายหน้าอย่างจนใจ

“ฝ่าบาท เว่ยกงกงมาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยเข้ามาห้องมารายงาน

ฮ่องเต้เอ่ยว่า “เขามาทำอะไรรึ”

จิ้งไท่เฟยเอ่ย “ไปดูเถิด คงจะมีเรื่องสำคัญกระมัง”

ฮ่องเต้ไปได้สองเค่อก็กลับมาพร้อมสีพระพักตร์ที่ค่อนข้างตึงเคร่งทีเดียว

“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้าง” จิ้งไท่เฟยที่นั่งตรงหัวเตียงถามขึ้น

ฮ่องเต้ไม่เคยมีอะไรปิดบังจิ้งไท่เฟยอยู่แล้ว เขาถอดหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย “กู้เฉามาขอราชโองการให้เราอนุญาตสมรสพระทานของหลานสาวเขากับอันจวิ้นอ๋อง”

จิ้งไท่เฟยชะงักไปเล็กน้อย “ติ้งอันเหล่าโหวน่ะหรือ เขาจะเกี่ยวดองกับตระกูลจวงได้อย่างไร”

ทั้งสองตระกูลต่างจงรักภักดีกันคนละฝ่าย เหมือนน้ำกับไฟนั้นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์นั้นไม่ใช่ตัวเลือกแรกของทั้งสองฝ่ายแน่นอน

ฮ่องเต้เอ่ยอย่างเสียไม่ได้ “อันจวิ้นอ๋องล่วงเกินคุณหนูกู้ ซ้ำยังไม่ยินดีจะแต่งนางเป็นชายา แต่งตั้งให้เป็นแค่เช่อเฟย คนอย่างกู้เฉาไม่ปรารถนาชื่อเสียง และไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ แต่เขารับไม่ได้ รู้สึกว่าตระกูลจวงดูถูกกันเกินไปแล้ว ไม่มีท่าทางสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย”

จิ้งไท่เฟยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ย “อันจวิ้นอ๋องน่ะข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง คิดไม่ถึงว่าเขาจะทำเรื่องพรรค์นี้ได้”

ฮ่องเต้ตรัส “บอกตามตรงว่าเราก็คาดไม่ถึงเช่นกัน”

จิ้งไท่เฟยมองสีหน้าเขาก่อนเอ่ยถามต่อ “ฝ่าบาทไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้หรือ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “บอกตามตรงว่าเราค่อนข้างลังเล”

จิ้งไท่เฟยเอ่ยเสียงนุ่ม “ฝ่าบาทห่วงว่าพวกเขาสองตระกูลเกี่ยวดองกันแล้ว สถานการณ์จะไม่เอื้อประโยชน์ต่อฝ่าบาทหรือ”

ฮ่องเต้ส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก กู้เฉาไม่ใช่คนแบบนั้น ยิ่งไปกว่านั้นกู้จิ่นอวี๋ก็ไม่ใช่หลานสาวแท้ๆ ของกู้เฉาด้วย เป็นเพียงเด็กชาวบ้านที่อุ้มผิดมาตั้งแต่เด็ก” ท่านเหล่าโหวไม่มีทางเปลี่ยนจุดยืนของตัวเองเพื่อนางแน่ จุดนี้ฮ่องเต้มั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย

จิ้งไท่เฟยครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทห่วงว่าไทเฮาจะไม่เห็นด้วยหรือ”

ฮ่องเต้ได้ยินเอ่ยถึงไทเฮาสีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาสามส่วน “ไทเฮายังไม่ทราบเรื่องนี้ เราก็ไม่คิดจะไปถามความเห็นนางด้วย”

ถามไปก็ไม่มีทางให้พลิกแก้สถานการณ์อยู่ดี เรื่องนี้หากไม่จัดการทำก็ไม่ต้องทำ แต่ถ้าทำก็ต้องชิงตัดหน้าคว้าโอกาสมาก่อน

“ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาททรงกังวลอะไร” จิ้งไท่เฟยถาม

ฮ่องเต้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงตรัสว่า “สตรีนางนี้เคยก่อหายนะ ชื่อเสียงไม่ค่อยจะดีนัก” ที่สำคัญก็คือนางแย่งคุณูปการมาจากหมอเทวดาน้อย ฮ่องเต้ไม่อาจยอมรับได้ จึงไม่ค่อยอยากจะส่งเสริมกู้จิ่นอวี๋เท่าใดนัก

จิ้งไท่เฟยกลับไม่ได้ถามว่าก่อหายนะใด นางหยุดเว้นแล้วยิ้มถามต่อ “แล้วนางปรับปรุงตัวหรือยัง”

ฮ่องเต้ส่งเสียงอืมออกมา “ได้ยินมาบ้างว่าปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่แล้ว ซ้ำยังปิดบังที่บ้านเรื่องที่ไปบ้านเด็กกำพร้า ยอมลำบากลำบนดูแลเด็กๆ ที่นั่น แล้วยังเหนื่อยจนเป็นลมอีกด้วย”

จิ้งไท่เฟยหัวเราะเสียงนุ่ม “ฝ่าบาท คนรู้ผิดแล้วแก้ไขนับว่าเยี่ยมนัก ยิ่งไปกว่านั้นท่านเหล่าโหวก็มีคุณูปการใหญ่หลวง ยอมโยกย้ายกองทัพตระกูลกู้เพื่อฝ่าบาทโดยไม่เสียดาย ซ้ำยังแบกรับคำครหาเอาไว้ หากฝ่าบาทไม่อาจตอบรับแม้แต่คำขอร้องเล็กๆ ของเขาได้ ก็คงจะทำให้ท่านเหล่าโหวผิดหวังน่าดู”

ฮ่องเต้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ท่านเหล่าโหวไม่เคยขอร้องตนเลยสักครั้ง กว่าจะเอ่ยปากสักคราตนยังมาปฏิเสธอีก มันก็ค่อนข้างไร้เมตตาไปหน่อย

จิ้งไท่เฟยเอ่ยต่อ “จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นท่านเหล่าโหวก็เคยช่วยชีวิตข้าไว้ด้วยนี่นา”

“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” ฮ่องเต้มองจิ้งไท่เฟยอย่างนิ่งอึ้ง

จิ้งไท่เฟยก้มหน้า ก่อนหัวเราะเยาะหยันตัวเอง “มันเป็นเรื่องเมื่อตอนก่อนข้าจะเข้าวัง ข้าไปไหว้พระที่วัด ระหว่างทางกลับมาเจอโจรเข้า โชคดีที่เจอท่านเหล่าโหวชักดาบเข้าช่วยไล่โจรให้หนีไป มิฉะนั้นข้าอาจตายในป่าไปแล้ว”

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงตกตะลึง “ไม่เคยได้ยินเสด็จแม่พูดถึงเลย”

จิ้งไท่เฟยอมยิ้มมองเขา “ตอนนั้นข้าได้รับเลือกเป็นนางในแล้ว ไม่ควรออกจากจวนโดยพลการ ข้าแอบออกไปเอง ก็นะ ตอนนั้นยังเด็กจึงซุกซนนัก”

ฮ่องเต้กระจ่างทันที “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “คำขอร้องของท่านเหล่าโหว เราจะไตร่ตรองดูให้ดี”

“อืม” จิ้งไท่เฟยยิ้มพลางพยักหน้า

ฮ่องเต้สนทนากับจิ้งไท่เฟยอีกพักหนึ่ง เหอกงกงก็เข้ามาเร่ง “ฝ่าบาท ควรกลับวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

จิ้งไท่เฟยมองสีฟ้าที่มืดลง แววตาฉายประกายอาลัยอาวรณ์ นางตบที่หลังมือฮ่องเต้ “ฝ่าบาท กลับวังเถิด”

ฮ่องเต้ถอนใจเอ่ยกับเหอกงกง “ยันต์ผาสุกที่ให้เจ้าไปขอล่ะ”

เหอกงกงรีบล้วงเอากล่องผ้าไหมออกมาจากแขนเสื้อ แล้วเปิดส่งให้ฮ่องเต้ “ขอมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ! เจ้าอาวาสเหลียวหยวนเป็นคนปลุกเสกให้!”

จิ้งไท่เฟยมองยันต์ผาสุกที่คล้ายมีรัศมีแห่งพุทธเรืองรองไม่มีที่สุด “นี่คือ…”

“อ๋อ” ฮ่องเต้ตรัส “ให้ไทเฮาน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

จิ้งไท่เฟยชะงักไปเล็กน้อย

เว่ยกงกงยิ้มเอ่ย “หลายวันก่อนไทเฮาเหนื่อยจนล้มป่วยเพราะดูแลฝ่าบาทไม่ได้นอนทั้งคืน”

จิ้งไท่เฟยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองแม่ลูกปรับความเข้าใจกันอย่างหาได้ยากนัก”

ฮ่องเต้มองจิ้งไท่เฟยพลางเอ่ย “เสด็จแม่ต่างหากที่เป็นมารดาของเรา นางเป็นแค่ไทเฮาแห่งแคว้น ยันต์ผาสุกอันนี้ก็แค่กษัตริย์แห่งแคว้นแสดงความกตัญญูต่อไทเฮาเท่านั้น หาใช่ลูกชายมอบให้มารดา อีกอย่างเราจะไปไหนมาไหนก็ปิดบังนางไม่ได้ เทียบกับการให้นางมาหาเรื่องกับเสด็จแม่แล้ว ไม่สู้เราบอกนางว่าเรามาขอยันต์ผาสุกให้นางโดยเฉพาะดีกว่า แล้วถือโอกาสมาเยี่ยมเสด็จแม่ด้วย”

จิ้งไท่เฟยแย้มยิ้มอย่างเสียไม่ได้ “ไทเฮาไม่มีทางทำอะไรข้าหรอก ฝ่าบาทคิดมากเกินไปแล้ว”