บทที่ 399 ตู้เหิงไปพบลู่หัว
บทที่ 399 ตู้เหิงไปพบลู่หัว
แม่นมและคุณหนูสนทนาอะไรกัน อาซู่เองก็ไม่สามารถรู้ได้ เพียงแต่ตอนที่แม่นมออกมาจากห้องหนังสือของคุณหนู แม่นมกลับดูมีท่าทางหนักใจราวกับแบกอะไรไว้บนบ่า
ใบหน้าของหญิงชราไร้ซึ่งหยาดน้ำตา เพียงแต่สีหน้าของนางเห็นได้ชัดว่าดูกลัดกลุ้มใจมากกว่าคนที่ร้องไห้เสียอีก
อาซู่ที่รออยู่บริเวณหน้าประตูจึงเดินเข้าไปหา “แม่นม…”
แม่นมถอนออกหายใจออกมาแล้วกล่าวขึ้นแผ่วเบา “อาซู่ ไปกันเถอะ”
อาซู่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่คุณหนูไม่ได้ฟังในคำพูดของแม่นม อาซู่จึงพาตัวแม่นมกลับห้อง
ตอนนี้เวลาก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว อาซู่ก็ได้รีบไปจัดเตรียมอาหาร ตอนกลับก็ไม่เห็นเงาของแม่นมแล้ว เมื่อถามกับคนรับใช้ในจวนจึงได้รู้ว่าคำว่า ‘ไปกันเถอะ’ ของแม่นมหมายความว่าอย่างไร
ตู้เหิงส่งแม่นมซึ่งปฏิบัติต่อนางเหมือนลูกสาวไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในชนบท
อาซู่ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร หญิงสาวจึงรีบไปหาตู้เหิงทั้งน้ำตา “คุณหนูเจ้าคะ แม่นมอายุมากแล้ว อีกทั้งยังไม่เคยมีเจตนาไม่ดีต่อคุณหนูเลยสักครั้ง ทุกเรื่องราวถือคุณหนูเป็นอันดับแรกเสมอ แม้คำพูดท่านจะฟังไม่รื่นหูไปบ้าง แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเจตนาที่ดี… ตอนนี้แม่นมเองก็ป่วย คุณหนูก็เพียงแค่น้อยใจ โปรดพาแม่นมกลับมาเถอะนะเจ้าคะ!”
ตู้เหิงเพิ่งจะรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เดิมทีนางวางแผนจะพักผ่อนสักครู่
หญิงสาวเกล้ามวยผมด้วยปิ่นปักผม ในมือถือหนังสือกวีนิพนธ์หนึ่งเล่ม แต่กลับต้องมาถูกรบกวนจากการร้องไห้ของอาซู่
ตู้เหิงขมวดคิ้ว “แม่นมต้องการจะจากไปเอง เจ้ากลับมาเว้าวอนข้า แทนที่จะเป็นนาง”
อาซู่ที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ไม่มีทางที่ท่านแม่นมจะยินยอมไปเองเป็นแน่ คุณหนูเจ้าคะ แม่นมเฝ้ามองท่านเติบใหญ่ ในใจนางมีคุณหนูเป็นที่หนึ่ง เหตุใดจึงยินยอมจากไปโดยง่ายเจ้าคะ? ”
ตู้เหิงแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย นางคือคุณหนูสายเลือดตรงแห่งจวนเจ้าอาลักษณ์ ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่นอกจากท่านย่า นางก็ไม่เคยโกรธใครเลย
แม้ว่าความโกรธที่ได้รับมาจากท่านย่าจะไม่สามารถระบายในบ้านได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทนรับอารมณ์ของเด็กสาวและคนรับใช้ได้
ตู้เหิงวางหนังสือลง กล่าวขึ้นด้วยความเย็นชา “เจ้าจะบอกว่า ข้าเป็นคนไล่แม่นมไปอย่างนั้นหรือ?”
อาซู่คุกเข่าลง หญิงสาวร้องไห้และส่ายหน้า “คุณหนูเจ้าคะ อาซู่ไม่ได้หมายความเยี่ยงนั้น…ท่านแม่นมเป็นห่วงคุณหนูมาทั้งชีวิต นอกจากจะดูแลคุณหนูแล้ว นางก็ไม่คิดถึงเรื่องอื่นอีกเลย ถ้าหากนางไปชนบทแล้ว นางจะทำอะไรได้บ้างเจ้าคะ?”
ใบหน้าอันบอบบางของตู้เหิงไม่ปรากฏความแยแสแม้แต่น้อย “ถ้าเจ้าคิดว่าแม่นมจะดูแลตัวเองไม่ได้ เจ้าก็ไปชนบทเป็นเพื่อนนางสิ”
ตู้เหิงว่าพลางหยิบหนังสือขึ้นมา และไม่สนใจอาซู่ที่คุกเข่าร้องไห้อยู่อีกข้าง
หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิด ต่อให้มองสาวใช้หรือแม่นมก็ไม่ถูกใจนางทั้งสิ้น
เหตุใดข้างกายนางจึงมีแต่คนที่ไร้ประโยชน์ แต่ละคนต่างก็ร้องไห้และพูดในสิ่งที่ตนรู้มาไม่หมด
วันนี้นางทนไม่ไหวแล้ว นางพูดอย่างไม่ไว้หน้าและขู่แม่นมว่าจะส่งนางไปชนบท
พวกนางแค่ต้องการจะหว่านล้อมให้ตนปล่อยวาง แต่มันคงจะไม่ง่ายเช่นนั้น
ในใจของนางไม่สามารถปล่อยหลินเหราไปได้ ความเกลียดชังระหว่างตู้เหิงและเหยาซูเองก็คงจะขจัดไปได้ยาก
เหยาซูทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียง แม้กระทั่งจวนตระกูลตู้เองนางยังไม่สามารถกลับไปได้ นางไม่สมควรแก้แค้นอย่างงั้นหรือ?
ผู้ที่นางรักสุดหัวใจ ตัวตนและชื่อเสียง อนาคตและการแต่งงานของนางล้วนแล้วแต่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของเหยาซูทั้งสิ้น จะให้นางหัวเราะออกมาหรืออย่างไร!
แม่นมและอาซู่ไม่ได้อยากจะช่วยเหลือนาง ในแต่ละวันกลับบอกให้นางปล่อยวาง
ต่อให้นางปล่อยวาง เหยาซูจะปล่อยวางนางง่าย ๆ หรือ?
ตู้เหิงเห็นอาซู่ร้องไห้มานานโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ข้าบอกว่า ถ้าเจ้ารักแม่นมมาก ก็ไปอยู่ชนบทกับนางเสียสิ เจ้าเองจะได้มาร้องไห้ต่อหน้าข้าน้อยลง น่ารำคาญเสียจริง”
จิตใจของอาซู่สั่นไหว นางอดที่จะเงยหน้ามามองเหยาซูไม่ได้
หญิงสาวรับใช้ตู้เหิงมาตั้งแต่เด็ก นางเองก็ไม่ได้สังเกตตู้เหิงอย่างใกล้ชิดเหมือนเช่นทุกวันนี้
ตู้เหิงเป็นคุณหนู แต่นางเป็นสาวใช้ อาซู่รู้ดีว่านางควรจะอยู่ข้างกายตู้เหิงอย่างเงียบ ๆ คิดอย่างที่คุณหนูคิด ทำในสิ่งที่คุณหนูทำ…
เพียงแต่วันนี้นางรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอย่างถึงที่สุด
“คุณหนู…”อาซู่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ความเย็นชาราวน้ำแข็งบนใบหน้าของตู้เหิงไม่มีทีท่าว่าจะละลายเลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นอกจากคุณหนูแล้ว อาซู่ก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องอื่นเลย ที่แม่นมเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะว่านางคิดแทนคุณหนูหรือไม่? เพียงแต่ว่าคุณหนูรู้สึกสะเทือนใจสักครึ่งหรือไม่? แม่นมที่มีอายุมากแล้ว อีกทั้งร่างกายยังเจ็บป่วย คุณหนูทนได้อย่างไร?
ความอ้างว้างของการจากไปของแม่นม ความเมินเฉยบนใบหน้าของตู้เหิง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำร้ายอาซู่อย่างสุดซึ้ง
อาซู่ไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากร้องไห้ต่อหน้าตู้เหิงอย่างเงียบ ๆ สาวใช้ก็ได้จากไป
หลังจากที่ตู้เหิงตื่นจากนอนกลางวัน นางได้เรียกให้อาซู่เข้ามาโดยไม่รู้ตัว แต่กลับเห็นใบหน้ากลมของสาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่น
ตู้เหิงไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ หญิงสาวขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงเป็นเจ้า? อาซู่ไปแอบอู้อยู่ที่ใด? เรียกนางเข้ามา”
ตู้เหิงเคยเห็นสาวใช้คนนี้มาก่อน แต่นางไม่เคยใส่ใจ แม้กระทั่งชื่อของนางหญิงสาวก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
สาวใช้ตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นเบา ๆ “อาซู่และแม่นมทั้งคู่ต่างก็ไปชนบทแล้วเจ้าค่ะ บอกว่าเป็นคำสั่งของคุณหนู…จึงเปลี่ยนเป็นข้าที่มาดูแลคุณหนู คุณหนูจะล้างหน้าก่อนไหมเจ้าคะ?”
ว่าแล้วเสี่ยวหงก็ใช้มือทั้งสองส่งผ้าชุบน้ำให้ตู้เหิงด้วยความเคารพ
ตู้เหิงประหลาดใจเล็กน้อย ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ถูกฉาบไปด้วยความเย็นชา นางตามแม่นมไปชนบทจริง ๆ หรือ?
เห็นได้ว่านางไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ในสายตาของตู้เหิงฉายแววโทสะ แต่หญิงสาวปฏิเสธที่จะแสดงอารมณ์ใด ๆ ต่อหน้าสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เพียงระงับอารมณ์ของตนและเอ่ยถามสาวใช้ด้วยเสียงเบา “เจ้ามีนามว่าอะไร? ก่อนหน้านี้ดูแลในส่วนไหน? ”
สาวใช้ตอบอย่างเคารพ “ข้าน้อยเสี่ยวหง เป็นสาวใช้ที่แม่นมซื้อเข้ามาเจ้าค่ะ ข้ารับหน้าที่จัดการเสื้อผ้าและห้องส่วนตัวเล็กน้อย เพียงแต่คุณหนูรักความสะอาด ท่านแม่นมจึงกำชับว่าไม่ให้เข้าใกล้คุณหนู ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคุณหนูจะไม่รู้จักข้าน้อยเจ้าค่ะ”
ตู้เหิงเหลือบมองท่าทางของเสี่ยวหงแห่งเมืองเจิ้งโจว มีกิริยามารยาทงดงาม รู้ว่านี้คือการทุ่มเทอบรมของแม่นม จึงปล่อยนางไป
เพียงแต่ภายในใจของนางรู้สึกโกรธเล็กน้อยที่อาซู่และแม่นมจากนางไปจริง ๆ
หลังจากที่รอนางซักผ้าเสร็จ ตู้เหิงก็พาเสี่ยวหงติดตามนางไปพบกับลู่หัวด้วยในช่วงบ่าย
ยังคงเป็นร้านเดิมที่พวกเขาเคยไป คนรับใช้ข้างกายของลู่หัวยืนอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นรถม้าของตู้เหิงเขาก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “แม่นางตู้มาถึงแล้วหรือ? คุณชายของพวกเรากำลังรอท่านอยู่ เชิญขอรับ!”
ตู้เหิงจับมือของเสี่ยวหงลงจากรถม้า ผ้าคลุมหน้าบาง ๆ ทำให้เห็นสีหน้าของนางได้ไม่ชัดเจนนัก
ตรงกันข้ามกับอาเหลียงคนรับใช้ข้างกายของลู่หัว ครั้นเห็นสาวใช้ที่ตนไม่คุ้นเคย ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกประหลาดใจ “เหตุใดวันนี้จึงไม่เห็นอาซู่หรือขอรับ?”
ตู้เหิงเหลือบมองเสี่ยวหง คนด้านหลังชาญฉลาดจึงตอบอย่างรวดเร็ว “พี่อาซู่มีเรื่องนิดหน่อย วันนี้จึงเป็นข้าที่ออกมากับคุณหนู”
อาเหลียงผู้ซึ่งมองอะไรไม่ออกและกังวลว่าคุณชายของตนจะรอนาน จึงเชิญตู้เหิงเข้าร้านหนังสือไป
เมื่อรอให้เจ้านายนั่งลงและสนทนากัน อาเหลียงก็เดินไปข้าง ๆ และพูดคุยกับเสี่ยวหงซึ่งรออยู่ข้างนอกเช่นกัน
“มองดูแล้วไม่คุ้นหน้าแม่นางเลย เพิ่งเข้ามารับใช้ท่านหญิงตู้หรือ? เจ้าชื่ออะไร? แล้วปีอายุเท่าไรแล้ว ที่บ้านมีใครบ้าง?”
อาเหลียงถามคำถามเป็นชุด แต่กลับระมัดระวังไม่ให้สร้างความขุ่นเคืองแก่เสี่ยวหง
ชายหนุ่มเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ดี ท่าทางสุภาพและน้ำเสียงที่อ่อนโยนโดยไม่มีร่องรอยของความก้าวร้าวแม้แต่น้อย เสี่ยวหงคลายความระมัดระวังของนางอย่างรวดเร็วและเริ่มสนทนากับชายหนุ่ม
ทั้งสองสนทนากันได้ครึ่งชั่วยาม และทั้งคู่ก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกัน เสี่ยวหงเริ่มเรียกอีกว่าว่า ‘พี่อาเหลียง’ และต้องบอกว่าอาเหลียงมีความสามารถในการเอาใจสตรีเป็นที่สุด
ชายหนุ่มมองไปที่ใบหน้ารูปไข่ที่ค่อย ๆ ซับสีแดงของเสี่ยวหง ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “แม่นางตู้เป็นสตรีจากตระกูลที่มั่งคั่ง เป็นเรื่องปกติที่จะมีกฎเกณฑ์มากมาย วันข้างหน้าเจ้าอยู่ข้างกายแม่นางตู้ จะก็ต้องระมัดระวังให้มาก ถ้าหากเจ้ามีอะไรที่ทำไม่ได้ หรือพบเจอเรื่องเดือดร้อน ให้คนมาบอกข้าที่จวนตระกูลลู่ ข้าจะไปช่วยเจ้าเอง”
เสี่ยวหงพยักหน้า ความจริงใจของอาเหลียงทำให้นางค่อย ๆ ยิ้มขึ้น “วันนี้ข้าเพิ่งจะมาดูแลคุณหนู จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้ายังทำไม่เป็น ประกอบกับพี่อาซู่ไปอย่างเร่งรีบ มีหลายอย่างที่ข้าอธิบายไม่ถูก…ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่อาเหลียง”
หญิงสาวได้เปิดเผยข่าวมากมายโดยไม่ได้ตั้งใจ อาเหลียงมองดูท่าทางที่ไร้การป้องกันของอีกฝ่ายแล้วยิ้มขึ้นอย่างจริงใจ
รูปลักษณ์ภายนอกของเสี่ยวหงนั้นดีมาก แต่เมื่อเทียบกับอาซู่ที่มีท่าทีที่เป็นธรรมชาติกลับมีกลิ่นอายแตกต่างเล็กน้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สาวใช้รับรู้และเห็นได้อยู่เป็นประจำต่างรู้สึกว่าตู้เหิงผู้ได้รับการอบรมเลี้ยงดูจากตระกูลตู้เป็นอย่างดีนั้นไม่ได้เลวร้าย แต่สำหรับเสี่ยวหงที่เข้ามากลางทางยังนับว่าห่างไกลเหลือเกิน
แต่ยังดีที่เข้ามากลางทาง และไม่ได้ดูแลเจ้านายมากนักในหลาย ๆ เรื่อง หากว่าข้างกายตู้เหิงยังคงเป็นอาซู่ที่ซื่อสัตย์ หลายสิ่งหลายอย่างคงไม่จัดการได้ง่ายเช่นนี้
เมื่อชายหนุ่มคิดเช่นนั้น จึงพูดคุยกับเสี่ยวหงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความกระตือรือร้น…
……………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นังตู้นี่หลงผู้จนสติเลอะเลือนไปแล้ว แม่นมกับอาซู่เตือนก็ไม่ฟัง ทีนี้ก็ไม่เหลือใครจริงๆ แล้วล่ะ น่าโดนพี่เหราตบเรียกสติสักฉาดจะได้รู้ว่าผู้เขาเกลียดเธอเข้าไส้
ไหหม่า(海馬)