บทที่ 378 หันหน้าคุยกัน

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“เกลียดพวกเรางั้นเหรอ ?”วารุณีตะลึง คราวนี้เธอตกใจมากกว่าเดิม

นัทธีเกลียดเด็กสองคนนี้งั้นเหรอ ?

ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ?

ถ้าจะบอกว่า เธอทำอะไรให้เขาไม่พอใจ เขาก็ควรจะโกรธแค่เธอ ทำไมต้องไปทำอะไรแบบนี้กับเด็กๆด้วย ?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ วารุณีก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็รู้สึกวิตกกังวลอย่างอธิบายไม่ได้ด้วย

เธอลูบไปที่ศีรษะของเด็กทั้งสอง แล้วฝืนยิ้มออกมา“ ไม่เป็นไรนะ คุณพ่อคงจะเหนื่อยเกินไป เลยหงุดหงิด ไม่ได้เกลียดพวกเราหรอก”

“จริงเหรอคะ?”ไอริณถามกลับอย่างดีใจ

วารุณีพยักหน้าให้ ตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง “จริงสิ คุณพ่อรักไอริณขนาดนั้น จะเกลียดไอริณได้ยังไงล่ะ”

ไอริณก็หัวเราะออกด้วยความดีใจ

มีเพียงอารัณที่เม้มปากแน่น ไม่เชื่อในสิ่งที่วารุณีพูด

เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ รู้สึกว่าพ่อไม่ได้ชอบเขากับไอริณ

วารุณีมองลูกชายที่กำลังขมวดคิ้วอยู่ เธอจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

อารัณเป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่เด็ก เธอเชื่อว่าอารัณดูไม่ผิดแน่ และก็ไม่ได้พูดโกหกด้วย

ดังนั้น นัทธีคงจะตั้งแง่กับเด็กทั้งสองคนจริงๆ

“เอาล่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ ”วารุณีจูงมือของเด็กไว้คนละข้าง เดินตรงไปยังห้องอาหาร

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องถามนัทธีให้รู้เรื่อง ว่าเขาโกรธอะไรกันแน่

มาถึงที่ห้องอาหาร ทันทีที่วารุณีเดินเข้ามาก็เห็นนวิยากำลังคุยอยู่กับนัทธี

เธอไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกัน แต่นวิยาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขมาก ใบหน้าที่มืดมนและเย็นชาของนัทธี ก็อ่อนโยนลงไปด้วย

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ที่สำคัญคือ นวิยาไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งของเธอ !

เมื่อก่อนใช่ว่านวิยาจะไม่เคยนั่งที่ตรงนั้น ต่อให้นวิยาจะพูดอยู่ทุกครั้งว่านั่งผิดที่ และไม่ยอมลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่ง ก็จะมีนัทธีเป็นคนพูด ให้นวิยานั่งที่ยังที่นั่งของตัวเอง

แต่ครั้งนี้ นัทธีกลับไม่พูด หนำซ้ำยังคุยเล่นกับนวิยาอีก

ภาพๆนี้ ทำให้แววตาของวารุณีมืดมน

“คุณวารุณี มากันแล้วเหรอคะ”หางตาของนวิยาส่งไปยังคิ้วที่ขมวด ดวงตามีความสงสัยผาดผ่าน แต่ใบหน้าก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร ทักทายด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน

นัทธีก็หยุดบทสนทนากับนวิยา ยกกาแฟบนโต๊ะขึ้นจิบ ไม่แม้แต่จะมองมาที่วารุณีสามคนแม่ลูก

เมื่อเห็นภาพๆนี้ ในใจของวารุณีก็เย็นเฉียบไปชั่วขณะ

ไอริณไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปรกติ แต่อารัณกลับสังเกตเห็นความผิดปรกติที่นัทธีมีต่อพวกเขาสามคนแม่ลูก ว่ามันเปลี่ยนไปจริงๆ

หากเป็นเวลาปกติ คุณพ่อจะลุกขึ้นแล้วดึงเก้าอี้ออกให้หม่ามี๊ แล้วก็จะอุ้มเขากับไอริณนั่งไปบนเก้าอี้

แต่ครั้งนี้ คุณพ่อไม่ได้ทำอะไรเลย เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสามคน ก็ราวกับมองไม่เห็นยังไงอย่างนั้น

ดังนั้นนี่ก็จึงยืนยันในสิ่งที่เขาเพิ่งจะคิดว่าพ่อเกลียดพวกเขาได้

วารุณีสูดหายใจเข้าลึกๆ แกล้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีที่เย็นชาของนัทธี จูงมือของเด็กทั้งสองคนเดินเข้าไป“คุณนวิยา คุณนั่งผิดที่นะค่ะ ”

เธอไม่สนใจท่าทีที่เย็นชาของนัทธีได้ แต่กับนวิยา ทำไมเธอต้องทนด้วย ?

นวิยาไม่คิดว่าวารุณีจะพูดออกมาตรงๆว่าเธอนั่งผิดที่ เดิมทีคิดว่าวารุณีจะต้องเสียใจกับท่าทีที่เย็นชาของนัทธี และไม่สนใจอะไรกับเรื่องนี้มากนัก

ผิดคาด เธอประเมินวารุณีต่ำไป

นวิยาหลุบตาลง“คุณวารุณี ให้ฉันนั่งตรงนี้เถอะนะ ลุกไปลุกมามันไม่สะดวกเท่าไร ”

“ไม่ได้ค่ะ นี่เป็นตำแหน่งนายหญิงของบ้าน คุณนวิยาเป็นแค่ผู้อาศัย ฉันคิดว่ายังไงก็ต้องรักษามารยาทของการเป็นผู้อาศัยจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะว่าเอาได้ว่าคุณนวิยาไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน หรือคุณคิดว่าไงคะ?”วารุณีจ้องมองเธอ ดวงตาเฉยเมย แต่กลับมีพลังแอบแฝง

ไอริณก็พูดตาม “ใช่ค่ะ นั่นเป็นที่นั่งของหม่ามี๊ หากไม่ใช่หม่ามี๊ของไอริณ ใครก็นั่งไม่ได้ค่ะ”

อารัณก็พยักหน้าให้ด้วยเช่นกัน

ใบหน้าของนวิยาก็ถอดสี ขบริมฝีปากแน่นแล้วมองไปที่นัทธี “ นัทธี คุณว่ายังไงคะ……”

“กลับไปนั่งยังที่นั่งของคุณ นวิยา!”นัทธีวางแก้วกาแฟในมือลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

แววตาของนวิยามีความไม่อยากเชื่อผาดผ่าน แต่ก็กลับคืนสภาพอย่างรวดเร็ว ฝืนยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน “ฉันรู้แล้ว จะกลับไปนั่งเดี๋ยวนี้”

พูดจบ เธอก็เดินอ้อมไปที่ปลายโต๊ะ นั่งประจำลงที่นั่งของตัวเอง ในใจเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ

เมื่อครู่ตอนที่นัทธีลงมา เธอก็สังเกตเห็นท่าทีของนัทธีที่มีต่อวารุณี เย็นชากว่าตอนที่กลับมาถึงบ้านมากขึ้นไปอีก เธอคิดว่าเขาคงจะไม่ออกโรงปกป้องอะไรวารุณี ดังนั้นจึงมีความกล้ามากพอที่จะไปนั่งลงตรงที่นั่งของวารุณี

ไม่คิดว่าต่อให้นัทธีจะเกลียดชังวารุณียังไง และมีท่าทีที่เย็นชาแค่ไหน แต่ก็ยังปกป้องวารุณีอยู่ เขารักวารุณีขนาดนั้นเลยเชียวเหรอ รักมากจนยอมมองข้ามและไม่สนความเกลียดชังที่มีขนาดนั้นเลยเหรอ ?

เมื่อคิดได้แบบนี้ สายตาของนวิยาที่มองไปยังวารุณี ก็แปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉาริษยาอีกครั้ง

วารุณีเองก็สังเกตเห็น ดวงตาหรี่เล็กลง และรู้สึกว่ามันช่างน่าขำจริงๆ

เธอคิดว่าหลังจากที่นวิยาคบหากับพิชิตแล้ว ชีวิตจะราบรื่นไปได้เสียอีก

ที่แท้เธอก็คิดมันไปเอง คบหากับพิชิต แล้วยังหวังที่จะครอบครองนัทธี เธอไม่กลัวพิชิตจะรู้เลยหรือไง ?

เธอไม่ได้เปิดโปงนวิยา วารุณีอุ้มเด็กทั้งสองคนนั่งลงบนเก้าอี้ ป้าส้มก็มาเสิร์ฟอาหาร

บนโต๊ะอาหาร ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไร ห้องอาหารขนาดใหญ่ บรรยากาศช่างเงียบงันและกดดัน

มีหลายครั้งที่ไอริณอยากจะพูดอะไร แต่เพราะบรรยากาศ ก็เลยไม่ได้พูดมันออกไป

หลังจากที่รับประทานอาหารแล้วเสร็จ นัทธีก็กลับไปยังห้องหนังสือเพื่อประชุม

นวิยาไปนั่งที่เก้าอี้เปียโน แล้วเล่นเปียโน

เสียงของเปียโนนั้นไพเราะมาก แสดงให้รู้ว่าอารมณ์ตอนนี้ของเธอนั้นดีมากๆ

วารุณีเองก็พอจะเดาได้ว่าทำไมนวิยาถึงได้อารมณ์ดี คงเพราะเห็นเธอกับนัทธีมีท่าทีที่หมางเมินกัน เลยทำให้อารมณ์ดีและมีความสุข

วารุณีขี้เกียจจะฟังนวิยาเล่นเปียโนอยู่ชั้นล่าง ก็จึงเดินขึ้นไปชั้นบน ไปดูว่าเด็กๆทำอะไรจะดีกว่า

เด็กทั้งสองคนอยู่ในห้องของตัวเอง นั่งอยู่บนพรมพื้นและกำลังเล่นตัวต่อไม้อยู่

“อารัณ ไอริณ”วารุณีเดินเข้ามา และนั่งลงบนพรมพื้นด้วยเช่นกัน

ไอริณคลานเข้าไปในอ้อมแขนเธอ สองแขนเล็กๆ กอดไปที่ลำคอของเธอ น้ำเสียงเศร้าสร้อย“หม่ามี๊ คุณพ่อไม่ชอบไอริณแล้วจริงๆ เมื่อกี้ตอนที่กินข้าวเสร็จ ไอริณอยากให้คุณพ่อมัดผมให้ แต่คุณพ่อไม่สนใจไอริณเลย”

นั่นเป็นครั้งแรกที่นัทธีไม่สนใจเธอ และหมางเมินเธอ

ทันทีที่ได้ยิน เธอก็ถึงกับตะลึงงัน และนิ่งอึ้งไม่ได้สติไปชั่วขณะ

วารุณีได้ยินคำพูดที่ลูกสาวพร่ำบ่น ในใจก็ไม่สบายใจ และรู้สึกเศร้าใจมาก

เพราะนัทธีไม่เพียงแค่ไม่สนใจในตัวเด็กน้อย แต่ก็ไม่สนใจเธอด้วยเช่นกัน

แต่วารุณีก็ยังคงยกยิ้มและพูดปลอบลูกสาวไปว่า “ก่อนกินข้าวหม่ามี๊ก็พูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคุณพ่ออารมณ์ไม่ดี เลยเป็นแบบนี้ ”

“แล้วคุณพ่อจะอารมณ์ดีเมื่อไหร่ล่ะคะ ?”ไอริณมองมาที่เธอ

วารุณีถูกถามกลับ ริมฝีปากจึงขยับไปมา ตอบคำถามนี้ไม่ได้

ในตอนนี้เองอารัณก็สร้างบ้านเสร็จ แล้วจึงพูดออกมา“ สักพักก็ดีขึ้นเอง ”

“จริงเหรอคะ?”ดวงตาไอริณเป็นประกาย

อารัณพยักหน้ายืนยัน “จริง หม่ามี๊จะไปปลอบคุณพ่อเอง ใช่ไหมครับหม่ามี๊ ?

วารุณียิ้มให้แล้วบีบไปที่จมูกน้อยๆของเด็กน้อย“เรานี่ รู้ดีจริงๆเลย”

อารัณพยักพเยิดหน้าให้อย่างได้ใจ “ผมรู้ ว่าหม่ามี๊ไม่ปล่อยให้คุณพ่อต้องเป็นแบบนี้ไปนานๆแน่ ”

“ใช่จ้ะ”วารุณีก้มหน้า แล้วลูบไปที่ศีรษะของเด็กทั้งสอง

เป็นอย่างที่อารัณพูด เธอจะไปพูดกล่อมนัทธี แล้วคุยดีๆกับเขา

ยังไงพวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จะให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอดคงไม่ได้แน่

วารุณีอยู่เล่นกับเด็กๆภายในห้องร่วมสองชั่วโมงได้ คิดว่านัทธีเองก็คงจะเสร็จงานแล้ว จึงเร่งให้เด็กๆรีบเข้านอน

เด็กทั้งสองคนต่างก็เชื่อฟัง ปีนขึ้นไปบนเตียง ห่มผ้าแล้วหลับตานอน

วารุณีจุมพิตไปที่ใบหน้าของเด็กๆ จากนั้นก็ปิดไฟแล้วเดินออกจากห้องไป

ทันทีที่ออกมาได้ ก็เจอกับนัทธีที่เดินมาจากทางห้องหนังสือพอดี