ตอนที่ 408 ลองชิมอาหาร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 408 ลองชิมอาหาร

มีก้างขวางคอขนาดนี้ หลินเว่ยเว่ยจึงกอดเขาต่อไม่ไหว นางปล่อยตัวบัณฑิตน้อยแล้วคว้ามือไปจับหงส์แดง “ไปเรียนคำพูดเหล่านี้มาจากใคร ? คราวหน้าถ้ายังได้ยินเจ้าพูดจาเหลวไหลอีก ระวังข้าจะถอนขนทั้งหมดของเจ้า ! ”

“ไม่กล้าแล้ว ! ฆ่านกแล้ว ! ฆ่าปิดปากนก ยิ่งปิดยิ่งฉาวโฉ่ ! ” เจ้านกน้อยพยายามดิ้นออกจากมือนาง พอหลุดออกมาได้ก็รีบกระพือปีกแล้วบินขึ้นฟ้า แต่โดนอินทรีทองจับตัวกลับมาให้หลินเว่ยเว่ยอีกรอบ

หลินเว่ยเว่ยเอาเจ้านกน้อยไปใส่ปากเจ้าดำ นกกับหมาป่าคู่นี้กัดกันมาตั้งนานแล้ว ทั้งรักทั้งเกลียดกันอยู่ร่ำไป นกบินหนี หมาป่าโดดตะปบ สนุกสนานเชียวล่ะ

แน่นอนว่าเจ้าดำไม่ได้ทำร้ายหงส์แดงจริง ๆ อย่างมากก็แค่ถอนขนเล่นสองสามเส้นและใช้น้ำลายช่วยอาบน้ำให้มัน เจ้านกน้อยกรีดร้องยิ่งกว่าหมูถูกเชือด…

ต้นเดือนสี่ หลินเว่ยเว่ยก็เริ่มเก็บข้าวของและพาบัณฑิตทั้งสามเดินทางออกจากบ้าน เดือนสี่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีอากาศอบอุ่นจึงมีสายลมและแสงแดด หญ้างอกเงยและเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ตลอดทาง อารมณ์ของคนก็แจ่มใสสดชื่นขึ้นมาเช่นกัน

สามวันต่อจากนั้นทุกคนก็เดินทางมาถึงเมืองจงโจวและตรงไปยังบ้านที่เช่าไว้ทันที เจ้าของบ้านเช่าก็ใช้ได้มาก พอเห็นว่าใกล้ถึงการสอบแล้วก็เข้ามาทำความสะอาดไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

รถม้าถูกนำไปจอดไว้ที่คอกม้าหลังบ้านเช่า สัมภาระถูกขนลง บ้านถูกเช็ดถูจนสะอาดอีกรอบ ผ้านวมถูกวางบนเตียง…สภาพอากาศในเดือนสี่ แม้ไม่ต้องจุดไฟให้เตียงเตาอบอุ่น แต่ตอนกลางคืนยังค่อนข้างเย็นอยู่ ดังนั้นจำเป็นต้องใช้ผ้านวม !

หลินเว่ยเว่ยเน้นทำความสะอาดห้องครัว เพราะบัณฑิตที่มาสอบในสมัยก่อนมีน้อยคนนักที่จะเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเองและด้านในก็ไม่มีของอะไรทั้งนั้น นางออกไปเดินซื้อของ ให้คนขนฟืนมาส่งและยังซื้อน้ำมัน เกลือ ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชู ส่วนข้าวสารและแป้งเป็นของที่ขนมาเองซึ่งก็เป็นผลผลิตจากมิติน้ำพุวิญญาณ ดังนั้นย่อมดีกว่าของนอกมิติหลายเท่า !

ถูกต้อง ข้าวขาวรุ่นแรกในห้วงมิติถูกเก็บเกี่ยวแล้ว เมล็ดที่หลุดออกจากเปลือกข้าวมีขนาดอวบอ้วน กลิ่นหอมและรสชาติดีแน่นอน !

ตอนมาถึงบ้านเช่าก็เลยเวลากินมื้อเที่ยงไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงทำข้าวอบล่าฉาง (กุนเชียง) ที่ใช้เวลาทำน้อยที่สุดให้พวกเขากิน

ข้าวอบที่ทำมาจากข้าวในมิติน้ำพุวิญญาณส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนกินชนิดไม่หยุดปาก แม้แต่เผิงเจียเหลียงที่มาเป็นเพื่อนก็รู้สึกโชคดีที่ได้มาทำหน้าที่นี้แทนบิดา ไม่อย่างนั้นคงพลาดข้าวอบที่อร่อยสุดยอด !

การสอบในครั้งนี้ครอบครัวของเผิงหยูเหยี่ยนให้ความสำคัญมาก เนื่องจากคิดว่าหากเขาสอบบัณฑิตถงเซิงได้ก็คงเยี่ยมยอดไปเลย วันหน้าพอสองพี่น้องตระกูลหลินออกเรือนไปแล้วจะต้องถูกหยิบยกเรื่องสามีมาเปรียบเทียบกันแน่…เวลาเผชิญหน้ากับเจียงโม่หาน เขาจะได้ไม่ขายหน้าจนเกินไป

เดิมทีนางเผิงและนายท่านเผิงจะตามมาด้วย แต่เผิงหยูเหยี่ยนห้ามไว้และบอกว่าคนเยอะเกินไปจะส่งผลต่อการสอบของตนเอาได้ เผิงหยูชางพี่ชายถึงขั้นเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยเพื่อจะมาส่งเขาที่นี่ แต่โดนบุตรชายเผิงเจียเหลียงเข้ามาขัดขวางไว้ก่อน

หลังจากเผิงหยูเหยี่ยนบอกลาคนในครอบครัวแล้วมารวมตัวกับพวกเจียงโม่หานก็ถึงขั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขานึกขอบคุณบ้านตระกูลหลินที่ไม่กดดันลูกเขยคนโตอย่างตนเลยสักนิด…เมื่อแรงกดดันน้อยก็ย่อมทำให้เดินได้ไกลกว่าเดิม !

วันรุ่งขึ้น พวกเมิ่งจิ่งหงทั้งสามคนก็เดินทางมาถึง ห้องจำนวน 7 ห้องภายในบ้านเช่าเต็มหมด แต่ละคนยังพาบ่าวรับใช้มาด้วย บ้านหลังนี้จึงมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที

เมื่อพวกเมิ่งจิ่งหงมาถึงก็เข้าไปเบียดกันในห้องของเจียงโม่หานทันที พวกเขานำข้อสงสัยที่เกิดจากการอ่านตำรามาปรึกษา เจียงโม่หานรู้สึกว่าตนเป็นเหมือนสำนักศึกษาภาคเอกชนที่มีนักเรียนเพิ่มขึ้นมา 5 คน เขาจึงใช้เวลาช่วงโค้งสุดท้ายนี้เสริมความรู้ที่ขาดหายสำหรับการสอบฝู่ซื่อให้ทุกคน เมื่อถึงวันสอบฝู่ซื่อแล้ว บัณฑิตทั้งห้าก็มีความมั่นใจในตัวเองมากพอสมควร

ร้านขนมหวานหนิงจี้ในตัวเมืองจัดกิจกรรมลองชิมอาหารโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย…อาหารครานี้เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นเอง กินเปล่าจะมีรสสัมผัสกรอบหอม พอนำไปเติมน้ำร้อนก็จะได้บะหมี่เส้นเหนียวนุ่มที่หอมอร่อยหนึ่งชาม หลังจากพวกบัณฑิตที่มาเข้าสอบได้ชิมแล้วก็พากันซื้อไปอีกจำนวนมาก

เพราะมีประสบการณ์มาหนึ่งสนามแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารเช้าแสนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารอาหารให้แก่พวกบัณฑิต จากนั้นพวกเขาก็ไปรอหน้าประตูสนามสอบ เมื่อเข้ายามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) ประตูสนามสอบก็เปิดออกและบัณฑิตนับพันคนก็เข้าแถวกันอย่างยาวเหยียดเพื่อเข้ารับการตรวจสอบตัวตนและอาหารตามลำดับ

บัณฑิตหลัก 1,000 คน ทว่ารับแค่ 50 อันดับแรก ช่างเป็นทหารนับพันนายข้ามสะพานไม้แผ่นเดียว ! หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้แก่ความเลวร้ายของการสอบจอหงวนในสมัยโบราณ รู้แล้วว่าเหตุใดบางคนรอจนผมขาวก็ยังเป็นแค่บัณฑิตถงเซิง !

เมื่อก้าวเข้าสู่สนามสอบ พวกหลินจื่อเหยียนก็ได้เจ้าหน้าที่ถือโคมไฟนำทาง นอกจากนี้พอมาถึงประตูอีกบานของสนามสอบแล้วพวกเขาก็ต้องโดนเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตัวตนและอาหารอีกรอบ ในเวลานี้เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้หนามากแล้วจึงตรวจได้เร็วกว่าการสอบระดับเซี่ยนซื่อ

หลินจื่อเหยียนตามหาตำแหน่งที่นั่งของตนตาม ‘บัตรเข้าสอบ’ ตรงจุดนั้นเป็นห้องขนาดเล็กที่ค่อนข้างทึบ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าการสอบระดับเซี่ยนซื่อที่ต้องทำข้อสอบท่ามกลางลมหนาว

การสอบในครั้งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าสอบนำสิ่งของใดเข้ามาในห้องสอบ พู่กัน หมึกและกระดาษล้วนเป็นของที่ทางการจัดเตรียมไว้ให้ มื้อเที่ยงที่เตรียมมาเองก็ต้องวางไว้ตรงตำแหน่งที่กำหนดไว้ด้านนอก

การสอบทั้งสองสนามแรกของระดับฝู่ซื่อต้องใช้เวลาสอบรวมกัน 2 วัน โดยแบ่งเนื้อหาเป็นในคัมภีร์ (สี่ตำราห้าคัมภีร์) และการเขียนบทความ ส่วนสนามสอบที่สามจะเป็นเรื่องของทฤษฎีเชิงนโยบายและต้องใช้เวลาสอบอีก 2 วัน

หัวข้อที่ใช้สอบในสนามแรกของวันนี้ต้องพึ่งการท่องจำ หลังได้รับหัวข้อมาแล้ว หลินจื่อเหยียนก็รู้สึกสบายใจทันที แม้หัวข้อจะออกนอกทิศทางไปหน่อย แต่ก็ไม่เกินความสามารถของตน

ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มร่างคำตอบลงในกระดาษ หลังตรวจสอบให้แน่ใจแล้วก็เริ่มคัดลอกเนื้อหาลงในกระดาษคำตอบ คัดไปได้ไม่ถึงครึ่งก็ได้เวลากินมื้อเที่ยง

ในหนึ่งวัน ผู้เข้าสอบสามารถพักได้ 3 ครั้งและสามารถใช้ช่วงเวลาที่จำกัดนี้กินมื้อกลางวันหรือเข้าห้องน้ำก็ได้ ส่วนคนที่ไม่ได้เตรียมอาหารมาก็จะมีเจ้าหน้าที่นำอาหารและน้ำสะอาดมาส่งให้ แน่นอนว่าไม่ต้องหวังอะไรกับอาหารที่ทางสนามสอบจัดไว้เพราะมันทั้งเย็นและแข็งชืด รสชาติยากจะบรรยาย จึงได้แต่ฝืนกินเข้าไปให้อิ่มท้อง

หลินจื่อเหยียนวางพู่กันในมือลงและทับกระดาษคำตอบให้เรียบร้อยแล้วยกมือส่งสัญญาณ จากนั้นก็จะมีเจ้าหน้าที่พิเศษพาเขาไปยังกระท่อม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่การนำทางเพราะมันคือการจับตามอง หลังจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็ไปล้างมือ จากนั้นก็นำอาหารเที่ยงที่เตรียมมาเติมน้ำร้อนเพื่อลวกเส้น ยังมีซอส ผักและเนื้อที่ใส่ไว้อย่างครบถ้วน

ซอสเนื้อเต็มไปด้วยชิ้นเนื้อ เมื่อคลุกเคล้าเข้ากับเส้นที่นุ่มแล้วก็เหมือนบะหมี่ซอสเนื้อไม่มีผิด !

ทางโต๊ะของผู้คุมสอบปรากฏภาพบัณฑิตหยวนที่ได้กลิ่นหอมหวนทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงหันไปยิ้มและพูดกับเจ้าเมืองจงโจวคนใหม่ว่า “เมืองจงโจวของพวกท่านให้ความสำคัญต่อผู้เข้าสอบเหลือเกิน ถึงขั้นเตรียมอาหารกลางวันที่หอมหวนขนาดนี้ให้ผู้เข้าสอบ”

เจ้าเมืองจงโจวพูดด้วยความละอายใจ “นี่ไม่ใช่อาหารกลางวันที่เมืองเราเตรียมไว้หรอกขอรับ เป็นอาหารที่ผู้เข้าสอบเตรียมมาเอง ได้ยินพวกเขาเรียกว่า ‘บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป’ แค่แช่ไว้ในน้ำร้อนก็กินได้แล้ว สะดวกสบายมากเลยขอรับ”

พอเห็นบัณฑิตหยวนดูให้ความสนใจ เขาก็รีบพูดกับลูกน้องว่า “ไปหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ข้าซื้อมา ใต้เท้าหยวนอยากลองชิมอาหารที่ผู้เข้าสอบกินกัน ! ”

หลังต้มบะหมี่เสร็จแล้วก็เติมเครื่องปรุงลงไป ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ลอยตลบอบอวลเหมือนกลิ่นหอมในอากาศเมื่อครู่จริง ๆ ก่อนต้มบะหมี่นั้นบัณฑิตหยวนได้ลองชิมบะหมี่กรอบหนึ่งคำ…หอมกรอบเคี้ยวเพลิน รสชาติไม่เลว

บัณฑิตหยวนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหมดภายในไม่กี่คำ แม้แต่น้ำซุปก็ซดจนหมด ไม่ว่าเมื่อใดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็มีจิตวิญญาณอยู่จริง แม้แต่คนโบราณก็ต้านทานเสน่ห์ของมันไม่ไหว