บทที่ 328-2 ชิงความโปรดปราน (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 328 ชิงความโปรดปราน (2)

ทั้งสองไปตำหนักเหรินโซ่ว

จวงไทเฮาทรมานไม่ไหวแล้ว ลำคอมีก้างคาอยู่ พอกลืนก็เจ็บใจจะขาด ร่างกายไทเฮาเป็นเรื่องใหญ่ พวกหมอหลวงไม่กล้าบุ่มบ่ามเอาสิ่งของง้างปากไทเฮา

โชคดีที่กู้เจียวมา หมอหลวงทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองได้วางภาระหนักอึ้งลงแล้ว

กู้เจียวเปิดกล่องยาใบน้อย หยิบถุงมือออกมาสวม แล้วเลือกคีมเย็นเยียบมาอันหนึ่ง

“ข้าไม่เอา!” จวงไทเฮาพอเห็นคีมนั้นก็ไม่สบายตัวขึ้นมาทันที

“ครู่เดียวเท่านั้น ไม่เจ็บเลยสักนิด” กู้เจียวปลอบ

“ไม่เอา ไม่เอา! ข้าไม่เอา!” จวงไทเฮาปฏิเสธอย่างโมโห

กู้เจียวหันไปมองทุกคน “ฉินกงกง พวกเจ้าออกไปกันก่อน”

จวงไทเฮา “ห้ามออกไปนะ!”

ฉินกงกงกระแอมเบาๆ แล้วพาพวกหมอหลวงและนางกำนัลออกไป

จวงไทเฮา …ข้ายังเป็นไทเฮาของพวกเจ้าอยู่หรือไม่! แค่ได้ยินก็ตกตะลึงพรึงเพริดกันแล้วรึ!

จวงไทเฮาปิดปากไว้ ก่อนกระโดดพรวดลงจากเตียงหงส์

กู้เจียววิ่งไล่นางจนทั่วห้องนอน

ทั้งสองราวกับเล่นแมวไล่จับหนูอย่างไรอย่างนั้น

ฉินกงกงเห็นเงาที่สะท้อนกับกระดาษหน้าต่างก็ได้แต่สายหน้า ทนมองไม่ได้จริงๆ

สุดท้ายในท้ายสุด จวงไทเฮาก็ถูกกู้เจียวตามทันจนได้

นางปิดปากแน่น “ข้าไม่เอา!”

กู้เจียวปลอบ “ได้ ข้าไม่ใช้มันแล้ว ข้าแค่ดูคงได้กระมัง”

จวงไทเฮาเอ่ย “ชะ…เช่นนั้นเจ้าก็วางมันลงสิ!”

กู้เจียววางคีมลงแต่โดยดี “อ้าปากให้ข้าดูหน่อย ดูซิว่าจะกินยาได้หรือไม่”

จวงไทเฮาอ้าปาก

แสงเงินวาบผ่าน ทันใดนั้นกู้เจียวก็ใช้คีมอีกด้ามดึงก้างปลาออกมาได้

จวงไทเฮา “…”

กู้เจียวเอ่ย “เสร็จแล้ว ไม่เป็นอะไรมาก แต่ลำคอจะแสบอยู่พักหนึ่ง ใช้คอให้น้อยๆ นะเจ้าคะ อาหารก็ต้องรสจืดด้วย” นางเอ่ยพลางเอ่ยกับนอกประตู “ฉินกงกง เข้ามาเถิด”

ฉินกงกงเข้าห้องนอนมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

จวงไทเฮาถลึงตาใส่คนบางคนด้วยสีหน้าเย็นชา

ฉินกงกงหดคอหลบอยู่หลังกู้เจียว

ทว่าอีกด้านหนึ่งนั้น เว่ยกงกงกลับมาถึงตำหนักหวาชิงเพียงคนเดียว

ฮ่องเต้เห็นแค่เขาคนเดียว จึงอดโมโหไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้น หมอเทวดาน้อยล่ะ เราให้เจ้าไปพานางมาให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมิใช่รึ”

เว่ยกงกงยิ้มแหยเอ่ย “บ่าวไปเชิญมาแล้ว แต่…หมอเทวดาน้อย…”

ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเย็น “มีอะไรก็ว่ามา! อย่ามัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ!”

เว่ยกงกงวิตกขึ้นมา จึงเอ่ยขึ้น “ไทเฮาก็ประชวรเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ หมอเทวดาน้อยโดนฉินกงกงเรียกตัวไปแล้ว”

ฮ่องเต้หัวเราะเย้ยหยัน เขากำหมัดทุบลงโต๊ะ เผยยิ้มเย็นแล้วตรัส “ไข้หวัดของนางหายดีแล้วมิใช่หรือ เมื่อครู่นี้ตอนเราไปมอบยันต์ผาสุกให้นางนางก็สีหน้าแจ่มใสดีนี่ เหตุใดไม่ทันไรก็ป่วยจนต้องเรียกหมอแล้วเล่า ในวังไม่มีหมอหลวงหรือไร”

เว่ยกงกงครุ่นคิด “คือ…ได้ยินว่าเป็นอุบัติเหตุพ่ะย่ะค่ะ ก้างติดคอ”

ฮ่องเต้ยิ่งยิ้มเหน็บแนมมากกว่าเดิม “คราก่อนป่วยหนักเพียงนั้นยังหักใจบอกหมอเทวดาน้อยไม่ได้ ยามนี้แค่ก้างติดคอก็เรียกหมอเทวดาน้อยเข้าวังแล้ว เจ้าว่านางจงใจหรือไม่! นางรู้แล้วใช่หรือไม่”

“ฝ่าบาท” เว่ยกงกงไม่รู้เลยว่าควรจะต่อบทสนทนาอย่างไรดี

ฮ่องเต้กำหมัดแน่นพลางตรัส “ดี ในเมื่อนางทำเช่นนี้ ข้าทำบ้างก็อย่ามาโวยวายแล้วกัน!”

“ฝ่าบาท! แม่นางกู้มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีน้อยด้านนอกรายงาน

ฮ่องเต้ส่งสายตาให้เว่ยกงกง เว่ยกงกงกระจ่างแจ้ง ไปต้อนรับกู้เจียวที่ตำหนักหวาชิงให้เข้ามาด้วยตัวเอง

กู้เจียวรู้แค่ว่าตำหนักหวาชิงมีคนได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนกระทั่งเข้าตำหนักด้านข้างของตำหนักหวาชิงมาแล้วจึงพบว่าผู้บาดเจ็บที่ต้องการให้ตนรักษานั้นคือจิ้งไท่เฟย

กู้เจียวไม่ได้ถามจิ้งไท่เฟยที่เดิมควรพักในสำนักชีว่าเหตุใดจึงมาอยู่ในห้องนอนฮ่องเต้ได้ อีกทั้งเหมือนว่าตำหนักเหรินโซ่วจะไม่รู้เรื่องนี้กัน มิฉะนั้นฉินกงกงก็คงจะไม่กระซิบมาทั้งทาง

กู้เจียวมองจิ้งไท่เฟยที่สลบไสลไม่ฟื้น

อ๋อ สามีบอกแค่ว่าต่อไปนี้ไม่ต้องไปตรวจที่สำนักชีแล้ว แต่ไม่ได้บอกนี่ว่ามาตรวจที่ตำหนักหวาชิงไม่ได้

คิดเช่นนั้นแล้วแปลว่าวันนี้ก็ออกตรวจได้สินะ

กู้เจียววางกล่องยาลงกับโต๊ะ ก่อนเริ่มตรวจอาการให้จิ้งไท่เฟย

“นางเป็นอะไรหรือ” กู้เจียวถาม

ฮ่องเต้มองจิ้งไท่เฟยพลางตรัสอย่างปวดใจ “เสด็จแม่ล้ม นางไปเด็ดผลไม้ให้เรา สุดท้ายไม่ทันระวังกลิ้งตกลงมาจากบันได”

ด้านหลังสำนักชีเป็นสวนผลไม้เล็กๆ ด้านในปลูกผลไม้ตามฤดูกาล เมื่อออกผลในแต่ละฤดูเต็มต้น จิ้งไท่เฟยก็จะไปเก็บมาแล้วให้คนเอาเข้าวังมาถวายฮ่องเต้

ฮ่องเต้เป็นฝ่ายพูดถึงสาเหตุที่จิ้งไท่เฟยเข้าวังเอง “วันนี้เราไปเยี่ยมเสด็จแม่ เพิ่งกลับมาถึงวังก็ได้ยินข่าวร้ายนี้ ทางเราไม่อาจวางใจได้จริงๆ จึงสั่งให้คนรับเสด็จแม่กลับมารักษาตัวในวัง”

“นางไม่ได้บาดเจ็บหนัก” กู้เจียวบอก

ฮ่องเต้เอ่ยด้วยแววตาลุ่มลึก “แต่เราเป็นห่วงว่านางจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นอีก”

ประโยคนี้เดาได้ยากเสียแล้ว หมายถึงจิ้งไท่เฟยอายุอานามมากแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่ายหรือหมายถึงมีคนแอบลงมือกับจิ้งไท่เฟย ค่อยๆ ทำให้เกิดเหตุไม่คาดฝันกับจิ้งไท่เฟยก็ไม่อาจทราบได้

แต่กู้เจียวก็ไม่ได้ถาม

ข้อศอกขวาของจิ้งไท่เฟย ฝ่ามือซ้ายรวมถึงต้นขาขวาและหัวเข่ามีรอยถลอกที่แตกต่างกัน ซ้ำยังมีไข้เล็กน้อย จึงวินิจฉัยว่าหมู่นี้เป็นไข้หวัด

กู้เจียวออกใบสั่งยาให้เว่ยกงกงไปซื้อยา “ยาหนึ่งวันต่อหนึ่งชุด ต้มเช้าเย็นหนละครั้ง ทานหลังอาหาร ส่วนบาดแผลนางนั้นทายาของหมอหลวงก็หาย ไม่เช็ดก็ไม่เป็นไร”

กู้เจียวเก็บข้าวของเตรียมจะกลับ จู่ๆ ฮ่องเต้ก็ยิ้มขื่นออกมา แล้วเอ่ย “เราคิดว่าจะปิดบังไว้ได้เสียอีก”

สุดท้ายประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป และประเมินสายตาคนผู้นั้นในตำหนักเหรินโซ่วต่ำเกินไป!

กู้เจียวชะงักไป ก่อนจะเอ่ย “ไทเฮาไม่ทราบ”

“เฮอะ” ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “นางไม่ทราบแล้วจะแกล้งป่วยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้รึ โชคดีที่จิ้งไท่เฟยไม่ได้เจ็บหนัก หากเจ็บหนักขึ้นมาล่ะ เสียเวลาเช่นนี้ ชีวิตของเสด็จแม่จิ้งคงได้สิ้นแน่!”

ตนอุตส่าห์ซาบซึ้งที่นางดูแลตนจนไม่ได้นอนทั้งคืน วันนี้ดูแล้วนั่นเป็นเพียงวิธีการซื้อใจคนของนางเท่านั้น สันดานนางมันแก้ยากอยู่แล้ว!

“ไทเฮาไม่ได้แกล้งป่วยเพคะ” กู้เจียวชี้ที่จิ้งไท่เฟยซึ่งอยู่บนเตียง “อาการของไทเฮาหนักกว่านาง หากจะแสร้งล้มป่วยจริงๆ เหตุใดไม่เป็นนางที่แสร้งป่วยเล่า”

ไม่ใช่ว่ากู้เจียวสงสัยจิ้งไท่เฟย นางแค่เอาหลักฐานมาโต้แย้งฮ่องเต้เท่านั้น

ฮ่องเต้พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที “จิ้งไท่เฟยจะแสร้งป่วยได้อย่างไร นางบาดเจ็บถึงเพียงนี้! เจ้าก็เห็นกับตาอยู่ยังจะมาว่าแกล้งอีก!”

กู้เจียวไม่หวาดกลัวที่ฮ่องเต้เดือดดาลสักนิด นางมองพระองค์นิ่งๆ ก่อนเอ่ยอย่างดื้อรั้น “ทางไทเฮาข้าก็เห็นกับตาเช่นกัน”

สายตาฮ่องเต้เย็นเยียบขึ้นเรื่อยๆ

ทั่วทั้งตำหนักข้างเงียบกริบ เว่ยกงกงที่ยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้างกลั้นหายใจนิ่ง ไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่นิด

แม่นางกู้ช่างใจกล้าเกินไปแล้ว พูดจากับฝ่าบาทเช่นนี้ไม่กลัวฝ่าบาทลงโทษเอาหรืออย่างไร

ฮ่องเต้โมโหกู้เจียวจนเกือบลงโทษนางจริงๆ แต่สุดท้ายพระองค์ก็ข่มเอาไว้

ก่อนจะหันหลังเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไปได้แล้ว หมู่นี้ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้า!”

กู้เจียวเอ่ยเสียงเรียบ “พอดีเลย ข้าก็กะว่าจะบอกฝ่าบาทว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่มาตำหนักหวาชิงแล้ว คนตำหนักหวาชิงป่วยก็เชิญหมอหรือหมอหลวงมาเอง ไม่ต้องมาเรียกข้า”

ฮ่องเต้หันหลังกลับมามองนางทันที “เจ้า!”

เฮอะ!

กู้เจียวปิดกล่องยา แล้วหอบมันเดินออกไปโดยไม่หันกลับมา!

ฮ่องเต้เดือดดาลเสียจนพระพักตร์เขียวคล้ำ

พระองค์ทอดมองเงาร่างเล็กทอดยาวของคนบางคนเดินออกไป ก่อนตวาดอย่างโมโห “ไท่จื่อยังไม่เคยโอหังต่อหน้าเราเช่นนี้เลย!”

ฝีเท้ากู้เจียวชะงัก หอบกล่องยาเดินกระทืบเท้ากลับมา

ฮ่องเต้มุมปากหยักยกขึ้นแวบหนึ่ง รู้ซึ้งถึงความน่าเกรงขามของฮ่องเต้แล้วกระมัง

ช่างเถอะ ไม่ได้คิดจะลงโทษนางจริงๆ เสียหน่อย ยอมอ่อนข้อให้พระองค์เสียแต่โดยดีพระองค์ก็จะอภัยให้นางอย่างใจกว้างสักครา

กู้เจียวยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง

“อะไร” ฮ่องเต้ชะงักไป

“ค่ารักษา!” กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ฮ่องเต้หาหมอแล้วไม่จ่ายเงินหรือไร”

ฮ่องเต้แทบสำลักโทสะตาย “…!!”

กู้เจียวรับเงินค่ารักษาห้าสิบตำลึงมาแล้วก็จากไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

จิ้งไท่เฟยค่อยๆ ฟื้นคืนสติ อาจเพราะความเจ็บบนร่าง นางจึงสูดหายใจลึก

ฮ่องเต้สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวจึงรีบเดินไปนั่งข้างเตียงนาง “เสด็จแม่!”

จิ้งไท่เฟยบีบนวดศีรษะที่มึนๆ งงๆ “เมื่อครู่เสียงดังยิ่งนัก ใครปะทะคารมณ์กับฝ่าบาทหรือ”

เว่ยกงกงมองฮ่องเต้อย่างวิตก

ฮ่องเต้เหน็บมุมผ้าห่มให้จิ้งไท่เฟย ก่อนจะตรัสเอ่ย “ไม่มีหรอก เสด็จแม่คงหูฝาดเสียแล้ว ไม่มีใครมาปะทะกับเรา เมื่อครู่นี้เราแค่หารือเรื่องอาการของเสด็จแม่กับหมอเท่านั้น เสียงดังทำเสด็จแม่ตื่นเลย เราผิดเอง”

เว่ยกงกงสีหน้าคลายลง ฝ่าบาทยังคงเอ็นดูหมอเทวดาน้อยอยู่ไม่น้อย