ภาค-3-คลื่นใต้น้ำถาโถม ตอนที่ 8 เตรียมเหยื่อล่อทองคำ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

รถม้าโคลงเคลงอยู่นาน ค่ำคืนเงียบสงัด บนถนนแทบไม่มีผู้คน ดังนั้นความเร็วของรถม้าจึงค่อยๆ เร็วขึ้น ข้าเลิกม่านหน้าต่างขึ้น เห็นต้นไม้สองฟากฝั่งถนนเคลื่อนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว แต่ละฝั่งมีองครักษ์หกคนขี่ม้าประกบติดอยู่ ข้ารู้ว่าจิงฉือคงคุมขบวนอยู่ด้านหลังเป็นแน่ แม้ไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางในฉางอัน แต่ก็รู้ว่าที่แห่งนี้อยู่ห่างจากสถานที่ซึ่งข้าแอบพบเซี่ยจินอี้ไกลมากแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยรถวิ่งทะยานได้อย่างวางใจ ผู้ที่ติดตามมาทำงานในวันนี้ล้วนเป็นคนที่ข้าเชื่อใจที่สุดในหมู่องครักษ์ของข้า กระนั้นพวกเขาก็ไม่ทราบว่าข้าไปที่แห่งนั้นเพื่อการใด ความจริงแล้วเพื่อไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าข้ามาปรากฏตัวที่นั่น ข้าจงใจสร้างสถานการณ์ว่าไปพบกับใครอีกคนหนึ่งไว้ด้วย แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็มีเหตุผลมากพอที่ข้าจะแอบพบอย่างลับๆ เช่นกัน หากคนของรัชทายาทพบร่องรอยของคนผู้นั้น คิดว่าคงจะต้องปวดหัวอย่างยิ่งเป็นแน่ คนผู้นั้นก็คือ ‘ฮั่วจี้เฉิง’ ผู้มีชื่อเสียงระบือลือไกลและเดินทางไม่เป็นหลักแหล่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา

หนึ่งปีก่อนข้าบัญชาคนให้สังหารฮั่วจี้เฉิงปิดปากแล้วสร้างสถานการณ์ลวงว่าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลก ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ‘ฮั่วจี้เฉิง’ กระทำการเพียงสองอย่าง แต่กลับทำให้สำนักเฟิงอี้ปวดเศียรเวียนเกล้า

เรื่องที่หนึ่งคือตอนสำนักเฟิงอี้ใช้คนที่เหลือของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมาวางกับดักรอให้เขาเข้ามาติดกับด้วยตนเอง แม้ฮั่วจี้เฉิงเดินเข้ามาในกับดักดังที่พวกนางคาด แต่เขากลับใช้แผนซ้อนแผน จัดการศิษย์สำนักเฟิงอี้และยอดฝีมือที่พวกนางเชิญมาร่วมแผนการครั้งนี้จนหมดในครั้งเดียว แต่เขาใช้วิธีการใด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ เพราะทุกคนเหลือเพียงศีรษะเปรอะเปื้อนปูนขาวแขวนประจานอยู่ริมทาง นับแต่นั้นพลพรรคของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่เหลืออยู่ก็เงียบหายไร้ร่องรอย คนเป็นไม่เห็นตัว คนตายไม่เห็นศพ จนกระทั่งเกิดเรื่องที่สองขึ้นสองเดือนให้หลัง

นั่นเป็นเรื่องที่ประหลาดยิ่งนัก ลั่วหยางเป็นเมืองใหญ่ ในเมืองย่อมมีพรรคธรรมะและอธรรมปะปนกัน ตระกูลหลัวกับตระกูลติงสองตระกูลใหญ่เบื้องหน้าปรองดอง ต่างเป็นพรรคธรรมะที่อยู่ใต้ธงของสำนักเฟิงอี้ แต่ลับหลังกลับแย่งชิงอำนาจกันเป็นพัลวัน และมีพรรคเล็กพรรคน้อยจำนวนหนึ่งคอยแสวงหาผลประโยชน์จากช่องว่างระหว่างสองตระกูล สองตระกูลใหญ่ไม่ต้องการเสียเปรียบจากการสู้กันเอง จึงต่อสู้กันผ่านพรรคเล็กพรรคน้อยเหล่านี้

ใครจะรู้ว่าจู่ๆ เมืองลั่วหยางก็เกิดเรื่องสะเทือนยุทธจักร อำนาจของพรรคเล็กแห่งหนึ่งจู่ๆ ก็เพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็วจนกลืนพรรคเล็กพรรคน้อยเข้าไปไม่น้อย คราวนี้สองตระกูลใหญ่จึงไม่อาจนิ่งดูดาย พวกเขาร่วมมือกันกดดัน แต่ใครจะคิดว่าพรรคเล็กแห่งนั้นกลับไปเข้าพวกกับตระกูลหลัวทันที ครานี้ตระกูลติงจึงกังวลว่าอำนาจของตระกูลหลัวจะเพิ่มมากขึ้นจนไม่เป็นผลดีกับตน จึงเลี่ยงไม่ได้ต้องลอบเล่นสกปรก ทว่าไม่ทันที่พวกเขาจะได้ลงมือ คนสำคัญของตระกูลหลัวหลายคนถูกลอบสังหารจนตกตาย เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลหลัวย่อมไม่ยอมเลิกราโดยดี ส่วนตระกูลติงคิดว่าตระกูลหลัวจะฉวยโอกาสขยายขุมกำลัง สองฝ่ายจึงเปิดศึกนองเลือดอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเมื่อรองหัวหน้าของพรรคเล็กแห่งนั้นถูกตระกูลติงซื้อไป เมืองลั่วหยางพลันโลหิตสาดดุจสายฝนสายลมคลุ้งกลิ่นคาว กิจการร้านค้าไม่ได้สงบสุข

จนกระทั่งเฟิ่งเฟยเฟย แม่นางสามแห่งสำนักเฟิงอี้ผู้มีฉายาว่ากวนอินผู้เมตตา กับเซี่ยเสี่ยวถง แม่นางเจ็ดฉายากระบี่บงกชมาถึงลั่วหยาง พวกนางเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย ทุกคนนั่งลงคุยกันอย่างละเอียดจึงพบว่ามีคนคอยยุแยงอยู่ตรงกลาง พรรคเล็กแห่งนั้นตกเป็นเป้าของทุกคน สองตระกูลใหญ่ร่วมมือกันโจมตีทลายฐานที่มั่นหลักของพรรคเล็กแห่งนี้สำเร็จก็พบว่าหัวหน้าพรรคถูกคนลอบสังหารอยู่ในห้องนอนแล้ว หลังจากสอบสวนอย่างละเอียดจึงพบว่ามีเด็กหนุ่มนามว่าฮั่วหลีหายไปเพียงคนเดียว คนในพรรครู้เพียงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนคุ้มกันคนใหม่ที่หัวหน้าพรรคเพิ่งรับเข้ามา หลังจากเขามาอยู่ในพรรค พรรคเล็กแห่งนี้ก็เริ่มขยายใหญ่อย่างผิดปกติ มีคนสงสัยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือกุนซือของหัวหน้าพรรค แต่เขาอายุยังน้อยจึงยากจะให้คนเชื่อว่าเป็นความจริง

หากเรื่องจบลงเช่นนี้ แม้จะชวนให้สงสัยเต็มอก แต่ก็คงต้องปล่อยผ่านไปเท่านี้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้แค่สืบหาความเป็นมาของเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่ปัญหาคือท่ามกลางจดหมายตอบโต้ของหัวหน้าพรรคผู้นั้นพบจดหมายลับอยู่ฉบับหนึ่ง เป็นจดหมายที่ฮั่วจี้เฉิงเขียนถึงเขา ในจดหมายมีเพียงถ้อยคำที่จับใจความไม่ได้สองสามประโยคสั้นๆ แต่ท้ายจดหมายบอกว่าจะส่งฮั่วหลีบุตรบุญธรรมมาช่วยเหลือ จดหมายฉบับนี้ทำให้ทุกคนมองหน้ากัน ผู้ใดจะคิดว่าปลาที่หลุดรอดแหไปตัวหนึ่งจะลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้เล่า

นับจากนั้นเป็นต้นมา สำนักเฟิงอี้จึงออกคำสั่งเด็ดขาด ประกาศจับตัวฮั่วจี้เฉิงทั่วหล้า ทว่าแม้ทางการกับสำนักเฟิงอี้จะประกาศจับอย่างเต็มกำลัง แต่กลับไม่มีข่าวคราวของฮั่วจี้เฉิงทั้งสิ้น หลังจากเกิดเรื่องนี้ สำหรับยุทธภพของจงหยวน ฮั่วจี้เฉิงจึงกลายเป็นภัยร้ายอันดับสองรองจากประมุขพรรคมาร

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหลังจากเขารวบรวมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วขึ้นใหม่อีกครั้ง กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็ทำตัวลึกลับ แม้สำนักเฟิงอี้กับราชสำนักต้ายงไล่ล่าจนมีคนจำนวนหนึ่งถูกจับได้ แต่คนเหล่านี้เมื่อโชคร้ายถูกจับไม่สู้จนตัวตายก็ฆ่าตัวตายทันที ต่อให้จับเป็นมาได้สักคนสองคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ทั้งไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำงานใดอยู่ และไม่ทราบว่าจะติดต่อผู้อื่นอย่างไร พวกเขาล้วนทำตามตัวอักษรคำสั่งที่ได้มาจากสถานที่บางแห่งเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงที่แห่งนั้นก็สืบต่อมิได้ ทว่าจากข่าวที่ได้รับมา ก็พอมองออกว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วได้กลายเป็นองค์กรลึกลับที่น่าหวาดกลัวแห่งหนึ่งไปเสียแล้ว

ด้วยเหตุนี้เหวินจื่อเยียน ศิษย์อันดับหนึ่งของเจ้าสำนักเฟิงอี้จึงปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้งเพื่อรับหน้าที่ไล่ล่าคนของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว สำนักเฟิงอี้ถ่ายทอดคำสั่งไปทั่วยุทธภพ คนของกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วทุกคน สังหารไม่เว้น

นับแต่นั้น แม้ร่องรอยของฮั่วจี้เฉิงจะปรากฏออกมาเป็นบางครั้ง แต่จะหายไร้ร่องรอยอย่างรวดเร็วเสมอ ทว่าสถานที่ซึ่งเหวินจื่อเยียน เจ้าของฉายารากษสหัตถ์โลหิตไปเยือนกลับเลือดนองเป็นสายน้ำ เพราะฮั่วจี้เฉิงวางอุบายลึกล้ำ ทิ้งเงื่อนงำของการ ‘สมคบ’ กับผู้นำยุทธจักรในแต่ละพื้นที่ไว้เสมอ เหวินจื่อเยียนผู้ถือคติยอมสังหารผิดคนแต่มิยอมปล่อยให้รอดจึงกลายเป็นเพชฌฆาต จนต่อมายุทธภพต้ายงเพียงได้ยินชื่อฮั่วจี้เฉิงก็หวาดผวาจนหน้าถอดสี

จนกระทั่งสำนักใหญ่แต่ละแห่งต่างส่งหนังสือเกลี้ยกล่อมอย่างอ้อมๆ ถึงเจ้าสำนักเฟิงอี้ เจ้าสำนักเฟิงอี้จึงเรียกเหวินจื่อเยียนกลับมา เหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่นานเกินครึ่งปีครั้งนี้จึงค่อยๆ ปิดม่านลง หากรู้ข่าวว่า ‘ฮั่วจี้เฉิง’ มาเยือนฉางอัน ไม่รู้ว่าจะเกิดความตื่นตระหนกเช่นไร

ข้ายิ้มอย่างลำพอง ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าฮั่วจี้เฉิงคนนี้ถูกข้าสร้างขึ้นมากับมือ แรกเริ่มข้าคิดว่าตัวตนของฮั่วจี้เฉิงใช้ประโยชน์ได้จึงให้หานอู๋จี้เสี่ยงอันตรายไปสังหารคนปิดปาก หลังจากนั้นให้เสี่ยวซุ่นจื่อร่วมมือกับเฉินเจิ่นและหานอู๋จี้กำจัดยอดฝีมือของสำนักเฟิงอี้ที่เดินทางมาดักจับฮั่วจี้เฉิงในครั้งเดียว งานนี้แม้จะอาศัยวรยุทธ์สูงส่งของเสี่ยวซุ่นจื่ออยู่บ้าง แต่กำลังหลักคือเด็กหนุ่มที่เติบใหญ่จากค่ายลับเหล่านั้น พวกเขาอาศัยวรยุทธ์ที่เกือบเทียบเท่าจอมยุทธ์ชั้นยอดกับการวางกระบวนทัพที่ข้าสั่งสอน ผนวกกับการลอบสังหารเล่นงานในที่ลับจนกำจัดยอดฝีมือที่แยกกันเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้ทั้งหมดในคราวเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ฮั่วจี้เฉิงรอบคอบเกินไปจนคนในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับหน้าตาของเขานัก เฉินเจิ่นจึงอาศัยป้ายประจำตัวที่เขาทิ้งไว้รับช่วงต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมา แล้วปล่อยคนจิตใจดีงามที่ถูกบังคับให้ร่วมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไป เหลือไว้แต่สมาชิกกลุ่มจำนวนหนึ่งที่นิสัยโหดร้าย หลังจากนั้นจึงใช้วิธีรุนแรงทำให้พวกเขายอมสยบอย่างสมบูรณ์ แล้วสั่งให้พวกเขาแฝงตัวอยู่ทั่วทุกที่ของต้ายง

ความจริงแล้วภารกิจเหล่านั้นล้วนเป็นภารกิจลวง เพื่อทำภารกิจเหล่านี้ พวกเขาต้องเก็บสันดานโหดเหี้ยม ซ่อนตัวอยู่ในเมือง ทั้งไม่กล้าทำเรื่องชั่วและไม่กล้าหลบหนี เพราะเฉินเจิ่นใช้ยาพิษร้ายที่ข้าให้กับพวกเขา เพื่อให้ได้รับยาแก้พิษเดือนละครั้ง พวกเขาไม่กล้าหลบหนีแน่นอน คนชั่วเหล่านี้จึงถูก ‘คุมตัว’ ไว้เช่นนี้ แล้วยังใช้ประโยชน์จากกำลังของพวกเขาได้อีกด้วย

หลังจากนั้นข้าจึงเริ่มแผนการขั้นที่สอง แม้ตระกูลหลัวกับตระกูลติงแห่งลั่วหยางฉากหน้าปรองดอง แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้สนับสนุนและผู้ช่วยสำนักเฟิงอี้ก่อกรรมทำชั่ว เต้าหลีรับคำสั่งให้ใช้ชื่อฮั่วหลีปะปนเข้าไปในพรรคเล็กแห่งหนึ่ง อาศัยการชี้นำของข้ากับการบัญชาการของเฉินเจิ่นและหานอู๋จี้จุดความขัดแย้งระหว่างพวกเขาได้อย่างราบรื่น ไม่เพียงทำให้ฮั่วจี้เฉิงมีภาพลักษณ์เป็นผู้ที่คอยรอจังหวะเคลื่อนไหวอยู่ในเงามืด แต่ยังทำให้ตระกูลใหญ่สองตระกูลของเมืองลั่วหยางอ่อนแอลงได้สำเร็จ

หลายวันก่อนข้าได้ข่าวจากยงอ๋องว่าแม่ทัพผู้ประจำการในลั่วหยางยามนี้คือคนของยงอ๋อง และเขายึดอำนาจควบคุมลั่วหยางไว้ได้สำเร็จ แต่ข้าไม่ได้บอกตัวตนที่แท้จริงของฮั่วจี้เฉิงกับยงอ๋อง จะให้บอกว่าข้าซือหม่าของยงอ๋องผู้นี้เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วซึ่งเป็นกลุ่มกบฏ ฟังดูเข้าท่ารึ แล้วหลังจากนั้นข้ายังชักนำรากษสหัตถ์โลหิตให้เข่นฆ่าสังหารคนทั่วหล้า แม้ผู้ที่ตายล้วนเป็นคนในยุทธภพหรือไม่ก็ตระกูลผู้มิอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ แต่ยงอ๋องคงรู้สึกว่าทำเกินไปแน่นอน

การเข่นฆ่าครานี้ทั้งข้าและสำนักเฟิงอี้ต่างคนต่างได้บางสิ่ง ข้าลดทอนอำนาจของสำนักเฟิงอี้และค่อยๆ เปลี่ยนภาพลักษณ์สูงส่งของสำนักเฟิงอี้ให้แปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์แห่งคาวเลือดสำเร็จ ทำให้พวกเขานึกขึ้นได้ว่าสำนักเฟิงอี้อาศัยการลอบสังหารและคาวโลหิตก่อตั้งสำนักขึ้นมา แต่สำนักเฟิงอี้ก็ได้ฆ่าล้างอำนาจฝ่ายตรงข้ามที่ทยอยผุดขึ้นมาในยุทธภพตอนนี้สำเร็จด้วย

หากเจ้าสำนักเฟิงอี้ไม่ร่วมมือเช่นนี้ เป้าหมายของข้าก็คงไม่มีโอกาสมากนักที่จะลุล่วงเช่นนี้ ยงอ๋องเคยบอกข้าว่า เขากังวลว่าการสูญเสียยอดฝีมือในยุทธภพมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อกำลังรบของฝั่งกองทัพ ถึงอย่างไรยอดฝีมือมากมายในกองทัพล้วนมาจากในยุทธภพ ข้าจึงใช้โอกาสนี้ขอให้ยงอ๋องบอกใบ้ฝ่ายกองทัพให้อาศัยจังหวะนี้เปิดรับยอดฝีมือ ประกาศว่าหากเข้าร่วมกองทัพแล้วห้ามคนจากยุทธภพเหล่านั้นมาวุ่นวาย ผลปรากฏว่ามีคนในยุทธภพไม่น้อยเข้าร่วมกองทัพเพื่อหลบเลี่ยงคลื่นลม เรื่องนี้ได้รับการสนับสนุนจากแม่ทัพใหญ่ฉินกับฉีอ๋อง ใครไม่คิดฉวยโอกาสเสริมกำลังพลของตนเองให้แกร่งขึ้นบ้างเล่า

ผลสุดท้ายจึงดูเหมือนไม่มีผู้ใดได้เปรียบแต่ก็ไม่มีผู้ใดขาดทุน หากจะกล่าวว่าผู้ใดน่าสงสาร ก็คงเป็นคนที่เข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทั้งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหล่านั้น ทว่าหากพวกเขาไม่ใช่คนเดนตายในยุทธภพก็เป็นผู้ทรงอิทธิพลในท้องถิ่น พวกเขาตายมากหน่อย สำหรับชาวบ้านธรรมดากลับไม่ใช่เรื่องร้ายอันใด ดังนั้นข้าจึงโยนความสงสารทิ้งไปจากสมอง

หากข่าวฮั่วจี้เฉิงเข้าเมืองหลวงแพร่ออกไป ไม่รู้รัชทายาทจะหวาดผวาตัวสั่นหรือไม่

ข้ากำลังขบคิดแผนการต่อไป ทันใดนั้นเสียงตวาดของโจวอู่ผู้เป็นคนเปิดทางด้านหน้าก็ดังขึ้นด้านหน้ารถม้า หลังจากนั้นก็มีเสียงตะโกนตกใจ รถม้าหยุดอย่างกะทันหัน ข้าไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อยร่างกายพุ่งไปด้านหน้าจนเกือบกระแทกประตูรถ โชคดีที่เสี่ยวซุ่นจื่อมือไวตาไวคว้าข้าไว้ได้ ข้าสงบความตื่นตระหนกในใจพลางมองเสี่ยวซุ่นจื่อ แล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ตอนต่อไป