ตอนที่ 391 จากไป

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 391 จากไป

ฉินซ่างจื้อนิ่งอึ้ง นึกถึงถ้อยคำที่ตนเองเคยกล่าวกับไป๋ชิงเหยียนเมื่อเจอหน้าหญิงสาวครั้งแรกตอนที่หลูผิงช่วยชีวิตและพาเขามายังตระกูลไป๋ นึกถึงตอนที่ไป๋ชิงเหยียนยอมลดศักดิ์ศรีโค้งกายคำนับขอให้เขาช่วยชี้แนะ

บัดนี้เมื่อหวนนึกถึง เขาแค่ชี้แนะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่า คุณหนูใหญ่ผู้นี้กลับทุ่มเททำสุดกำลังโดยไม่ถอย อีกทั้งยังทำได้ดีมากอีกด้วย

“ฉินเซียนเซิงไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่และต้องอยู่อย่างสำรวมในจวนขององค์รัชทายาทเช่นนี้ ไม่ทราบว่าฉินเซียนเซิงคิดจะจากไปบ้างหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนหันไปถามฉินซ่างจื้อ

ฉินซ่างจื้อกำหมัดแน่น เขานึกถึงคำชวนของไป๋ชิงเหยียนขึ้นมาได้ เขาหลับตาลงพลางส่ายหน้า “แม้องค์รัชทายาทจะไม่ใช่คนมากความสามารถ ทว่า เป็นคนที่ดีที่สุดในบรรดาโอรสของฮ่องเต้แล้ว ภายภาคหน้าต้องสืบทอดบัลลังก์ต่อจากฮ่องเต้ได้แน่นอนขอรับ! ข้าไม่ได้อยากมีความดีความชอบจากการช่วยสนับสนุนให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ ทว่า ข้างกายของพระองค์มีคนอย่างฟางเหล่าอยู่ หากข้าจากไป ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าองค์รัชทายาทจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนเช่นไร ข้าไม่อยากเห็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของต้าจิ้นถูกฟางเหล่าเสี้ยมสอนจนเป็นทรราชขอรับ ข้าอยากใช้ความสามารถของข้าช่วยประคับประคององค์รัชทายาทให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ถือเป็นการทำเพื่อแคว้นต้าจิ้นขอรับ!”

กล่าวถึงขนาดนี้แล้ว ไป๋ชิงเหยียนจึงไม่คิดโน้มน้าวอีก

ฉินซ่างจื้อเองก็ดูเหมือนไม่อยากกล่าวเรื่องนี้ต่อเช่นเดียวกัน เขากล่าวยิ้มๆ “หลังจากเฉวียนอวี๋กงกงกลับมา เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในซั่วหยางให้องค์ชายฟังอย่างละเอียด เล่าว่าจวิ้นจู่ถูกคนในตระกูลบรรพบุรุษรังแกเช่นไรบ้าง วันที่จวิ้นจู่เดินทางกลับซั่วหยาง องค์ชายต้องทรงกระทำการบางอย่างแน่นอนขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนคาดไม่ถึง นางไม่เคยมีบุญคุณอันใดกับเฉวียนอวี๋

“ฉินเซียนเซิงกำลังหยั่งเชิงว่าข้าซื้อตัวเฉวียนอวี๋ไว้แล้วหรือไม่หรือเจ้าคะ” ไป๋ชิงเหยียนถาม

ฉินซ่างจื้อตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกอึ้งกับความระวังตัวของไป๋ชิงเหยียน เขากล่าวอย่างนอบน้อม “จวิ้นจู่คิดมากแล้วขอรับ! ด้วยความโปรดปรานที่ได้รับจากองค์รัชทายาทและความฉลาดของเฉวี่ยนอวี๋ เขาไม่มีทางทำเรื่องที่ตัดอนาคตของตัวเองเช่นนี้แน่นอนขอรับ”

หากภายภาคหน้าองค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ เฉวียนอวี๋จะกลายเป็นขันทีใหญ่ข้างกายของฮ่องเต้ทันที เวลานี้หากรับสินน้ำใจจากผู้อื่นแล้วองค์รัชทายาทล่วงรู้เข้า อนาคตของเฉวียนอวี๋คงจบสิ้นแน่

ภายในโถงรับรอง ควันจากกระถางธูปซึ่งสลักเป็นลวดลายนกกระเรียนสยายปีกราวกับมีชีวิตจริงๆ ที่วางอยู่ทั้งสี่มุมห้องค่อยๆ ลอยฟุ้งขึ้นในอากาศ

“หากฉินเซียนเซิงต้องการอยู่ข้างกายองค์รัชทายาทต่อ ท่านควรสงสัยระแวงในตัวข้า เช่นนี้องค์รัชทายาทจะได้ใช้งานฉินเซียนเซิงได้อย่างเชื่อใจ” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางฉินซ่างจื้ออย่างจริงจัง “ฉินเซียนเซิงไม่เคยนึกมาก่อนจริงๆ หรือเจ้าคะว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้เชื่อใจฟางเหล่าถึงเพียงนั้น องค์รัชทายาทไม่ชอบให้คนของตัวเองสนิทสนมกันมากเกินไปนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคนของเขาสามัคคีปรองดอง ช่วยเหลือกัน องค์รัชทายาทจะยิ่งรู้สึกระแวง ฉินเซียนเซิงเข้าใจใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ฉินซ่างจื้อตกตะลึง ไป๋ชิงเหยียนกำลังช่วยชี้แนะเขาอย่างนั้นหรือ

ไป๋ชิงเหยียนปิดฝาถ้วยชาลง วางถ้วยชาลงบนโต๊ะน้ำชาด้านข้าง “หากฉินเซียนเซิงต้องการสนับสนุนองค์รัชทายาท ท่านต้องเข้าใจนิสัยของพระองค์เสียก่อน วิธีใช้งานคนขององค์รัชทายาทเหมือนกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่มีผิดเพี้ยน”

ฉินซ่างจื้อกระชับมือที่วางอยู่บนตักแน่น รู้สึกสลดใจ

ทั้งๆ ที่รู้ว่าจักรพรรดิที่เอาแต่หวาดระแวงขุนนาง เอาแต่ต้องการคานอำนาจของทุกฝ่ายไม่มีทางกลายเป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ได้ ทว่า เขาไม่มีทางเลือกอื่น

เขาไม่มีทางละทิ้งแคว้นของตนเองไปเข้าร่วมกับแคว้นอื่น ไปเป็นที่ปรึกษาให้แคว้นอื่นได้…

บัดนี้เขาเลือกนายไปแล้ว จะเปลี่ยนใจได้อย่างไรกัน

“ขอบพระคุณจวิ้นจู่ที่ช่วยชี้แนะขอรับ” ฉินซ่างจื้อกล่าวขอบคุณไป๋ชิงเหยียน

ตอนอยู่ที่หนานเจียง ฉินซ่างจื้อเคยยอมลงให้ฟางเหล่าเพราะต้องการช่วยชีวิตไป๋ชิงเหยียน ทว่า สันดานไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ความทะนงในศักดิ์ศรีของฉินซ่างจื้อทำให้เขาดูถูกการกระทำของฟางเหล่าและไม่มีทางทนความอัปยศอดสูยอมลงให้ฟางเหล่าอีกแน่นอน

ฉินซ่างจื้อมาหาไป๋ชิงเหยียนในวันนี้เพราะเรื่องความอดอยากในเยี่ยนว่อ ทว่า เมื่อได้ยินไป๋ชิงเหยียน

บอกว่าโน้มน้าวองค์รัชทายาทแล้วไม่ได้ผล อีกทั้งไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ส่งคนไปขัดขวาง เขาจึงต้องหาวิธีอื่นจัดการเรื่องนี้ ฉินซ่างจื้ออยู่ต่ออีกครู่เดียวจึงขอตัวจากไป

ก่อนตะวันตกดินในวันนั้น ถงหมัวมัวนำรายชื่อบ่าวที่จะติดตามไปยังซั่วหยางและบ่าวที่อยู่ดูแลเรือนชิงฮุยต่อมาให้ไป๋ชิงเหยียนตรวจสอบ

ไป๋ชิงเหยียนนั่งอยู่ข้างตะเกียงแก้ว เมื่อเห็นว่าถงหมัวมัวอยู่ในรายชื่อที่จะเดินทางกลับไปยังซั่วหยางด้วยก็อดประหลาดใจไม่ได้ หญิงสาวเงยหน้ามองถงหมัวมัว “หมัวมัว?”

ถงหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ “เดิมทีฮูหยินเมตตาให้บ่าวอยู่ที่เมืองหลวงต่อ ทว่า บ่าวเป็นห่วงคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ แม้ชุนเถาจะสุขุมดี แต่นางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น กล่าวตามตรง บ่าวดูแลคุณหนูมาตั้งแต่ยังแบเบาะ บ่าวอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ!”

“ดังนั้นวันนี้บ่าวจึงไปขอความเมตตาจากฮูหยิน ลูกชายของบ่าวหายดีแล้ว บ่าวขอให้ฮูหยินเรียกตัวเขามาจากหมู่บ้านเพื่อมารับใช้คุณหนูใหญ่แทนเจ้าค่ะ ฮูหยินอนุญาตแล้วเจ้าค่ะ” ถงหมัวมัวกล่าว “หากพรุ่งนี้คุณหนูใหญ่ว่าง บ่าวจะให้ลูกชายของบ่าวเข้ามาคารวะคุณหนูเจ้าค่ะ”

ครอบครัวของถงหมัวมัวล้วนเป็นคนของตระกูลไป๋ แม้บุตรชายของนางเฉิงซ่านหรูจะอายุยังน้อย ทว่า ด้วยฐานะของถงหมัวมัวและความสามารถของตัวเขาเอง บัดนี้เขาเป็นคนสำคัญของหมู่บ้านตั้งแต่อายุยังน้อย ปีที่แล้วมีแม่สื่อมาทาบทามเรื่องการแต่งงานที่จวนเฉิงมากมาย ทว่า เฉิงซ่านหรูไม่เคยตกลง เขาเอาแต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการทำนา

หากย้ายเฉิงซ่านหรูมาทำงานกับไป๋ชิงเหยียนแทนเท่ากับเป็นการดึงเขาลงมาให้เริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์อีกครั้ง

ทว่า ถงหมัวมัวและเฉิงซ่านหรูล้วนไม่รู้สึกเสียดาย พวกเขาเป็นบ่าว เจ้านายให้พวกเขาทำสิ่งใดพวกเขาก็ต้องทำตามนั้น หากตนเองมีความสามารถ เจ้านายจะมองไม่เห็นได้อย่างไรกัน

ถงหมัวมัวไม่ได้บอกไป๋ชิงเหยียนว่านางกำชับบุตรชายของตัวเองไว้แล้วว่าหากทำงานรับใช้คุณหนูใหญ่…มีเพียงข้อเดียวคือทำงานอย่างคล่องแคล่ว ปิดปากให้สนิท สิ่งที่ไม่ควรกล่าวห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด หากเขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ คุณหนูใหญ่ต้องเห็นค่าเขาแน่นอน

แม้ถงหมัวมัวจะไม่รู้แผนการทั้งหมดของไป๋ชิงเหยียน ทว่า นางเห็นความลำบากของไป๋ชิงเหยียนดี นางหวังว่าบุตรชายของนางจะได้ทำงานรับใช้คุณหนูใหญ่ ช่วยแบ่งเบาภาระของคุณหนูใหญ่ได้บ้าง

ดวงตาของไป๋ชิงเหยียนร้อนผ่าวด้วยความซาบซึ้ง พยักหน้าพลางกล่าวขึ้น “ได้ พาเขามาเจอข้าพรุ่งนี้ เมื่อกลับไปถึงซั่วหยางคงต้องลำบากหมัวมัวแล้ว”

เช้าตรู่ของวันที่ยี่สิบแปด เดือนสี่ เจี่ยงหมัวมัวเดินเข้าไปในเรือนชิงฮุย เห็นไป๋ชิงเหยียนเพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายหลังจากฝึกซ้อมเสร็จ กำลังนั่งเช็ดผมอยู่ตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง เจี่ยงหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ “บ่าวมาทันเวลาพอดี องค์หญิงใหญ่สั่งให้โรงครัวเล็กทำอาหารที่คุณหนูใหญ่ชอบเตรียมไว้เจ้าค่ะ บ่าวมาเชิญคุณหนูใหญ่ไปรับประทานอาหารเช้ากับองค์หญิงใหญ่ ท่านมีเรื่องจะปรึกษาคุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนวางตำราโบราณในมือลง ให้ชุนเถาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้นาง

เจี่ยงหมัวมัวช่วยทำผมให้ไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นชุนเถามัดถุงทรายไว้บนร่างของไป๋ชิงเหยียน เจี่ยงหมัวมัวขยับริมฝีปากเล็กน้อย ทว่า สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา

ไป๋ชิงเหยียนคารวะยามเช้าองค์หญิงใหญ่ หมัวมัวที่กำลังปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่รับประทานอาหารสั่งให้บ่าวรับใช้นำอาหารเช้าเข้ามา

สาวใช้สิบกว่าคนถือจานอาหารเดินเข้ามาด้านในอย่างเป็นระเบียบ วางข้าวต้ม เครื่องเคียงและของว่างลงบนโต๊ะอาหาร จากนั้นเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ

เจี่ยงหมัวมัวเดินผ่านผ้าม่านลูกปัด อ้อมฉากกั้นเข้าไปด้านใน ย่อกายทำความเคารพ “องค์หญิงใหญ่ คุณหนูใหญ่ คุณหนูหลู อาหารเช้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ เชิญรับประทานอาหารได้แล้วเจ้าค่ะ”

แม่นางหลูเตรียมเข้าไปประคององค์หญิงใหญ่ออกไปรับประทานอาหาร ทว่า ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากนอกเรือนเสียก่อน