บทที่ 402 หลินเหราไม่ตอบจดหมาย
บทที่ 402 หลินเหราไม่ตอบจดหมาย
ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วได้รับผลกระทบจากข่าวลืออย่างหนัก
แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วข่าวลือนี้จะถูกลบล้างไป แต่ความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อร้านขายผ้ากลับมีจุดจบอย่างคาดไม่ถึง และมักจะรู้สึกว่า ‘ร้านขายผ้าจิ่นซิ่ว’ แห่งนี้ ได้สร้างความรู้สึกที่ไม่น่าเชื่อถือขึ้น
อีกหนึ่งผลกระทบจากข่าวลือคือการสร้างชื่อเสียงให้กับร้านขายผ้า
ตู้เหิงไม่ต้องการมีชื่อเสียงแบบนี้
“ผู้คนในเมืองหลวงต่างรู้จักร้านขายผ้าจิ่นซิ่วกันทั้งนั้น และยังรู้จักร้านขายผ้าเหยาจี้ของเราที่อยู่นอกเส้นทางอีกด้วย ก่อนหน้านั้นมักมีคนนำมาเปรียบเทียบเสมอ ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกเขาแย่ลง ไม่ใช่เพราะเรียกลูกค้ามาให้เราหรอกหรือ?”
สะใภ้รองเหยาเห็นว่ากิจการร้านขายผ้าดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงยิ้มตาหยีให้กับคำพูดของน้องสาวผู้นี้
เหยาซูวางสมุดบันทึกการนำเข้าและส่งออกสินค้าของคลังในมือลง แล้วพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “ชายชราสูญเสียม้า แต่กลับนำพาโชคยิ่งใหญ่[1] ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วตั้งใจจะสร้างปัญหาให้แก่เรา คงจะยอมให้เสียฮูหยินซ้ำเสียขุนศึกไม่ได้ ถือว่าให้พี่สะใภ้ใหญ่ได้หายใจทางอ้อมแล้วกัน”
สะใภ้รองเหยาส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชาออกมาหนึ่งเสียง “ตอนนี้พวกเขายังมีอีกสามคนที่ถูกขังอยู่ในศาลต้าหลี่ รอถูกปล่อยตัวออกมา เราค่อยไปหาเรื่องพวกเขา! ให้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วได้เห็นว่าเราไม่ใช่ใครที่จะมาหาเรื่องกันได้ง่าย ๆ”
เหยาซูอดยิ้มเยาะไม่ได้
บางครั้งต้องบอกว่านิสัยของเอ้อหลาง มีเงาของความเอาแต่ใจตัวเองจากสะใภ้รองเหยาติดตัวมาด้วยจริง ๆ
หญิงสาวมองไปรอบ ๆ แวบหนึ่ง ครั้นเห็นลูกค้าเดินจากไปไกลแล้วจนยากที่จะได้ยินบทสนทนาของพวกนาง จึงพูดกับสะใภ้รองเหยาด้วยการยิ้มเยาะเสียงต่ำ “แม้จะบอกว่าการระบายอารมณ์จะทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย แต่คราวนี้พี่รองถือว่าพ่ายแพ้”
เดิมทีเหยาเฉาตั้งใจจะสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเป็นปัญญาชนที่มีองค์ความรู้และไร้พิษไร้ภัยในสายตาของผู้อื่น คาดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นาน จะมาเจอกับผู้ที่กล้าบุกมาหาเรื่องถึงที่ ทั้งยังลงมือทำร้ายเขา
กฎระเบียบของราชสำนักเขาคงจะฝ่าฝืนไม่ได้ และยิ่งไม่สามารถลงประชาทัณฑ์พร่ำเพรื่อได้ แต่ถ้ายังอยู่ในกฎระเบียบ การทำให้คนเหล่านี้พบเจอกับความทุกข์ทรมาน เหยาเฉาไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย
สะใภ้รองเหยากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของพี่รองนัก สำหรับข้า เสนาบดีในศาลต้าหลี่ควรต้องมีความซื่อสัตย์ สีหน้าเย็นชาดุจดั่งมัจจุราชทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ยิ่งดี”
เหยาซูหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง “ช่วยไม่ได้ก็พี่รองอยากเป็นนักปราชญ์รูปงามเอง…”
สะใภ้รองเหยาส่ายหน้า “ไม่รู้ว่าไปเอาความวิปลาสนั้นมาจากที่ใด!”
ความเด็ดเดี่ยวของเหยาเฉาไม่ใช่ผู้ที่ชอบหาเรื่องลงโทษผู้อื่น เขาเลยตามสามคนนี้ไปตรวจสอบร้านขายผ้าจิ่นซิ่วหนึ่งรอบ
แม้แต่เถ้าแก่ที่ทำบัญชีขาดไปห้าสิบตำลึงเมื่อสามปีก่อน ลูกจ้างในร้านขโมยไก่ของเพื่อนบ้านไปเมื่อสองปีก่อน ล้วนแล้วแต่ถูกเขาตรวจสอบจนหมดสิ้น
ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วมักจะถูกพาตัวไปไต่สวนอยู่บ่อยครั้ง ในยามที่สถานการณ์รุนแรงแม้แต่ร้านค้าก็ไม่อาจเปิดให้บริการ เวลาผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นเรื่องขบขันของเมืองหลวง
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ในราชสำนัก ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยต่างก็รู้ถึงความสามารถของเหยาเฉา
เขาอยากจะแสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ[2] ความจริงมันยากมากเชียว
พวกนางเองก็ไม่ค่อยเข้าใจการเคลื่อนไหวดั่งคลื่นโหมซัดในราชสำนักสักเท่าไร ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยถึงแผนการของกิจการอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านนอก
“อาซู! พี่สะใภ้”
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน จากนั้นเหยาซูก็เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “พี่เซวีย ไม่เจอกันนาน ได้ยินว่าพี่ออกไปแล้ว เหตุใดถึงได้กลับมาเร็วเพียงนี้?”
พี่เซวียมักจะขึ้นเหนือล่องใต้พบปะกับสหายเป็นชีวิตจิตใจ และในขณะเดียวกันก็นำเสื้อผ้าสำเร็จรูปออกขายทั่วทั้งเมืองต้าเยี่ยน โดยปกติแล้วจะไม่ได้เจอกันอย่างน้อยเดือนเศษ มากสุดก็หนึ่งปี
แต่คราวนี้สั้นยิ่งนัก
สะใภ้รองเหยารีบกล่าวทักทายนางและนั่งลง “ดูท่าทาง คงถูกแดดเผาไม่น้อยเลยสิท่า คิดว่าระหว่างทางคงจะเหน็ดเหนื่อยมากแน่ ๆ นั่งลงสิ เจ้ากลับเข้าเมืองมาตั้งแต่เมื่อใด?”
เซวียหรงเดินมาตรงหน้าของทั้งสองคน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งถึงเมื่อเช้าตรู่วันนี้ แวะไปเก็บของที่จวนเซี่ยก่อน จากนั้นก็มาจวนเหยาของพวกเจ้าต่อ ได้ยินคนรับใช้ในจวนพูดกันว่าพวกเจ้าไปร้าน ข้าก็เลยตามกลิ่นมา”
เหยาซูกลั้นหัวเราะพลางพูดว่า “ตามกลิ่น? ไม่ใช่ร้านอาหารนะ ข้าและพี่สะใภ้รองมีกลิ่นเช่นนั้นที่ไหนกัน!”
เซวียหรงกลับไม่เกรงใจ หยิบจอกสะอาดมารินน้ำชาให้ตัวเอง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ยามดูฉากสนุก จะไม่เตรียมขนมผลไม้แห้งข้างมือหน่อยหรือ? ข้าได้กลิ่นนะ มันคือกลิ่นถั่วลิสงคั่ว”
เหยาซูและพี่สะใภ้รองเหยาต่างพากันหัวเราะตัวเกร็ง จากนั้นก็ชี้ไปทางเซวียหรงและพูดว่า “พี่มาช้าไป! ฉากละครสนุก ๆ ปิดม่านไปแล้ว”
เซวียหรงดื่มชาลงท้องรวดเดียวสองจอก แล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “ข้าเห็นนะ แม้ว่าพวกเจ้าจะตั้งใจปิดม่านแล้ว แต่ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วกลับไม่เห็นด้วย ปั่นป่วนจนกลายมาเป็นเช่นนี้ ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้ยามอยู่นอกเมือง เกรงว่าจะสู้กันจนตายกันไปข้างน่ะสิ”
ครั้นเหยาซูนึกถึงเรื่องที่ตู้เหิงทำในตอนที่ตัวเองไม่อยู่ ก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ
เซวียหรงพูดถูก ต่อให้ตู้เหิงไม่มาหาเรื่อง นางก็ไม่มีวันยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ จนต้องเป็นฝ่ายไปหาเรื่องตู้เหิงเสียเอง
หญิงสาวยิ้มเยาะเย็นชาหนึ่งเสียง แล้วพูดว่า “ตอนนี้ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วอยู่ในช่วงขาลง ถือโอกาสยามเขาอ่อนแอ เอาชีวิตเขาเสีย”
เซวียหรงตะลึงงันไป จู่ ๆ ก็ยิ้มอย่างฉับพลัน “อาซู ข้าไม่คิดว่าภายใต้อารมณ์อ่อนไหวของเจ้า จะมีด้านที่โหดเหี้ยมเช่นนี้”
สะใภ้รองเหยาส่ายหน้า “ตู้เหิงสร้างปัญหาให้อาซูไม่น้อย และคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้จัดการนางไม่ได้ ปัญหาของตู้เหิงเหล่านี้ก็คงจะได้รับการแก้ไขไปนานแล้ว ช่วยไม่ได้ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ต้องสู้กับนางตัวต่อตัวต่อไป”
เหยาซูยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเย็นชาและมั่นใจในตัวเอง “โบยรวดเดียวจนตายคงไม่สนุกหรอก ต้องค่อยๆ แล่เนื้อเถือหนัง นางถึงจะรู้สึกเจ็บ”
เซวียหรงแอบบอกเป็นนัย ๆ ว่าพี่น้องของตัวเองผู้นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระต่ายขาว ครั้นนึกถึงสามีของนาง สิ่งที่ไม่เข้าใจเมื่อครั้งอดีตก็พรั่งพรูโดยพลัน
สะใภ้รองเหยาเห็นสีหน้าของนาง จึงรีบเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เจ้าต้องการเข้าใจสิ่งใด? ดูท่าจะตื่นตกใจไม่น้อย”
เซวียหรงรินน้ำให้ตัวเองอีกหนึ่งรอบ กาน้ำจึงถูกรินจนหมดเกลี้ยง
หญิงสาวขยิบตาเล็กน้อย “ก็ตื่นตกใจจริง ๆ นั่นแหละ…”
เหยาซูรู้ว่าต่อไปจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ จึงได้ชิงพูดเสียก่อน “เอาละ เอาละ หยุดพูดได้แล้ว ต่อให้รินชากานี้จนหมดเกลี้ยง ก็ยังเห็นว่ากระหาย จะพูดมากเพียงนั้นเพื่ออะไร?”
เซวียหรงหัวเราะออกมา “ข้าต้องพูด”
สะใภ้รองเหยาชอบยุ่งเรื่องคนอื่นจนมันบานปลาย จึงเรียกลูกจ้างในร้านให้ยกชาเข้ามา
กระทั่งได้ยินเซวียหรงพูดว่า “ก่อนหน้านั้นข้าเคยอยากรู้เรื่องสามีภรรยาอย่างอาซูและหลินเหรา เห็นได้ชัดว่าอาเหรามักจะดูเย็นชาจนผู้อื่นเกรงกลัว แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถือว่าไม่เลวเลย ดูจากตอนนี้ กระต่ายน้อยและหมาป่าคงจะไม่มีผล คงเป็นได้แค่พ่อหมาป่าและแม่หมาป่าที่ครองคู่กัน….”
ลูกจ้างได้ยกกาน้ำชาเข้ามา จึงได้ยินประโยคสุดท้ายพอดี เลยเอ่ยด้วยความอยากรู้ว่า “ทิศตะวันตกที่เถ้าแก่เนี้ยเซวียไปครั้งนี้ เจอหมาป่าด้วยหรือขอรับ?”
ทั้งสามคนพากันหัวเราะลั่น เหยาซูกลับไม่ได้หน้าบางเพียงนั้น เมื่อได้ยินเซวียหรงเปรียบหลินเหราเป็นหมาป่า ความคิดสับสนวุ่นวายในสมองก็ผุดขึ้นมามากมาย สีหน้าค่อย ๆ แดงระเรื่อขึ้น
นางแค่พูดกับลูกจ้างว่า “อย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของแม่นางเซวียนัก รีบรินชาของเจ้าเสีย”
ลูกจ้างจึงได้รู้ว่าตัวเองคงจะเข้าใจผิดอะไรเข้าเสียแล้ว จึงยิ้มพร้อมกับรินชาให้กับทั้งสามคน จากนั้นก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เหยาซูมีสีหน้าแดงก่ำ รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจนแทบทนไม่ไหว แต่การเอ่ยถึงหลินเหราเมื่อครู่ ชายหนุ่มกลับฝังรากลึกอยู่ในสมองของนาง จนยากจะกำจัดออกไปได้
นางจึงต้องเอ่ยกับเซวียหรงอย่างไม่อาจควบคุมได้ “พี่กลับมาจากจวนเซี่ย เจอใต้เท้าเซี่ยบ้างหรือไม่?”
ครั้นเซวียหรงได้ยินน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความใจดีระคนความสดใส ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าเหยาซูกำลังถามถึงหลินเหรา
นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้พี่เชียนไม่ได้ยุ่งนัก นั่งเขียนตัวอักษรอยู่ตรงข้ามน้องอวี๋จืออยู่ในจวน สองคนนั้นไปนั่งในศาลาข้างทะเลสาบตั้งแต่เช้า เขียนอักษรตลอดช่วงเช้าเพิ่งเสร็จ ข้าแค่ทักทายพี่เชียนคำสองคำแล้วก็ออกมาเลย”
เหยาซูคิดในใจ ในราชสำนักเจ้าชอบชิงดีชิงเด่นกับข้าเสมอ นางมักสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ค่อนข้างตึงเครียดทำนองนั้นจากอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง คาดไม่ถึงว่าในใจของเซี่ยเชียนจะยังนิ่งสงบ
กระทั่งได้ยินเซวียหรงพูดต่อว่า “ตลอดการเดินทางไปทิศตะวันตกของข้าครั้งนี้ ทำให้รู้ได้ว่าสงครามชายแดนมาคุถึงขั้นหมายจะฆ่าแกงกันให้ตายแล้ว ข้าจึงไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก ถือโอกาสกลับเมืองเสียก่อน”
เหยาซูไม่ได้รับข่าวคราวจากหลินเหรามานานมาแล้ว จึงยิ่งเป็นกังวลในใจ แต่การเปิดเผยความกลุ้มใจทางสีหน้าไม่ใช่เรื่องดี จะพาให้ทั้งสองคนเป็นห่วงเสียเปล่า ๆ
ใบหน้าของนางจึงยังคงแสดงสีหน้าปกติ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “กลับมาเร็วก็ดี ไฉนเลยทำกิจการไม่ราบรื่นเลยต้องเดินทางไปไกลเพียงนั้น? ไม่ง่ายเลยนะที่พี่เซวียและพี่สะใภ้รองจะอยู่พร้อมหน้า เรามาปรึกษากันเรื่องร้านขายผ้าสำเร็จรูปดีกว่า”
ทั้งสองคนไม่มีกฎตายตัว จากนั้นก็คุยถึงเรื่องช่างตัดเสื้อที่หามาได้เมื่อเดือนที่แล้วเหล่านั้น และเรื่องการเปิดร้ายขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป
เหยาซูพูดในขณะที่ส่วนหนึ่งจิตใจล่องลอยออกไปข้างนอก ช่างว่างเปล่า เฝ้ารอเพียงแค่คำพูดของหลินเหรา บอกกับนางว่าเขาปลอดภัยดี
[1] บางสิ่งที่สูญเสียไปอาจไม่ใช่เรื่องไม่ดี
[2] แสร้งทำเป็นคนอ่อนแอไร้น้ำยา