ตอนที่ 288 โอสถทรงพลัง (2)

ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หลี่ฉางโซ่วกังวลว่า สำนักบำเพ็ญประจิมจะกลัวจนหัวหดและเลิกกดดันเผ่ามังกร หากเป็นเช่นนั้น ที่ศาลสวรรค์คิดว่าจะเป็นชาวประมง[1] ก็จะกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปในทันที

เยี่ยมไปเลย

แม้จะพ่ายแพ้ แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงมีกำลังใจสู้ต่อไป มุ่งมั่นไปที่การวางแผน กลอุบาย ยึดมั่นในเป้าหมายเดิมของพวกเขา กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นแบบอย่างของสำนักบำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกบรรพกาล!

ความจริงแล้ว ในเวลานี้ มีศิษย์ของจอมปราชญ์บางคนของสำนักบำเพ็ญประจิมได้พิสูจน์แล้วว่า สำนักบำเพ็ญเต๋าก็สนใจเนื้อติดมัน[2]ของเผ่ามังกรเช่นกัน

นอกจากโชคแล้ว สำนักบำเพ็ญประจิมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสามสำนักบำเพ็ญเต๋า หากพวกเขายอมถอยง่ายๆ นั่นจะไม่แสดงให้เห็นว่า พวกเขากลัวสำนักบำเพ็ญเต๋าหรือเล่า?

เพื่อแข่งขันกับสำนักบำเพ็ญเต๋า พวกเขาก็ต้องจัดการยึดเผ่ามังกรให้ได้เร็วที่สุด

แม้สิ่งต่าง ๆ จะซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็ง่ายดายขึ้นมาก

สำนักบำเพ็ญประจิมระวังตัวมากขึ้นจากความพ่ายแพ้ครั้งนั้นเช่นกัน

ตามข้อมูลที่ผู้บำเพ็ญเหวินจิงให้มา จุดสนใจต่อไปของสำนักบำเพ็ญประจิมจะมุ่งเน้นไปที่วังมังกรทะเลประจิม จากนั้นพวกเขาก็จะค่อย ๆ แทรกซึมเผ่ามังกรผ่านหุ่นเชิดและฉวยประโยชน์จากความขัดแย้งภายในเผ่ามังกรเพื่อผลักเผ่ามังกรไปที่ขอบหน้าผา[3]

ศึกสู้ในช่วงงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ของอ๋าวอี่ แม้กองทัพกบฏของเผ่าทะเลจะประสบความสูญเสีย ทั้งกองกำลังทหารและแม่ทัพ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าทะเลแห่งสี่คาบสมุทรและเผ่ามังกรก็ได้ถึงจุดตึงเครียดอย่างยิ่งแล้ว

การยั่วยุเล็กน้อยย่อมจะส่งผลให้เกิดการกบฏที่ขยายใหญ่ขึ้นไปในวงกว้าง

ยิ่งไปกว่านั้น สำนักบำเพ็ญประจิมจะระดมกำลังเพิ่มเติมจากมหาตรีสหัสโลกธาตุเพื่อล้อมจับเผ่ามังกรต่อไป

สำนักบำเพ็ญประจิมต้องการทำลายความภาคภูมิใจของเผ่ามังกรและให้เหล่ามังกรยอมคุกเข่าลงที่เชิงเขาหลิงซานเพื่อขอร้องให้สำนักบำเพ็ญประจิมรับพวกเขาไว้เป็นลูกน้อง…

สำนักบำเพ็ญประจิมต้องการความเจริญรุ่งเรือง จึงปรารถนาจะปราบมังกร

ความเจริญรุ่งเรืองนี้มีอะไรดีเล่า? ก็แค่แข็งแกร่งขึ้นใช่หรือไม่?

คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจของหลี่ฉางโซ่ว เมื่อวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่พบอะไรเลย

“ช่างมันเถิด ไม่ว่าจะอย่างไร ความสงบสุขย่อมเป็นพร”

กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ส่งตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กลับไปที่ห้องเก็บตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ใต้ดิน และเพ่งจิตส่วนใหญ่ของเขามุ่งไปที่งานเลี้ยงของงานอภิเษกในวังมังกรทะเลบูรพา เขายังคงกิน ดื่มและพูดคุยกับสหายเฒ่าของเขา เทพจันทรา แม่ทัพสวรรค์สองสามคน และร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน เพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายของพวกเขา

มีการร้องเพลงและร่ายรำไปรอบห้องโถง สาวทะเลและสาวหอยเดินไปมาทั่วห้องโถง พวกนางต่างถืออาหารเลิศรสทุกประเภทเพื่อให้บริการ หากพบจานว่างเปล่า พวกนางก็เติมเต็มให้ในทันที

ขณะนี้ วังผลึกแก้วครึกครื้นไปด้วยกิจกรรมที่น่าตื่นตา ทั้งร้องเพลงและร่ายรำ

แน่นอนว่า อ๋าวอี่และเจียงซื่อเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

ตามกฎของเผ่ามังกร ทั้งสองต้องไปที่เรือนหอหลังใหม่ของพวกเขาและจะออกมาได้หลังจากผ่านไปสามเดือนแล้ว เพื่อให้มาถวายน้ำชาแก่ราชามังกร

ในช่วงเวลานั้น มีค่ายกลมังกรขนาดใหญ่หลายชั้น คอยคุ้มกันหออันอบอุ่นนั้น ยากที่ปรมาจารย์ธรรมดาทั่วไปจะมองทะลุผ่านไปเห็นสถานการณ์ภายในได้ พวกเขาสามารถกลิ้งตัวไปมา ทำทุกอย่างได้ตามต้องการอย่างสุดเหวี่ยง

ขณะที่หลี่ฉางโซวกำลังสนทนากับเทพจันทรา ก็มีภาพเหตุการณ์หนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขา บัดนี้ ที่ยอดเขาหยกน้อย หลิงเอ๋อร์ได้ขี่เมฆไปที่หอโอสถ

หลี่ฉางโซ่วยิ้มทันทีและกล่าวว่า “เทพจันทรา โปรดช่วยดูแลร่างจำแลงของข้าให้ด้วย ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการอื่น”

“ได้สิ”

เทพจันทราพยักหน้าพลางแย้มยิ้ม เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับเรื่องนี้แล้ว

ที่หน้าหอโอสถ หลิงเอ๋อร์ในชุดลายเมฆสีขาวล้วน ค่อยๆ ขับเคลื่อนเมฆลงมาช้าๆ

ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด คราวนี้ หลิงเอ๋อร์จึงไม่ได้เข้าไปในหอโอสถอย่างเปิดเผยมากนัก แต่เดินเงียบ ๆ ไปที่ประตูแทน แล้วใช้มือเล็กๆ จับที่ขอบประตูก่อนจะแอบยื่นศีรษะที่ทำผมทรงเมฆเอาไว้ แล้วมองเข้าไปในหอโอสถ

“ศิษย์พี่…”

“มีอันผิดปกติใดหรือ?” หลี่ฉางโซ่วลุกยืนขึ้นมาจากเตาหลอมโอสถและหันไปมองหลิงเอ๋อร์พลางเอ่ยถาม

ทันใดนั้นหลิงเอ๋อก็หน้าแดงและกล่าวเบาๆ ว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ให้ข้ามาเชิญ ขอให้ท่านได้โปรดไปพบด้วยเจ้าค่ะ”

“หากนางประสงค์จะเรียกข้า ก็ย่อมเรียกได้ ท่านปรมาจารย์เป็นผู้อาวุโสของเรา ไยเจ้าต้องพูดว่า ‘ได้โปรด’ ด้วยเล่า?”

หลี่ฉางโซ่วยกเสื้อคลุมของเขาขึ้น และเมื่อเห็นสภาพของหลิงเอ๋อร์ในเวลานี้ เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างได้ในทันที

“ท่านปรมาจารย์ใหญ่ถามอะไรที่ทำให้เจ้าขัดเขินหรือ?”

“ศิษย์พี่ ท่านได้ยินหรือไม่?”

หลิงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและดุยิ้มๆ ว่า “มันเขียนทุกอย่างไว้บนใบหน้าของเจ้าหมดแล้ว ไฉนจะต้องฟังเล่า? ไปกันเถิด ไปดูกันเลย ตามที่ข้าคาดไว้ ปรมาจารย์ตัวน้อยหมดความอดทนและอยากคืบหน้าต่อไปอีกขั้นกับปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งจริงๆ เช่นนั้น ก็ดีเหมือนกัน”

“เจ้าค่ะ!”

หลิงเอ๋อร์เม้มปากแล้วตามหลังศิษย์พี่ของนางไปบนก้อนเมฆ และขยับเข้าหาเขาอย่างไม่ตั้งใจเล็กน้อย

แต่เมื่อมองขึ้นไปที่แผ่นหลังของหลี่ฉางโซ่ว นางก็อดจะนึกถึงยามที่พวกเขาอยู่ริมทะเลสาบด้วยกันไม่ได้… จู่ๆ ศิษย์พี่…

ฉ่า…

หือ? หลี่ฉางโซ่วหันศีรษะไปมองศิษย์น้องหญิงของเขาอย่างแปลกใจและพบว่า หลิงเอ๋อร์กำลังเอามือปิดหน้าของนางขณะที่มีควันสีขาวก็ลอยขึ้นมาจากศีรษะ…

หลี่ฉางโซ่วก็ตกใจเช่นกัน

เหตุใดสตรีผู้นี้ยังผ่านมันไปไม่ได้สักที? ผ่านมากว่าสิบปีแล้วนะ!

เขาแค่ล้อเล่นเมื่อทำเช่นนั้น หากเขาจูบในตอนนั้น… แค่กๆ เขาไม่ควรคิดมากเกินไป เกรงว่าความคิดของเขาจะชักนำเขาไปสู่การกระทำตามจริงๆ

หลี่ฉางโซ่วขี่เมฆ พาหลิงเอ๋อร์ไปที่กระท่อมมุงจาก เดิมทีหลิงเอ๋อร์อยากฉวยโอกาสหลบหนี แต่ปรมาจารย์ใหญ่ เจียงหลินเอ๋อร์ของนางได้กล่าวออกมาว่า “หลิงเอ๋อร์ เข้ามาพร้อมกันเลย”

หลิงเอ๋อร์จึงทำได้เพียงก้มศีรษะรับแล้วเดินตามศิษย์พี่เข้าไปในบ้าน

เจียงหลินเอ๋อร์อยู่ในชุดยาวสง่างาม และนั่งคุกเข่าอยู่หลังโต๊ะเตี้ย ใบหน้างดงามของนางเต็มไปความเคร่งขรึม

เมื่อเห็นศิษย์หลานทั้งสองเข้ามาในบ้าน เจียงหลินเอ๋อร์ก็ยกมือขึ้นเพื่อวางข่ายอาคมหลายชั้นแล้วมองไปที่ หลี่ฉางโซ่วด้วยใบหน้าที่ดูจริงจัง

เจียงหลินเอ๋อร์ทุบลงบนโต๊ะเบาๆ ด้วยหมัดซ้ายแล้วจนเกิดเสียงดังตุ้บ

“ต่อไป! ห้ามผู้ใดหัวเราะเชียวนะ!”

ทั้งสองศิษย์พี่น้องล้วนสับสนในทันที “ท่านปรมาจารย์ใหญ่โปรดอย่ากังวลเลยขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ต่อให้พวกเราได้ยินเรื่องขบขันมากเพียงใด พวกเราก็จะไม่หัวเราะ อย่างน้อย ก็จะไม่หัวเราะออกมาดังๆ”

หลิงเอ๋อร์ก็พยักหน้ารับหงึกหงักซ้ำแล้วเล่า “เจ้าค่ะ ท่านปรมาจารย์ใหญ่โปรดอย่ากังวล!”

“ข้า!”

เจียงหลินเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก และทรุดตัวลง หมดพลังไปในทันที นางนอนลงบนโต๊ะและถอนหายใจ แล้วใช้เสียงแหบแห้งราวกับคนที่กำลังจะตายจากความกระหายและหิวโหย ตะโกนเสียงแหบแห้งออกมาเบา ๆ ว่า “ฉางโซ่ว มาช่วยข้าด้วย ปรมาจารย์ใหญ่ของเจ้าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

“ท่านปรมาจารย์ใหญ่… เกิดอันใดขึ้นกันแน่หรือเจ้าคะ?”

“อืม…”

เจียงหลินเอ๋อร์หน้าแดง แต่ก็กลับมาเป็นปกติ และดูมีชีวิตชีวาขึ้น จากนั้น นางก็ลุกขึ้นนั่งแล้วเท้าเอวของนาง

หากกล้าและมั่นใจพอ ก็จะไม่อายแต่อย่างใดเลย

“ข้าเพียงทำตามความรู้สึกจากใจ! ข้าอยากพัฒนากับฟู่กุ้ยเอ๋อร์ต่อไปไปอีกขั้น! หลิงเอ๋อร์กล่าวว่า เจ้ามีโอสถปรารถนา เอามาให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าจะให้เขากินมัน แล้วข้าจะให้แน่ใจว่าข้าวสารจะกลายเป็นข้าวสุก!”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที

เขาหันไปมองหลิงเอ๋อร์ที่รีบส่ายศีรษะ นางไม่ได้สอนท่านปรมาจารย์ใหญ่เช่นนั้นอย่างแน่นอน!

เพราะในท้ายที่สุด ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยก็เคยใช้ชีวิตอยู่ภายนอกมาก่อน นางท่องไปทั่ว ได้รู้เห็นทุกสิ่งมากมาย เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง แม้นางไม่เคยกินเนื้อหมู แต่จะไม่เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อน[4]หรือเล่า?

“ท่านปรมาจารย์ใหญ่ แม้โอสถปรารถนาจะได้ผล แต่ก็ไม่ใช่โอสถรักษาที่ถูกต้องนะขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางหยิบขวดน้ำเสน่หาที่ใช้หลอมโอสถปรารถนาออกมา แล้ววางมันไว้ข้างหน้าท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของเขา

“ท่านปรมาจารย์ใหญ่ ของสิ่งนี้มีชื่อว่า น้ำเสน่หาที่สกัดกลั่นมาจากหนอนกู่พิษรัก และเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักของโอสถปรารถนาซึ่งผสมลงในสุราได้ … ทว่าก่อนจะใช้มัน ท่านควรบอกปรมาจารย์หวางฉิงผู้สูงส่งก่อนจึงจะดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดกันโดยไม่จำเป็นขอรับ”

“เจ้ามีของสิ่งนั้นจริงๆ หรือ?!”

เจียงหลินเอ๋อร์กะพริบตาเบาๆ พลางเก็บขวดกระเบื้องเคลือบ แล้วกระแอมไปออกมาสองครั้ง จากนั้นก็เอ่ยสั่งสอนอย่างชอบธรรมว่า “ฉางโซ่ว อย่าคิดมากเกินไป เมื่อกล่าวถึงเรื่องระหว่างชายและหญิง เราต้องปล่อยให้ดำเนินไปตามธรรมชาติ ดูโอสถที่เจ้าหลอมขึ้นมา แล้วยังเป็นโอสถปรารถนา และน้ำเสน่หาอีก เอ๋?”

เหตุใดเจ้าถึงยังพร่ำบ่นเล่า?

“ท่านปรมาจารย์ใหญ่ ขวดน้ำเสน่หานี้มีราคาถึงศิลาวิญญาณหกพันหกร้อยก้อนขอรับ”

“เอ่อ นอกจากเรื่องเช่นนี้แล้ว เจ้าก็โดดเด่นในด้านอื่นๆ ดีทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าจะไปเตรียมสุราก่อน!”

……………………………………………………………

[1] ผู้เขียนปรับมาจากนกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน ชาวประมงได้รับผลประโยชน์ คือ มีสองฝ่ายต่อสู้กันจนไม่เป็นผลดีต่อทั้งคู่เฉกเช่น นกปากส้อมกับหอยต่อสู้กัน และสุดท้าย ฝ่ายที่สามก็ได้ผลประโยชน์ไปเปรียบดั่งคนตกปลาที่รอเวลาตักตวงผลประโยชน์ ซึ่งเปรียบสำนักบำเพ็ญประจิมกับเผ่ามังกรดุจนกปากส้อมและหอย ส่วนศาลสวรรค์ก็ดั่งชาวประมง หรือหมายถึงคนที่ได้รับผลประโยชน์ โชคลาภโดยไม่ต้องทำอะไรหรือโดยไม่คาดคิด

[2] ความอุดมสมบูรณ์ หรือของชั้นดี

[3] ต้อนให้จนมุม ถึงทางตัน อับจนหนทาง

[4] คือ ถึงไม่ได้รู้จริง แต่ก็ต้องได้เห็น หรือรับรู้รับฟังจากใครมาบ้าง ซึ่งในที่นี้ก็คือ แม้เจียงหลินเอ๋อร์จะไม่มีประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงโดยตรง แต่ก็ต้องรู้เรื่องนี้