ตอนที่ 395 จุดประสงค์

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 395 จุดประสงค์

ฉินซ่างจื้อพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง

“ปฏิกิริยาของแม่ทัพจางตวนรุ่ยเท่ากับเป็นการบอกต้าเหลียงว่าแคว้นต้าจิ้นของเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน กระทั่งไม่กล้าทำสงครามในตอนนี้! การที่ฮ่องเต้ส่งแม่ทัพจางตวนรุ่ยไปยังภูเขาชุนมู่ก็เพื่อข่มขวัญต้าเหลียงให้หวาดกลัวเท่านั้น!” ไป๋ชิงเหยียนหันไปมององค์รัชทายาท “หากองค์รัชทายาททรงถ่ายทอดคำสั่งให้ปล่อยตัวทหารต้าเหลียงผู้นั้นกลับคืน วันที่แม่ทัพจางตวนรุ่ยส่งทหารต้าเหลียงคืนไปยังค่ายของพวกเขาคงเป็นวันที่ต้าเหลียงบุกโจมตีแคว้นต้าจิ้นของเราเพคะ”

“จวิ้นจู่กล่าวเกินไปหรือไม่ขอรับ” ฟางเหล่ายังคงวางมาดยโสเช่นเดิม

“แคว้นต้าจิ้นของเราส่งทหารคืนให้พวกเขา ต้าเหลียงต้องไถ่โทษพวกเราถึงจะถูกไม่ใช่หรือขอรับ”

“หากฟางเหล่าเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่สู้เดินทางไปปล่อยตัวทหารผู้นั้นคืนให้ต้าเหลียงด้วยตัวเองดีหรือไม่ รอดูต้าเหลียงชดใช้ให้ต้าจิ้นด้วยตัวเอง” ฉินซ่างจื้อแขวะออกมาอย่างอดทนฟังฟางเหล่ากล่าวต่อไปไม่ไหวจริงๆ

ฟางเหล่าขบกรามแน่น “ฉินเซียนเซิงกำลังงัดข้อกับข้าอย่างนั้นหรือ”

“ไม่กล้างัดข้อกับฟางเหล่าหรอกขอรับ แค่รู้สึกว่าฟางเหล่าอาจเป็นสายลับของต้าเหลียงที่ถูกส่งมาทำลายแคว้นต้าจิ้นของข้าก็เท่านั้น!” ในที่สุดฉินซ่างจื้อก็บันดาลโทสะที่อดกลั้นมาหลายวันออกไป กล่าวอย่างไม่เกรงใจฟางเหล่าแม้แต่น้อย

“เจ้า…เจ้า…” ฟางเหล่าชี้นิ้วไปทางฉินซ่างจื้อด้วยความโมโหจนตัวสั่นเทา “ฆ่าได้หยามไม่ได้! องค์ชายจะทรงดูพวกเขาดูถูกกระหม่อมเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ!”

องค์รัชทายาทกระแอมออกมาเล็กน้อย “ล้วนเป็นที่ปรึกษาของเรา การเสนอความเห็นของตัวเองถือเป็นหน้าที่ของทุกคน ฉินเซียนเซิง…ฟางเหล่าอาวุโสกว่าท่าน ฉินเซียนเซิงจะเสียมารยาทเช่นนี้หรือ”

ฟางเหล่าได้ยินองค์รัชทายาทกล่าวเข้าข้างตัวเองจึงเชิดหน้าสะบัดแขนเสื้อใส่ฉินซ่างจื้อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ฉินซ่างจื้อหลับตาข่มความโกรธของตัวเองเอาไว้ หันไปทางไป๋ชิงเหยียน “หากตอนนี้องค์ชายถ่ายทอดคำสั่งให้แม่ทัพจางตวนรุ่ยตัดศีรษะของทหารต้าเหลียงผู้นั้นส่งกลับไปยังค่ายทหารของพวกเขาจะยังทันหรือไม่ขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลง นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาทถ่ายทอดคำสั่งไปให้แม่ทัพจางตวนรุ่ยพร้อมให้คนนำทัพไปยังภูเขาชุนมู่อีกกองทัพหนึ่งเพื่อข่มขวัญเถิดเพคะ ทว่า คงต้องเกณฑ์กำลังพลจำนวนมากเพราะชายแดนของซีเหลียงและต้าเหลียงล้วนต้องมีกำลังจำนวนมากคอยเฝ้าระวังเพคะ”

“ถ่ายทอดคำสั่งพร้อมเคลื่อนพลไปยังภูเขาชุนมู่คงรวบรวมกำลังพลไม่ทัน คงต้องเกณฑ์กองกำลังของเมืองหลวงไป ทว่า เช่นนี้เมืองหลวงก็จะหละหลวม” องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น

“เรื่องนี้สำคัญมาก! หากองค์รัชทายาทไม่ส่งกองกำลังไปยังภูเขาชุนมู่ ไม่ทำให้ต้าเหลียงเห็นใจที่เด็ดขาดของต้าจิ้น ต้องเกิดสงครามขึ้นแน่นอนเพคะ หากเกิดสงครามขึ้น กองกำลังของเมืองหลวงก็ต้องเคลื่อนพลไปยังภูเขาชุนมู่อยู่ดี หากองค์รัชทายาทเป็นห่วงความปลอดภัยของเมืองหลวง ค่อยเรียกทหารส่วนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ที่เขตชายแดนของหรงตี๋มาที่เมืองหลวงก็ได้เพคะ บัดนี้ภายในของหรงตี๋กำลังวุ่นวาย พวกเขาไม่มีเวลามารุกรานต้าจิ้นแน่เพคะ!”

องค์รัชทายาทพยักหน้า กล่าวอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “ก็ได้!”

แววตาขุ่นมัวของฟางเหล่ามองไปทางไป๋ชิงเหยียน กำหมัดทั้งสองข้างแน่น องค์รัชทายาทเชื่อคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียนอีกแล้ว

“องค์ชาย ฝ่าบาทต้องทรงไม่เห็นด้วยที่จะนำกองกำลังของเมืองหลวงไปยังภูเขาชุนมู่แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่ายืดหลังตรง

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวในสิ่งที่ควรกล่าวไปหมดแล้ว ต้องรอดูว่าองค์รัชทายาทจะเชื่อคำกล่าวของนางหรือไม่

ฉินซ่างจื้อเห็นไป๋ชิงเหยียนนิ่งขรึมก็รู้ได้ทันทีว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ต้องการโน้มน้าวอีกแล้ว เขาลุกขึ้นยืนโค้งกายคำนับองค์รัชทายาท “องค์ชาย ในเมื่อองค์ชายทรงคาดเดาได้ว่าฮ่องเต้ไม่ต้องการให้เกิดสงครามขึ้น ทรงทราบดีว่าต้าจิ้นต้องการพักฟื้น จะทำสงครามอีกในตอนนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ควรทำตามที่เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่แนะนำพ่ะย่ะค่ะ! เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ติดตามเจิ้นกั๋วอ๋องไปออกรบ สงครามที่หนานเจียงก็พิสูจน์ให้พวกเราเห็นแล้วว่าจวิ้นจู่มีความสามารถในการวางแผนการรบและสู้รบมากเพียงใด องค์ชายควรเชื่อพระทัยในตัวจวิ้นจู่พ่ะย่ะค่ะ จวิ้นจู่ทำเพื่อองค์ชายมาโดยตลอด องค์ชายทรงรับรู้ดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฉินซ่างจื้อกล่าวเตือนออกมาเช่นนี้ องค์รัชทายาทจึงได้สติขึ้นมา เขานึกถึงเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนวางแผนเรื่องกวางศักดิ์สิทธิ์ลับหลังเขา จนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยอวดอ้างความดีเรื่องนี้แม้แต่น้อย องค์รัชทายาทรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาทันที

“หากองค์ชายทรงต้องการทำตามแผนการของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่จริงๆ ไม่สู้เข้าไปขอคำปรึกษาจากฝ่าบาทในวังก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้เสียเวลาสักเท่าใดนัก หากทำไม่ดี ฝ่าบาทจะได้ไม่ทรงโทษองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ” ฟางเหล่ากล่าว

ฟางเหล่าติดตามองค์รัชทายาทมานานหลายปี เขาคิดว่าเขารู้ใจฮ่องเต้ดีกว่าเด็กน้อยอย่างไป๋ชิงเหยียน เขาต้องทำให้องค์รัชทายาทรู้ว่าเขาคือคนที่เข้าใจฮ่องเต้มากที่สุดและเป็นคนที่สามารถช่วยให้องค์รัชทายาทได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้

ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้นจิบนิ่งๆ ไม่กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น

“เราจะเข้าวังไปขอความเห็นจากเสด็จพ่อและตัดสินใจเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดโดยเร็วที่สุด!” องค์รัชทายาทหันไปสั่งเฉวียนอวี๋ “เตรียมรถม้า!”

เข้าวังไปขอความเห็นจากฮ่องเต้ยังเรียกได้ว่าตัดสินใจเด็ดขาดอีกหรือ!

องค์รัชทายาทลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อน ทว่า เขาหมุนตัวกลับไปหาไป๋ชิงเหยียนราวกับนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ “เราได้ยินว่าขบวนขนของกลับไปยังซั่วหยางของจวิ้นจู่โดนโจรป่าปล้นไป เสียหายมากหรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนทำความเคารพพลางเอ่ยตอบ “ขอบพระคุณองค์รัชทายาทที่ทรงเป็นห่วงเพคะ ของเหล่านั้นล้วนเป็นของนอกกายเพคะ”

“ก่อนหน้านี้ทางการของซั่วหยางถวายฎีกาขอให้ราชสำนักส่งคนไปปราบปรามโจรป่า ทว่า บัดนี้มีปัญหามากมาย ราชสำนักจนปัญญาจริงๆ …”

“หม่อมฉันอยากทูลองค์รัชทายาทเรื่องนี้พอดีเพคะ หม่อมฉันตั้งใจนำเงินที่อดีตประมุขไป๋ยักยอกไปหลายปีมาใช้ในการฝึกฝนชาวบ้านเพื่อปราบปรามโจรเพคะ ถือเป็นการชดเชยความผิดที่ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ทำต่อชาวบ้านในช่วงหลายปีมานี้ และช่วยแบ่งเบาภาระของราชสำนักด้วยเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว

องค์รัชทายาทได้ยินเรื่องที่ประมุขไป๋ยักยอกเงินจากคำบอกเล่าของเฉวียนอวี๋แล้ว เขาพยักหน้า “เราจะทูลเสด็จพ่อให้ วันที่หนึ่ง เดือนห้าเราจะส่งทหารไปคุ้มกันส่งทุกคนในตระกูลไป๋เดินทางกลับไปยังซั่วหยางและจะให้ทางการของซั่วหยางให้ความร่วมมือกับจวิ้นจู่ในการฝึกฝนกองกำลังชาวบ้านเพื่อปราบโจร”

“ขอบพระคุณองค์รัชทายาทเพคะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม

หลังจากองค์รัชทายาทจากไป ฉินซ่างจื้อเดินออกมาส่งไป๋ชิงเหยียนที่หน้าจวน เขาถอนหายใจออกมา “ฟางเหล่าเข้าใจนิสัยขององค์รัชทายาทดี องค์รัชทายาททรงเกรงกลัวฮ่องเต้มาก! พอฟางเหล่ากล่าวว่าฮ่องเต้อาจโทษองค์รัชทายาท พระองค์ก็รีบเสด็จเข้าวังทันที หวังว่าฝ่าบาทจะทรงพระปรีชาชาญ…”

เสิ่นชิงจู๋จูงเชือกม้ายืนรออยู่ข้างกายของไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนมองไปยังบันไดหินสูงของจวนองค์รัชทายาทนิ่ง กล่าวกับฉินซ่างจื้ออย่างช้าๆ “ฝ่าบาทคงสั่งให้แม่ทัพจางตวนรุ่ยส่งศีรษะไปยังค่ายทหารของต้าเหลียง แต่ไม่มีทางส่งทหารคุ้มกันเมืองหลวงไปยังภูเขาชุนมู่แน่”

“เช่นนั้นก็แสดงว่าหลีกเลี่ยงสงครามไม่ได้ใช่หรือไม่ขอรับ” ฉินซ่างจื้อถามอย่างระมัดระวัง

ไป๋ชิงเหยียนส่ายหน้า “ต่อให้ส่งคนไปข่มขวัญสวินเทียนจาง เขาก็ใช่ว่าจะยอมรามือง่ายๆ นับประสาอันใดกับตอนที่เราไม่แสดงท่าทีใดๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญสวินเทียนจางคือแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าเหลียง ต้าเหลียงส่งสวินเทียนจางมาคุมทัพเองเช่นนี้ จุดประสงค์ชัดเจนอยู่แล้ว”

“หากจวิ้นจู่เผชิญหน้ากับสวินเทียนจาง จวิ้นจู่มั่นใจหรือไม่ขอรับ” ฉินซ่างจื้อถาม

“ในสนามรบ…เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สงครามยังไม่เกิดขึ้น…ผู้ใดจะกล้ามั่นใจว่าจะชนะกัน”

ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบก็เดินลงบันไดไป ก้าวขึ้นบนหลังม้า

ไป๋ชิงเหยียนกุมบังเหียนสีดำแน่น หันไปกล่าวกับฉินซ่างจื้อ “วันที่หนึ่ง เดือนห้า ข้าจะเดินทางกลับไปอยู่ซั่วหยางแล้ว ฉินเซียนเซิงรักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ”

ฉินซ่างจื้อโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาทั้งสิ้น