บทที่ 406 หลินเหราจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 406 หลินเหราจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้

บทที่ 406 หลินเหราจะเป็นหรือตายก็ไม่รู้

ไม่นานนักเสี่ยวหงก็เดินออกมา ก่อนจะเอ่ยถามหน้านิ่วคิ้วขมวด “เกิดอะไรขึ้น?! คุณหนูกำลังจะนอนกลางวัน เสียงดังเอะอะโวยวายเช่นนี้จะพักผ่อนได้อย่างไร?”

ทุกคนต่างมองมาทางเสี่ยวหงเป็นตาเดียว จากนั้นก็ย่างกรูขึ้นหน้าพร้อมกันราวกับฝูงหมาป่าที่เจอเนื้อ

“แม่นางเสี่ยวหง! เราต้องการพบนายหญิง!”

“ใช่! เงินเดือนของเดือนที่แล้วนางยังไม่จัดการเลย นายหญิงตั้งใจจะบิดพลิ้วใช่หรือไม่?”

“แม่นางเสี่ยวหง รบกวนเจ้าไปรายงานให้หน่อย ให้นายหญิงได้ทราบว่าเราไม่ได้มีเจตนาอื่น แค่อยากเรียกร้องเงินเดือนของเราเท่านั้น…”

เสียงเอะอะโวยวายดังเซ็งแซ่ราวเสียงจักจั่นขับขานยามคิมหันต์จนเสี่ยวหงก็ยากจะรับมือเช่นกัน ทำได้แค่อนุญาตให้พวกเขาแจ้งความประสงค์โดยเร็ว

กระทั่งเด็กรับใช้เฝ้าประตูและเสี่ยวหงร่วมด้วยช่วยกัน ทั้งข่มขู่คุกคาม ทั้งโน้มน้าวด้วยการพูดจารื่นหู ในที่สุดก็ขับไล่คนกลุ่มนี้ไปได้

เมื่อกลุ่มคนสลายตัว เสี่ยวหงที่ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อก็ได้กล่าวขอบคุณเด็กรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตู ก่อนจะหมุนตัวกลับไปรายงานตู้เหิงในเรือนด้านหลัง

ตอนนี้เถ้าแก่ร้านขายผ้าหอบเงินหนีไปแล้ว เหล่าลูกจ้างต่างก็สร้างความวุ่นวายเสียยกใหญ่ ไม่รู้ว่าคุณหนูจะจัดการอย่างไร?

…..

เวลานี้ตู้เหิงอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย ถึงกระนั้นก็ยังสามารถจ่ายเงินค่าจ้างให้กับทุกคน เป็นการปลอบประโลมเหล่าลูกจ้างในร้านขายผ้าได้อย่างง่ายดาย ส่วนทางโรงศาลส่งข่าวกลับมาบอกว่าเถ้าแก่ร้านขายผ้าที่ชวดเงินหลบหนีไปก่อนหน้านั้นได้หลบซ่อนตัวอย่างไร้วี่แวว ไม่รู้ว่าหนีไปอยู่ที่ใด

ร้านขายผ้าจิ่นซิ่วที่เดิมทีต้องการจัดการคลังสินค้าให้ว่างเปล่าด้วยการลดราคากระหน่ำ จนได้รับเงินจากลูกค้ามาส่วนหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเกิดความผิดพลาดนี้ขึ้น ลูกจ้างในร้านขายผ้าก็ไม่มีจิตใจจะเปิดร้านต่อ

เมื่อร้านขายผ้าจิ่นซิ่วปิดกิจการลง พวกลูกจ้างจึงจำต้องแยกย้าย รอเพียงผู้เป็นนายหาเถ้าแก่ร้านที่เหมาะสมมาบริหาร แล้วค่อยทำการเปิดร้านใหม่อีกครั้ง

หากเป็นในยามปกติ เมื่อเหยาซูได้ยินเรื่องขบขันที่ตู้เหิงต้องเสียฮูหยินซ้ำเสียขุนศึก(1) เกรงว่านางต้องดีใจจนต้องเพิ่มข้าวอีกชามแน่

แต่ข่าวที่จวนเซี่ยส่งมากลับทำให้นางไม่มีอารมณ์จะไปสนใจเรื่องอื่น

เหยาซูไม่อยากสร้างความตกใจให้แก่ผู้อื่น กระทั่งเหยาเฉาเสร็จสิ้นภารกิจกลับบ้าน จึงค่อยลากเขามาอีกด้าน

เหยาเฉายังไม่ทันมีเวลาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกเหยาซูลากตัวไปยังจวนด้านหลังเสียแล้ว จึงเอ่ยถามน้องสาวว่า “น้องรัก ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้ คิดจะพูดสิ่งใด? แล้วนี่จะไม่ให้พี่รองของเจ้ากินข้าวสักคำก่อนหรือ?”

หญิงสาวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่มีท่าทางจะอยากหยอกล้อกับเหยาเฉาแต่อย่างใด แค่พูดด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่รอง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาพี่”

ครั้นเหยาเฉาเห็นสีหน้าจริงจังของผู้เป็นน้องสาว จึงต้องจริงจังตามอย่างเสียไม่ได้ จากนั้นก็เอ่ยถามนางด้วยสีหน้าขึงขัง “เกิดอะไรขึ้น?”

ใบหน้าอันงดงามของเหยาซูได้ถูกเงาดำปกคลุมไปแล้วครึ่งหนึ่ง แม้แต่ดวงตาดอกท้อที่มักจะสุกสกาวในวันปกติคู่นั้นก็ยังเจือไปด้วยแววเคร่งขรึมบาง ๆ

นางนำจดหมายฉบับหนึ่งในมือยื่นไปให้กับเหยาเฉา แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “พี่รองดูเองเถอะ”

เหยาเฉารับกระดาษที่ทับซ้อนกันพอดิบพอดีทั้งสี่ด้านนั้นมา ทันทีที่เปิดดู ก็เห็นว่าบนกระดาษขาวโพลนดุจหิมะมีรอยประทับบางอย่าง และมีตัวอักษรสีดำเด่นเป็นสง่าอยู่บนกระดาษ

เขายังไม่ทันจะได้ชื่นชมกับความงดงามของตัวอักษรแต่อย่างใด รีบกวาดสายตามองเนื้อหาของข้อความหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว และแล้วสีหน้าก็แปรเปลี่ยนฉับพลัน “อาซู ซีเป่ยเกิดเรื่องหรือ? ใครส่งสิ่งนี้มาให้เจ้า?”

ฟันขาวของเหยาซูขบริมฝีปากล่างแน่น ทำให้ริมฝีปากไร้สีเลือดฝาด อีกทั้งยังเป็นรอยฟันชัดยิ่งขึ้น สุดท้ายก็ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกกระชากออกไปอย่างฉับพลัน แล้วพูดเสียงผะแผ่ว “นี่คือจดหมายที่ท่านน้าของอาเหราสั่งให้คนนำมาส่ง”

มันเป็นกระดาษบาง ๆ แผ่นหนึ่งที่ไม่มีตัวอักษรมากนัก แม้จะเหมารวมเป็นจดหมายก็ยังไม่ได้

แต่ระหว่างข้อความเพียงสั้น ๆ กลับซ่อนข้อความที่ยิ่งใหญ่ไว้

ค่ายทหารกองหน้าของซีเป่ยถูกปิดล้อม หลินเหราที่อยู่กองหน้าติดอยู่แนวหลังของข้าศึก ในสถานที่ไม่แน่นอน

ในใจของเหยาเฉาเกิดความปั่นป่วนดั่งคลื่นน้ำซัดสาด แต่ปัญหาคือบัดนี้เขาอยู่ตรงหน้าของเหยาซู จึงทำได้แค่ต้องคำนึงถึงความรู้สึกของน้องสาวก่อน

สีหน้าของชายหนุ่มนิ่งสงบ มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาแตะบ่าของเหยาซู แล้วมองเข้าไปในดวงตาของนางอย่างจริงจัง “อาซู เจ้าต้องเชื่อในความสามารถของอาเหรา สนามรบใดบ้างเล่าที่เขาไม่เคยเจอ? ถึงอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดีแน่นอน”

เหยาซูข่มความกลัวไว้ในใจมาตลอด กระทั่งได้ยินเหยาเฉาปลอบโยนนางเช่นนี้ ความคิดที่ไม่อาจต่อต้านได้เหล่านั้นก็ยิ่งทำให้หญิงสาวหวาดกลัวมากขึ้น

เหยาซูปรายตามอง นัยน์ตาคู่งามไม่มีแม้แต่หยาดน้ำตา แต่กลับแดงก่ำเล็กน้อย “พี่รอง ข้าอยากไปหาเขาที่ซีเป่ย”

หัวคิ้วของเหยาเฉาขมวดเข้ากันทันที ก่อนจะกลั้วหัวเราะเบา ๆ “เหลวไหล! เจ้าจะไปซีเป่ยด้วยเหตุใด? อาเหรากำลังทำศึกสงคราม เจ้าไปมีแต่จะทำให้เรื่องวุ่นวาย! อีกอย่างตอนนี้สงครามทางนั้นก็กำลังดุเดือด เจ้าเป็นเพียงหญิงสาวผู้อ่อนแอกลับไปเยือนที่แห่งนั้นคนเดียว แล้วที่บ้านจะวางใจได้อย่างไร? เชื่อพี่รองเถิด เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวอาเหรา”

เหยาซูกัดฟันแน่น กระทั่งสัมผัสได้ถึงรสชาติที่ไม่รู้ว่าเปรี้ยวหรือขมอยู่ในช่องปาก แม้แต่แขนก็ไม่สามารถควบคุมให้หยุดสั่นได้ “พี่รอง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อเขา … แต่สงครามย่อมมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าช่วงเวลาต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าอยากไปเห็น….หรือต่อให้ไม่เห็น ก็ขอให้ได้อยู่ใกล้เขา ให้ใกล้กันกว่านี้ หัวใจของข้าจะได้ไม่อ้างว้างเช่นนี้”

เหยาเฉายังยืนกรานไม่เห็นด้วย “ไม่ได้! เราจะไม่คุยกันเรื่องนี้อีก…”

เหยาซูยังไม่ทันพูดสิ่งใด กลับถูกเหยาเฉาตัดบทไปเสียก่อน ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อ “จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ลายมือของใต้เท้าเซี่ย รู้หรือไม่ว่ามันถูกส่งมาจากที่ใด?”

เหยาซูส่ายหน้า “สถานการณ์ฝั่งชายแดน เดิมทีไม่ควรรายงานตรงต่อท่านน้า จดหมายฉบับนี้จะต้องถูกส่งมาอย่างเงียบ ๆ เป็นแน่”

เหยาเฉาส่งเสียงขานรับหนึ่งเสียง คิ้วรูปดาบขมวดกันเป็นปม จากนั้นก็พูดเสียงต่ำกับเหยาซูว่า “สถานการณ์ทางชายแดนเราไม่ควรรู้อยู่แล้ว เรื่องของอาเหราประเดี๋ยวข้าจะไปสอบถาม สองสามวันนี้เจ้าก็ควรอยู่แต่ในบ้านห้ามออกไปไหน ตอนนี้ข่าวคราวยังไม่แน่นอน เราจะเดินทางสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”

เหยาซูนึกถึงตัวอักษรที่เด่นชัดอยู่ในกลุ่มตัวอักษรเหล่านั้น หัวใจของนางเจ็บปวดราวกับถูกฝ่ามือใหญ่บีบแน่นไปทั่วดวงก็มิปาน แม้แต่ลมหายใจก็ยังเปลี่ยนไปจนไม่อาจหายใจได้ทั่วท้อง

หยาดน้ำตาที่ดูเหมือนกับไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกาย กลายเป็นน้ำตาที่เฉยชา ได้หลั่งรินลงมาอย่างไม่เกรงใจ

เหยาซูมองไปทางเหยาเฉา ความอ้างว้างในสายตาคู่นั้นกลับไม่รู้ปล่อยวางไว้ที่ใด ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงคาดหวังเหมือนกำลังรอการยืนยันจากเขาก็มิปาน “พี่รอง ทหารที่อาเหราพาไปต่างถูกล้อมไว้หมดแล้ว… คิดว่าค่ายศัตรูจะให้โอกาสรอดแก่เขาเช่นนั้นหรือ?”

เหยาเฉาปวดใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่มีทางไหนที่จะปลอบใจนางไปได้มากกว่านี้ จึงแค่พูดกับนางอย่างเด็ดขาดว่า “อาซู เจ้าวางใจเถิด อาเหราจะต้องไม่เป็นอะไร ข้าจะไปสอบถามสถานการณ์จากจวนเซี่ย เจ้าพาอาซือและคนอื่นกลับบ้าน อย่าคิดเรื่องที่จะไปซีเป่ยอีกเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่?”

ครั้นเห็นสีหน้าของผู้เป็นน้องสาวยังคงกลัดกลุ้มใจ ชายหนุ่มจึงได้กำชับอีกครั้ง “อาซู เจ้าต้องรู้ไว้ว่าเจ้ายังมีเด็ก ๆ ถ้าพวกเขารู้ว่าผู้เป็นบิดาไม่รู้อยู่แห่งหนใด จะไม่ยิ่งเป็นกังวลและหวาดกลัวมากกว่าเจ้าหรือ?”

ในที่สุดคำพูดของเหยาเฉาก็เกิดอิทธิพลกับเหยาซูบ้าง ทำให้นางไม่ถึงขนาดหมดเรี่ยวแรงในการยืนดังก่อนหน้า

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ไม่สนใจหยาดน้ำตาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งหันไปมองเหยาเฉา แล้วพูดเสียงแหบแห้งว่า “ข้าทราบแล้ว เรื่องเด็ก ๆ ข้าจะปิดบังไว้เอง”

เหยาเฉาลูบศีรษะของผู้เป็นน้องสาว แล้วพูดเสียงต่ำว่า “อาซู อย่ากลัวไปเลย ข้าจะไปถามให้ ทันทีที่มีข่าวคราวจะรีบกลับมาบอกเจ้า”

เหยาซูพยักหน้า หลังจากยืนส่งเหยาเฉากลับไปพร้อมกับอาทิตย์อัสดง ในใจกลับก่อเกิดความกลุ้มใจและความเสียใจที่ไม่อาจควบคุมได้ขึ้นมาระลอกหนึ่ง

ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาจริง ๆ

นางจะทำอย่างไร?

ยามที่อยู่ด้วยกันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เหยาซูลืมหลินเหราผู้เป็นพระเอกในนิยายฉบับเดิมไปโดยสิ้นเชิง ไม่อยากจะเชื่อว่าในหนังสือนิยายจะมอบความสามารถในการแปลงเหตุร้ายให้กลายเป็นดีเหล่านั้นให้เขา

สำหรับนางแล้ว หลินเหรามีร่างกายที่มีเลือดเนื้อทั่วไป ยามเขาถูกมีดฟันก็บาดเจ็บ เจ็บปวด และตายได้เหมือนกัน

เขาเป็นคนที่มีชีวิต สนามรบไม่ใช่ตัวอักษรตะกั่วเย็น ๆ ที่ถูกพิมพ์อยู่บนหน้าหนังสือเหล่านั้นอีกแล้ว มันมีแต่ความโหดเหี้ยม ดุเดือด และสิ้นหวัง

หลินเหราจะนำทหารที่อยู่ใต้บัญชาเข้าไปประชิดหลังข้าศึกได้อย่างไร ทั้งยังถูกล้อมปิดตายไว้เช่นนั้น? เขาจะสู้จนตัวตาย หรือแม้กระทั่งฝ่าวงล้อมออกมาพร้อมกับสหายข้างกายได้อย่างไร?

พวกเขาต้องสละเลือดเนื้อตั้งเท่าใด ต้องมีคนสู้จนชีวิตหาไม่เท่าไร และต้องมีคนนองเลือดอีกสักเท่าไร หรือจนสิ้นลมหายใจ?

เหยาซูยืนอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง มือขยำกระดาษซวนจือที่เต็มไปด้วยตัวอักษรจนแน่น

ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง นางมองไปยังทิศทางของซีเป่ย กระทั่งสัมผัสได้ถึงแสงแดดที่สาดส่องลงมา แต่กลับรู้สึกเย็นเยียบเข้ากระดูกไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า

…………………………………………………………………………………………………

赔了夫人又折兵 เป็นสำนวน แปลว่าการเสียซ้ำเสียซ้อนในครั้งเดียว มีที่มาจากเรื่องสามก๊ก ตอนจิวยี่ทำอุบายหมั้นน้องสาวของซุนกวนให้กับเล่าปี่แล้วให้เล่าปี่เดินทางมาเมืองกังตั๋งเพื่อจะจับเป็นตัวประกันไว้แลกกับเมืองเกงจิ๋ว แต่ถูกขงเบ้งวางแผนตลบหลังด้วยการให้เล่าปี่แต่งงานกับน้องสาวของซุนกวนจริงๆ และพาทั้งคู่หนีไปเมืองเกงจิ๋ว อุบายของจิวยี่จึงล้มเหลว ซ้ำยังถูกทหารฝ่ายเล่าปี่เยาะเย้ยจนไม่เหลือชิ้นดี

สารจากผู้แปล

ขอให้พี่เหรากลับมาปลอดภัยนะคะ อาซูใจไม่ดีแล้ว

ไหหม่า(海馬)