ตอนที่ 418

My Disciples Are All Villains

ยี่เทียนซินได้เดินทางต่อไปยังทางทิศใต้ นางได้เดินทางต่อไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ยี่เทียนซินได้สำรวจที่ราบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนับไม่ถ้วนก่อนที่นางจะเห็นสัญญาณการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เป็นครั้งแรก นางได้หยุดเฝ้ามองวิวทิวทัศน์อยู่ที่กลางอากาศ ผมของยี่เทียนซินที่เคยเป็นสีดำบัดนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นสีขาวก็เพราะหิมะ นางได้แต่งกายด้วยชุดสีขาวทั้งตัว ถ้าหากไม่ได้มีสายตาที่เฉียบคมมากพอการที่จะสังเกตเห็นนางได้คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โลกสีดำกำลังอยู่ที่ด้านหน้าของนางในขณะที่โลกสีขาวได้รออยู่ที่ด้านหน้าของนาง ในโลกที่ไร้หิมะไม่ใช่โลกที่อบอุ่นเสมอไป และในโลกที่เต็มไปด้วยหิมะก็ไม่ใช่โลกที่เหน็บหนาวเสมอไปเช่นกัน หลังจากที่ชมวิวทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะมาระยะเวลาหนึ่งในที่สุดยี่เทียนซินก็ได้เดินทางต่อ นางได้โคจรพลังลมปราณของตัวเองก่อนที่จะเร่งความเร็วไปยังดินแดนที่เป็นมนุษย์

ในตอนนี้ทฤษฎีการแยกดอกบัวทองคำออกจากร่างอวตารเพื่อที่จะฝึกฝนไปถึงขั้นที่เก้าได้กระจ่างไปทั่วทั้งดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่แล้ว นอกจากนี้มันยังแพร่กระจายไปยังชนเผ่าอื่นๆ ในหรงซี่และหรงเป่ยอีกด้วย เมื่อทุกชนเผ่าได้ยินข่าวเช่นนั้นพวกเขาก็เริ่มรวบรวมผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อที่จะทดลองการฝึกฝน

ที่พักพิงแห่งหนึ่งในดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ มันเป็นที่พักพิงเหล่าผู้ฝึกยุทธหลายคนจะมาพูดคุยกันหลังจากจิบสุรา เรื่องราวต่างๆ นานามักจะถูกพูดคุยในสถานที่แห่งนี้

“สหาย เจ้ากำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับการแยกดอกบัวทองคำเพื่อที่จะฝึกฝนตัวเองให้ไปถึงขั้นที่เก้าอยู่สินะ? พวกเจ้ากำลังคิดว่ามันจะมีวิธีแยกดอกบัวทองคำจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? นั่นมันจะใช้วิธีไหนได้?” ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งได้ถามกับชายผู้ที่แต่งตัวประหลาด

“มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไงกันนอกซะจากจะต้องมิวิธีการแยกดอกบัวทองคำทางอ้อมอยู่ จะเป็นยังไงถ้าร่างอวตารไม่มีดอกบัว? ถ้าหากวิธีนี้มีอยู่จริงมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะฝึกตัวเองไปถึงขั้นที่เก้าได้” ชายในชุดประหลาดถามออกมา

“เจ้าเองพูดมีเหตุผล…แต่ยังไงก็ตามปัญหาที่สำคัญกว่านั้นก็คือการเอาชีวิตรอด หลังจากที่แยกดอกบัวทองคำออกมาได้คนคนนั้นจะมีชีวิตรอดจริงๆ อย่างงั้นหรอ?”

“จะต้องมีทางแก้แน่…มีคนมากมายต้องตายไปจากการตัดดอกบัวทองคำ พวกเขาล้วนแต่ไม่คิดไตร่ตรองให้รอบคอบ ถ้าหากเป็นเจ้า เจ้าจะลองดูไหมล่ะ?”

“ท่านพูดมีเหตุผลอีกแล้ว” ในตอนนั้นเองชายผู้ที่อยู่ในที่พักพิงก็ได้คารวะชายผู้แต่งตัวประหลาด “ท่านช่างมีความรู้กว้างขวางจริงๆ สหาย ข้าอยากที่จะทราบชื่อของท่านจะได้ไหม”

“ชื่อของข้ามันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ข้าแซ่รี…”

“สหายแซ่รี คำพูดของท่านยังมีความหมายจริงๆ”

“…” หมิงซี่หยินส่ายหัว ตัวเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากยอมรับคำชม “เจ้าได้พูดเอาไว้นิว่าสิบสุดยอดสำนักกำลังก่อตั้งพันธมิตรก็เพื่อที่จะกำจัดสำนักฝ่ายอธรรมน่ะ นั่นเป็นความจริงอย่างงั้นสินะ?”

“ถ้าหากจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอก ตอนนี้มีเพียงสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดเท่านั้น สำนักเที่ยงธรรม, สำนักแห่งความบริสุทธิ์ และสำนักดาบสวรรค์ต่างก็ถูกกวาดล้างไปนานแล้ว” ใครบางคนตอบกลับมา

หมิงซี่หยินได้พูดต่ออย่างไม่เห็นด้วย “เจ็ดสำนักใหญ่กำลังมองหาความตายด้วยการท้าทายศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่สินะ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของหมิงซี่หยิน ทุกๆ คนที่อยู่ในที่พักพิงก็ได้หันมามอง พวกเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหมิงซี่หยินสักเท่าไหร่

“สหายแซ่รี ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ได้มีท่าทีที่จะอ่อนแอลงเลย และในตอนนี้สำนักใหญ่ทั้งเจ็ดก็ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับที่เคยเป็นมา”

“อย่างงั้นนี่เอง” หมิงซี่หยินทำตัวราวกับยินดีที่จะรับฟังทุกอย่าง

“ลองคิดดูสิ…สิบสุดยอดสำนักต่างก็พยายามที่จะเอาชนะศาลาปีศาจลอยฟ้าอยู่บ่อยครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ได้พ่ายแพ้ไป ในตอนนี้ข้าคิดว่าพวกนั้นคงจะระวังตัวมากขึ้นอย่างแน่นอน ข้าแน่ใจเลยว่าเจ้าพวกนั้นคงจะต้องเตรียมการให้ดีกว่านี้”

หมิงซี่หยินพยักหน้าเออออ “เจ้าพูดมีเหตุผล”

“ส่วนสำนักย่อยอย่างสำนักต้วนหลินเองก็เลือกที่จะเชิญปรมาจารย์ของพวกเขากลับมาจากการเก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษ”

“ปรมาจารย์อย่างงั้นเหรอ?”

“ดาบปีศาจ ยู่ฉางตงได้สังหารผู้นำสำนักอย่างฉางเจียนไป เป็นเพราะผู้นำได้ตายไปปรมาจารย์แห่งสำนักต้วนหลินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง…ปรมาจารย์คนนั้นคงจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบไปอย่างง่ายๆ แน่ ผู้ที่ยู่ฉางตงได้สังหารไปก็คือทายาทหนุ่มของปรมาจารย์แห่งต้วนหลินน่ะ”

หมิงซี่หยินที่ได้ฟังเรื่องนี้ได้หัวเราะออกมา “เจ้านั่นน่ะก้าวเท้าข้างหนึ่งไปในโลงศพแล้วล่ะ ลำพังเพียงแค่ตัวคนเดียวจะต่อต้านศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงกัน? ข้าจำได้ดีว่าพลังวรยุทธของฉางยานเองก็ถดถอยไปมากแล้วนิ?”

ชายที่นั่งตรงกันข้ามกับหมิงซี่หยินแอบมองไปทางซ้ายและขวาก่อนที่จะพูดออกมา “เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน เจ้ารู้รึเปล่าล่ะว่าทำไมถึงไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้กับสำนักต้วนหลิน? แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีม่านพลังอะไรก็ตาม”

“ไม่ใช่เพราะคูน้ำสวรรค์ที่จะขวางกั้นพวกเขาออกจากโลกภายนอกอย่างงั้นเหรอ?”

“คูน้ำนั่นจะไปทำอะไรกันได้? ที่เป็นแบบนี้เป็นเพราะ…” ชายคนนั้นลดเสียงลงจนเบาราวกับเสียงกระซิบ “เป็นเพราะสำนักต้วนหลินน่ะครอบครองยาเพิ่มพลังปีศาจจำนวนมากไงล่ะ!”

“…” หมิงซี่หยินที่ได้ฟังแบบนั้นเบิกตากว้าง ตัวเขาได้มองไปที่ชายคนเดิมก่อนที่จะพูดออกมา “แม้ว่าสำนักต้วนหลินจะไม่ใช่สำนักใหญ่เหมือนกับสิบสุดยอดสำนักก็ตาม แต่สำนักต้วนหลินก็ยังเป็นสำนักที่ยึดถือคุณธรรมอยู่ แล้วพวกเขาจะไปมียาเพิ่มพลังปีศาจจำนวนมากได้ยังไงกัน? นี่มันเรื่องตลกดีแท้!”

“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนั้นหรอก เรื่องที่ข้าบอกไปก็เป็นเรื่องที่ได้ยินข่าวมาก็เท่านั้น” ชายคนนั้นที่พูดเสร็จก็ได้หัวเราะออกมาเบาๆ

“แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับพันธมิตรกำจัดปีศาจอีกรึเปล่า?” หมิงซี่หยินได้ถามออกมา

“สำนักย่อยอื่นๆ ไม่ได้ควรค่าพอที่จะให้พูดถึง ตอนนี้สำนักใหญ่ทั้งหมดกำลังยุ่งอยู่กับการศึกษาวิธีการแยกดอกบัวทองคำ”

เมื่อมาถึงตอนนี้หมิงซี่หยินก็ได้ลุกขึ้นยืน “ขอบคุณสำหรับข้อมูล”

ชายคนนั้นยิ้มแย้มก่อนที่จะพูดกลับมา “สหายแซ่รี…ข้าคิดว่าท่านไม่ใช่คนใจร้ายหรอกนะ…ทำไมไม่เลี้ยงเครื่องดื่มพวกเราเป็นการตอบแทนสักมื้อล่ะ?”

ทุกๆ คนจับจ้องไปที่หมิงซี่หยินอย่างมีความหวัง ในหลายวันที่ผ่านมาทุกๆ คนได้แบ่งปันข้อมูลมากมายไปกับชายแซ่รี ข้อมูลที่ชายแซ่รีได้เล่าออกมาเป็นข้อมูลเกี่ยวกับจอมวายร้ายทั้งเก้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือพลังของศิษย์คนที่สี่ของปรมาจารย์มหาวายร้ายอย่างหมิงซี่หยิน ทุกๆ คนมีท่าทีสนใจสิ่งที่ตัวเขาพูดในตอนแรก แต่ท้ายที่สุดแล้วทุกคนก็เริ่มเบื่อหน่าย ยังไงซะข้อมูลทั้งหมดที่ชายแซ่รีได้รับไปมันก็มากกว่าสิ่งที่ตัวเขาได้พูดออกมา เพราะแบบนั้นการที่จะจากไปเลยโดยที่ไม่ให้อะไรตอบแทนคงจะเป็นเรื่องเสียเปล่าสำหรับทุกคน

หมิงซี่หยินเหลือบมองทุกคนก่อนที่จะพูดออกมา “พวกเจ้ากำลังพูดอะไรกัน? ข้าน่ะเป็นคนใจกว้าง ข้ายังไม่ขอให้พวกเจ้าเลี้ยงเครื่องดื่มข้าเลยสักครั้ง แต่เจ้าต้องการที่จะให้ข้าเลี้ยงพวกเจ้าทุกคน พวกเจ้ากล้าดียังไงที่ทำแบบนั้นกับข้า?” ชายแซ่รีที่พูดจบได้จากไปในทันทีโดยที่ไม่รอเสียงตอบรับ

คนอื่นๆ ที่เห็นแบบนั้นต่างก็ตกตะลึง

พระราชวังเขียวชอุ่ม ณ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

หลิวกู่ในตอนนี้กำลังถือพู่กันหมึกขีดเขียนอยู่กระดาษตามปกติ มันเป็นจังหวะการขีดเขียนที่ทั้งรวดเร็วและมีพลัง หลิวกู่ได้เขียนคำว่า ‘รวมชนเผ่าทั้งหมื่นให้เป็นหนึ่งเดียว’

ในตอนนั้นเองผู้ส่งสารก็ได้เข้ามา ตัวเขาได้คุกเข่าลงกับพื้นก่อนที่จะพูดขึ้น “ฝ่าบาท ผลการทดลองของผู้ฝึกยุทธที่พยายามจะตัดดอกบัวทองคำออกจากพลังอวตารได้ออกมาแล้ว”

“ผลเป็นยังไง?”

“ผู้ฝึกยุทธสิบคนที่ได้ตัดดอกบัวทองคำไป เป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบหนึ่งคน, สองกลีบห้าคน, และหนึ่งกลีบอีกสี่คน ผู้ที่ได้ตัดดอกบัวทองคำไปมีเก้าในสิบล้วนเสียชีวิต มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้” เสียงของผู้ส่งสารคนนั้นแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นนิดหน่อย

หลิวกู่ยังคงกวัดแกว่งพู่กันของตัวเองก่อนที่จะสั่งการออกมา “พูดเข้าเรื่องซะ”

“มีผู้ฝึกยุทธเข้าร่วมทั้งหมดสิบคน…”

“แล้ว?”

“มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รอดมาได้” ผู้ส่งสารรายงาน

ตาของหลิวกู่กระตุกอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หลิวกู่ได้ทำการทดลองเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ ความเป็นไปได้ที่ว่าก็คือการที่ผู้ฝึกยุทธแยกดอกบัวทองคำออกมาแล้วจะอยู่รอดได้หรือไม่? มันเป็นผลการทดลองจากการทดลองหลายปีที่ผ่านมา หลิวกู่ที่เก็บตัวทดลองอย่างหนักได้รู้แล้วว่าดอกบัวทองคำเป็นสิ่งที่ดูดซับทั้งพลังและอายุขัยไป ถ้าหากผู้ฝึกยุทธสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลังจากที่แยกดอกบัวทองคำออก ปัญหาที่มีก็เท่ากับว่าได้รับการแก้ไขแล้ว

หลิวกู่เป็นจักรพรรดิของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ อำนาจในการถือครองดินแดนแห่งนี้ได้อยู่ในมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลิวกู่ก็แทบที่จะสงบใจไม่ไหวอีกต่อไป ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาหลิวกู่ได้ใช้เวลาและมันสมองทั้งหมดในการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบ ตัวเขาได้ทดลองด้วยชีวิตคนและวิธีการแปลกใหม่ที่หลากหลาย แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จ หลิวกู่ที่ล้มเหลวนานวันจึงเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตอนนี้งานค้นคว้าของเขาตลอดชีวิตกำลังจะออกผล และเพราะแบบนั้นเองจึงทำให้หลิวกู่รู้สึกตื่นเต้นในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ยินดีด้วยฝ่าบาท!” ผู้ส่งสารพูดแสดงความยินดีก่อนที่จะพูดต่อ

“ผู้รอดชีวิตมีร่างกายที่แข็งแรงดี พรสวรรค์ในการฝึกยุทธของตัวเขาดีกว่าคนอื่นๆ ที่เหลือ นั่นเป็นเหตุผลที่ตัวเขารอดมาได้…ตอนนี้กระหม่อมได้ส่งหมอหลวงไปดูแลเขาแล้ว”

“ดีมาก” หลิวกู่ได้ให้คำชมเชย

ผู้ส่งสารที่ได้ฟังแบบนั้นดีใจมาก

หลิวกู่พูดต่อ “ทำให้เจ้านั่นมีชีวิตต่อให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”

“น้อมรับพระบัญชา”

“แล้วอย่าลืมชดเชยรางวัลให้กับครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตตามที่ตกลงด้วย”

“น้อมรับพระบัญชา”

เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้เก็บการทดลองเหล่านี้ไว้เป็นความลับเสมอ เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครเคยได้ล่วงรู้เรื่องนี้ ครั้งนี้เองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

ผู้ส่งสารได้ออกจากห้องหลิวกู่ไปอย่างระมัดระวัง ตัวเขาได้มองซ้ายมองขวาก่อนที่จะมุ่งหน้าไปอีกทางหนึ่ง

ภายในห้องตำรา หลิวกู่รู้สึกมีพลังกว่าที่เคยเป็นมา “ถ้าหากมีคนสามารถอยู่รอดได้หลังจากที่ตัดดอกบัวทองคำออกไป แล้วจะเป็นยังไงถ้าจะเริ่มผลิกลีบดอกบัวขึ้นมาล่ะ?”

หลิวกู่จะต้องทำการทดลองเพิ่มเติมต่อไป ตอนนี้เรื่องการแยกดอกบัวทองคำออกมาจากพลังอวตารโดยที่ผู้ใช้ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ได้รับการยืนยันแล้ว หลิวกู่สามารถที่จะหาวิธีช่วยเหลือที่จะเพิ่มโอกาสการเอาชีวิตรอดของผู้ที่ทำการทดลองได้ ตัวเขามีทั้งยาวิเศษหรือศาสตร์อันลี้ลับอยู่ ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาจะต้องผลิกลีบดอกบัวของพลังอวตารได้อีกครั้งแน่

หลิวกู่เหลือบมองไปยังคำที่ตัวเขาเขียน ‘รวมชนเผ่าทั้งหมื่นให้เป็นหนึ่ง’ หลิวกุ่ยที่ในตอนนี้มีความกล้าหาญและความร้อนแรงที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว “ถ้าหากข้าฝึกฝนตัวเองไปถึงขั้นที่เก้าได้เมื่อไหร่ ไม่ว่าจะสิบสุดยอดสำนักหรืออะไรก็แล้วแต่ก็จะไม่มีอะไรหยุดข้าได้”

ณ ศาลาตะวันออกของศาลาปีศาจลอยฟ้า

ลู่โจวได้ลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ หลังจากที่นั่งทำสมาธิเพื่อทำความเข้าใจเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ พลังวิเศษที่ตัวเขาได้รับมาได้รับการฟื้นฟูจนเต็มเปี่ยมอีกครั้ง

ในตอนนั้นเองเสียงของจ้าวยู่ก็ได้ดังออกมา “ท่านอาจารย์ มีคนคอยอยู่ที่เชิงเขา ชายคนนั้นมาที่นี่ก็เพื่อที่จะส่งของให้กับท่าน”

“ของที่ว่ามันคืออะไรกัน”

“ชิ้นส่วนคัมภีร์อะไรบางอย่าง…ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็นคัมภีร์…และก็ยังมีของหวาน”

ของหวาน? ความอยากรู้อยากเห็นในตัวของลู่โจวเพิ่มสูงขึ้น ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีศิษย์สาวกคนไหนเลยที่จะทำของหวานอร่อยๆ ให้กับลู่โจว แต่ในตอนที่ตัวเขารับสาวกจากวังจันทรามา ในตอนนั้นสถานการณ์ทุกอย่างก็เริ่มจะดีขึ้น

“เอามันมาให้ข้า”

“ค่ะ ท่านอาจารย์” จ้าวยู่เปิดประตูออกมาอย่างระมัดระวัง นางเห็นอาจารย์ของตัวเองกำลังเหม่อมองไปที่นอกหน้าต่าง จ้าวยู่ที่เห็นแบบนั้นก็ได้วางเอกสารเก่าๆ พร้อมกับของหวานเอาไว้บนโต๊ะ

ลู่โจวหันกลับมามองของที่ได้รับมา เมื่อตัวเขามองเห็นเอกสารที่ว่า สีหน้าของลู่โจวก็เปลี่ยนไปเป็นตกใจเล็กน้อย มันคือชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์นั่นเอง

“ติ้ง !ได้รับชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ (ส่วนหลัง) คุณจะรวบรวมเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์เลยไหม?”