บทที่ 332 เลิกเข้าใจผิด (1)
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยต่อ “ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้มากนัก ข่าวที่ออกไปคือจิ้งไท่เฟยเป็นผู้ขออาสาออกนอกวังเอง ข้าเองก็มารู้เรื่องอีกทีจากฝ่าบาทว่าเป็นจวงไทเฮาที่ใช้อำนาจกดดันให้จิ้งไท่เฟยออกจากวัง”
เมื่อเซียวลิ่วหลังได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถาม “ฝ่าบาทคงคิดว่าความรักที่ไทเฮามีต่อพระองค์และจิ้งไท่เฟยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็นแผนการที่วางไว้อย่างดี และไทเฮาต้องการเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น”
“นั่นน่ะสิ ฝ่าบาททรงมีดำริเช่นนี้ ที่จริงก็ไม่ใช่แค่ฝ่าบาทผู้เดียวหรอก คนอื่นๆ เองก็มองเช่นนี้เหมือนกัน แม้แต่วงศานุวงษ์ฝั่งไทเฮาเองยังคิดเลยว่าจวงไทเฮาเล่นละครตบตามาตลอด” จี้จิ่วเอ่ย
ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่จิ้งไท่เฟยและฝ่าบาท หารู้ไม่ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังความเย็นชาของจวงไทเฮาแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร
ไม่มีใครรู้ว่าที่จวงไทเฮาทรยศเพื่อนรักของตัวเองนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร
ทุกเรื่องย่อมมีเหตุผลของมัน
ความแข็งกร้าวของนางบ่มเพาะความกลัวและความเกลียดชังให้แก่ผู้คน ใครๆ ต่อมิใครก็อยากจะดึงนางลงจากตำแหน่ง ไม่มีใครคิดอยากจะเป็นห่วงเป็นใยนางแม้แต่นิด
เรื่องร้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทุกคนพุ่งเป้าไปที่จวงไทเฮาทั้งสิ้น ใครใช้ให้นางกุมอำนาจไม่ปล่อยกันล่ะ!
แล้วก็ถึงยามอาทิตย์อัสดง
ยามเย็น แสงของดวงอาทิตย์ตกลงบนใบบัวของซุ้มโค้งที่ตำหนักเหรินโซ่ว ทำให้เกิดแสงสีทองพราวเป็นชั้นๆ
หลังจากสะสางงานมาทั้งวัน จวงไทเฮาเริ่มอ่อนแรง
ชีวิตในวังไม่สุขสบายอย่างที่คนนอกคิด มีแต่กองบัญชี เรื่องการเมืองไม่จบสิ้น ความขัดแย้งไม่รู้จบ…ทุกสิ่งล้วนทำลายน้ำพระทัยของผู้คนอย่างไร้ความปรานี
“ไทเฮาขอรับ” ฉินกงกงค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับถ้วยชาดอกไม้ “พักก่อนเถิดพะยะค่ะ จิบชาร้อนๆ ก่อน งานเหล่านี้พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“พรุ่งนี้ก็งานของพรุ่งนี้อีก” จวงไทเฮาค่อยๆ รวบรวมสติ ก่อนจะหยิบบัญชีอีกชุดขึ้นมา “ข้าไม่หิวแล้วล่ะ”
ฉินกงกงทอดถอนใจ “ต่อให้ไม่หิว อย่างน้อยก็ควรทรงเสวยบ้างเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์เป็นเช่นนี้ แม่นางกู้จะเป็นห่วงเอานะพ่ะย่ะค่ะ”
พอเอ่ยถึงกู้เจียว จวงไทเฮาก็เริ่มชักสีหน้าใส่ฉินกงกง “วันหลังมีเรื่องอะไรไม่ต้องไปหานางอีกนะ! อย่าคิดนะว่าข้าไม่กล้าเด็ดหัวเจ้าน่ะ ลืมไปแล้วหรือว่าขันทีคนก่อนๆ ตายอย่างไร!”
ฉินกงกงตอบในใจ พวกเขาก็ถูกท่านเด็ดหัวมิใช่รึ…
ฉินกงกงเอามือลูบคอตัวเองเบาๆ ก่อนแสดงท่าทีหวาดกลัว “พ่ะย่ะค่ะ ข้ามิบังอาจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ไทเฮาเพคะ ไทเฮาเพคะ!!”
นางกำนัลตัวน้อยนามเฟ่ยชุ่ยรีบวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น
จวงไทเฮารู้สึกรำคาญและถูกรบกวนอย่างมาก ใครก็ตามที่เสนอหน้ามารบกวนเวลานี้ไม่มีทางที่จวงไทเฮาจะไว้ชีวิต
เพราะจวงไทเฮาไม่ใช่คนเมตตา พระองค์ประสงค์จะสังหารใครก็ได้แค่เพียงชี้นิ้ว!
“รีบลากนางออกไป…”
จวงไทเฮายังไม่ทันได้เอ่ยคำว่าเฆี่ยน เฟ่ยชุ่ยที่วิ่งหอบเข้ามาก็รีบแทรกขึ้นว่า “ท่านชายเซียวมาแล้วเพคะ!”
พอได้ยินดังนั้น จวงไทเฮาก็รีบกลืนคำพูดที่เหลือลงท้องไปก่อน
ก่อนจะมองบนใส่นางกำนัลหนึ่งที “ให้เขาเข้ามา”
ฉินกงกงแอบหัวเราะ
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปในห้องทรงหนังสือ ก็ได้เจอกับจวงไทเฮาที่กำลังตรวจบัญชี ก่อนจะได้รับคำทักทาย “ไหนว่าไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดยังกลับมาอีกล่ะ”
ฟังน้ำเสียงนั่นสิ แค้นอะไรมาก็ไม่รู้
ขันทีฉินหัวเราะอย่างหนักจนเขาแทบจะชักเกร็งอยู่นอกประตู พลางคิด เป็นไปได้ไหมว่าเซียวลิ่วหลังมาส่งของในตอนเช้าแต่กลับไปก่อนเพราะไม่เจอใครเลย
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “ข้าเข้ามาทานข้าวด้วย”
จวงไทเฮา “ที่เรือนเจ้าไม่มีข้าวให้กินหรืออย่างไรถึงต้องมานั่งกินที่นี่”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า พลางเอ่ย “พ่ะย่ะค่ะ ที่เรือนไม่มีข้าว”
จวงไทเฮานึกในใจ ดูเข้าสิ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก นี่สินะผลของการที่คลุกคลีกับฮั่วเสวียนมากเกินไป
นางหรี่ตามองเขาก่อนทำหน้าไม่พอใจ
ฉินกงกงกระแอมขึ้นก่อนเอ่ยทัก “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าจะตามให้คนมาส่งพระกระยาหารให้พ่ะย่ะค่ะ”
“รบกวนฉินกงกงด้วยนะ” เซียวลิ่วหลังหันไปเอ่ยกับฉินกงกง
“ขอรับ!” ฉินกงกงตอบรับอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะเดินออกไป
จวงไทเฮากัดฟันกรอด “หึ เข้าออกวังข้ากันเป็นว่าเล่นเลยนะ วังนี้ยังเป็นของข้าอยู่หรือไม่”
อาหารค่ำถูกจัดไว้ในตำหนักหลิงเซียง ซึ่งอยู่ในห้องโถงฝั่งเดียวกับห้องทรงงาน
จวงไทเฮาไร้ซึ่งท่าทีจะลุกไปเสวยอาหาร
เซียวลิ่วหลังเมื่อเห็นดังนั้น จึงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีผิดหวัง “ท่านย่า ข้าหิวแล้ว”
จวงไทเฮากลอกตาใส่เขา ก่อนจะวางบัญชีในมือลงอย่างไม่เต็มใจยัก ลุกไปที่ตำหนักหลิงเซียงแต่โดยดี
ฉินกงกงที่ไม่รู้ว่าเซียวลิ่วหลังจะมาหา มีอาหารบางอย่างที่ต้องทำขึ้นใหม่ ฉินกงกงรู้ดีว่าเซียวลิ่วหลังชอบอาหารแบบไหน
จวงไทเฮาโบกมือไล่นางกำนัลที่มาส่งอาหารออกไป
จากนั้นเซียวลิ่วหลังจึงเริ่มใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่จานของจวงไทเฮา
จวงไทเฮาทำหน้าประหลาดใจพลางย่นคิ้ว “ข้าไม่กินสิ่งนี้!”
“แต่ท่านต้องกิน” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลางใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูสามชั้นให้นางโดยทีคีบเอาส่วนมันหมูออกไป
จวงไทเฮาเริ่มชักสีหน้า
พลางนึก เจ้าเด็กนี่ มากินข้าวหรือมารนหาที่ตายกันแน่!
ความโมโหของนางเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ !
ในตอนนั้นเอง เซียวลิ่วหลังก็เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีซึมๆ “ข้าไม่เคยได้มีโอกาสกินข้าวกับย่าของข้าเลยสักครั้ง นางไม่ชอบมารดาของข้า ก็เลยพลอยไม่ชอบข้าไปด้วย”
จวงไทเฮาที่กำลังเดือดจัด พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ อาการโกรธก็หายไปทันควัน
จวงไทเฮาเคยได้ยินเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงซิ่นหยางและฮูหยินใหญ่เซียวมาบ้างเล็กน้อย เดิมทีฮูหยินใหญ่เซียวเอ็นดูลูกสาวของตระกูลที่ร่ำรวยซึ่งเป็นคนอ่อนโยน
แต่ใครจะคิดว่าคนที่เซวียนผิงโหวแต่งงานด้วยจะกลายมาเป็นคนวางอำนาจบาตรใหญ่ ทำราวกับตนเองเป็นพระโพธิสัตว์เทพเซียนที่ทุกคนต้องกราบไหว้
ฮูหยินใหญ่เซียวไม่พอใจอย่างมาก ทั้งตัวองค์หญิงเองรวมถึงบุตรชายขององค์หญิง
เซียวลิ่วหลังไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอะไรอยู่แล้ว แค่อยากเล่นบทคนน่าสงสารก็เท่านั้น
และดูเหมือนจะได้ผล จวงไทเฮาเกิดใจอ่อนก่อนจะยอมตักอาหารที่เซียวลิ่วหลังวางไว้ให้เข้าปากอย่างขอไปที
มุมปากของเซียวลิ่วหลังค่อยๆ ยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของหญิงชรา
จากนั้น เซียวลิ่วหลังจึงสาธยายความน่าสงสารยามเด็กที่เขาถูกฮูหยินใหญ่เซียวกลั่นแกล้ง จนในที่สุดจวงไทเฮาก็เกิดใจอ่อนยวบ และยอมกินอาหารที่เขาคีบให้
รู้ตัวอีกที จวงไทเฮาก็พบว่าวันนี้นั้นตัวเองเจริญอาหารเป็นพิเศษกว่าวันอื่น
ปกติตอนที่นางยังอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ย นางกินได้เยอะกว่านี้ พอมาอยู่ในวัง นางจึงลดปริมาณอาหารลง
นางจึงซูบผอมลงไปกว่าเดิมมาก
แม้จะเป็นอาหารมื้อง่ายๆ แต่เห็นได้ชัดว่าจวงไทเฮาเสวยอาหารมื้อนี้อย่างสบายใจกว่ามื้ออื่นๆ
หลังอาหารเย็น เซียวลิ่วหลังไม่รีบร้อนที่จะกลับแต่อย่างใด เขามุ่งหน้าไปหอสมุดที่ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้สร้างขึ้น
หอสมุดตั้งอยู่ตรงข้ามกับของทรงงานของจวงไทเฮา มีสวนดอกไม้เล็กขั้นกลางระหว่างสองตำหนัก
ฉินกงกงเปิดหน้าต่างด้วยความเบามือ
ขอแค่จวงไทเฮาหันไปมอง ก็จะเห็นว่าเซียวลิ่วหลังนั้นกำลังอ่านหนังสือในหอสมุดอย่างตั้งอกตั้งใจ
อารมณ์หงุดหงิดของจวงไทเฮาสงบลงในทันใด
บรรยากาศวังนั้นเงียบเหงา ยิ่งตกดึกก็ยิ่งเงียบเหงาเป็นพิเศษ มันเป็นความเหงาที่คนเสียสติ ราวไร้พึ่งพิง อยากจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น
แม้จวงไทเฮาอาศัยอยู่ในวังหลวงมาหลายสิบปี แต่ไม่เคยรู้สึกว่านี่คือที่ของตนเลยสักครั้ง
ทว่ายามนี้ เมื่อเห็นร่างของชายหนุ่ม ได้สัมผัสความเงียบสงบของเขา จวงไทเฮาก็รู้สึกสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
จวงไทเฮาตรวจบัญชีอีกครั้ง ฟ้าเริ่มมืดแล้วยังมีกองงานอีกมากมายที่ยังทำไม่เสร็จ ทว่าจวงไทเฮาตั้งใจว่าวันนี้จะพักไว้ก่อน
จึงเอ่ยกับฉินกงกง “เจ้าไปบอกเขาทีว่ากลับได้แล้ว ข้าจะพักผ่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีฉินตอบด้วยรอยยิ้ม
ฉินกงกงลองเกลี้ยกล่อมอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ไทเฮาก็ไม่ยอมฟัง ต้องยกความดีความชอบให้ท่านชายเซียวจริงๆ
“ช้าก่อน” จวงไทเฮาเรียกฉินกงกง “ส่งองครักษ์ลับสองคนแอบคุ้มกันตลอดทาง ระวังล่องเรือว่านเหนียน เขาอยู่ใกล้ข้ามากเกินไป และข้ากังวลว่าจะมีใครมาทำร้ายเขา ”
พระจันทร์มืดมิดและลมแรง
ระหว่างทางกลับตรอกปี้สุ่ย มีทหารองครักษ์ลับที่เคยคุ้มกันกู้เจียวและกู้เหยี่ยนอยู่ด้วยข้างๆ เท่านี้ก็ไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว
“ขอรับ”
ฉินกงกงขอให้คนเตรียมรถม้าให้ และส่งเซียวลิ่วหลังไปที่ประตูพระราชวังเป็นการส่วนตัว และสั่งให้ทหารอีกสองนายคนติดตามไปพร้อมกัน