บทที่ 411 สร้างเงินได้เท่าไร?
บทที่ 411 สร้างเงินได้เท่าไร?
เซวียหรงไม่ได้ตระหนักถึงหลุมพรางในคำพูดของเหยาซูอย่างที่คิดไว้จริง ๆ แค่ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พี่เชียนดูแลเขาอย่างดี ปกติก็ไม่ค่อยตามใจนัก ตอนนี้ซานเป่าเดินเองได้แล้ว การแสดงออกที่พึงมีก็เริ่มพูดได้บ้าง พี่เชียนนอกจากจะให้แม่นมดูแลเขาในยามนอนแล้ว เวลาอื่นอะไรที่ทำได้เขาก็มักจะให้ซานเป่าทำเองตลอด…”
ไฉนเลยเหยาซูจะไม่รู้สถานการณ์ของลูกชายตัวเอง วันนั้นที่ตัดสินใจยกซานเป่าให้เป็นลูกบุญธรรมของอีกฝ่ายนั้น หญิงสาวได้ส่งสาวใช้ที่ตัวเองไว้ใจที่สุดคนหนึ่งไป เซี่ยเชียนจึงยอมให้สาวใช้คนนี้เดินทางไปมาระหว่างสองบ้านบ่อยครั้ง ทั้งยังให้รายงานเกี่ยวกับพัฒนาการของซานเป่าให้นางฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เหยาซูยิ้มตาหยีแล้วถามต่อ “พี่เซวียเคยอุ้มซานเป่าหรือไม่? ไม่รู้ว่าเขาตัวหนักขึ้นบ้างไหม?”
เซวียหรงเป็นสหายที่มีความเป็นมารดาสูงมาก จึงพยักหน้าและพูดว่า “อุ้มสิ แต่ข้าอุ้มไม่บ่อยนะ อีกอย่างซานเป่าเองก็ไม่ชอบให้อุ้มสักเท่าไร พี่เชียนต่างหากที่อุ้มเขาบ่อย ๆ เขาจึงไม่ค่อยดิ้นนัก”
เหยาซูถามอีกว่า “แล้วอาหารเล่า? เจ้าป้อนไหม? หรือว่าท่านน้าป้อน? แล้วเชื่อฟังไหม?”
เซวียหรงเอ่ย “ซานเป่ากินเองได้…”
ขณะที่พูดนั้น หญิงสาวก็หยุดชะงักไป ในใจเริ่มระแวดระวังขึ้นมา
หูของนางผึ่งตั้งฟังเสียงการเคลื่อนไหวดั่งจิ้งจอกยามเจอเหยื่อ ก่อนจะโผล่ออกมาจากกอหญ้าซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของมัน แล้วยิ้มตาหยีพลางพยักหน้า “ดูท่าซานเป่าจะให้การปรับตัวที่ดีแก่จวนเซี่ย ทั้งยังทำให้พี่เซวียสัมผัสได้ถึงความเป็นมารดาล่วงหน้า ทำให้ท่านน้าได้เก็บเกี่ยวความรู้ในการดูแลเด็กได้ดี”
ทันทีที่คำพูดนี้ถูกพ่นออกมา ต่อให้เซวียหรงจะเชื่องช้าเพียงใด ก็ยังเข้าใจความหมายของการหยอกเย้านี้
ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ แม้แต่ลำคอที่เรียวระหงนั้น ก็ล้วนแดงเถือกไปหมด
“ถ้าข้าไม่อุดปากของเจ้า คงได้พูดแต่เรี่องไร้สาระได้ทุกวี่วันสินะ…แม้ว่าข้าจะอยู่ในจวนเซี่ย แต่พี่เชียนเห็นข้าเป็นน้องสาวเสมอ!”
เหยาซูยังคงคลี่ยิ้ม พร้อมกับเอี้ยวตัวหลบมือที่เซวียหรงเอื้อมออกมาหมายจะปิดปาก แล้วพูดแค่ว่า “ท่านน้าคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ในใจของพี่เซวียคิดอย่างไร เรื่องนี้ข้าเดาได้อย่างแม่นยำ”
ครั้นเซวียหรงเห็นนางยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า เกรงว่านางจะโพล่งความในใจของตัวเองออกมา จึงรีบลุกพรวดขึ้น แล้วพูดว่า “เอาละ ๆ ไม่พูดเรื่องไร้สาระกับเจ้าแล้ว ในร้านยังยุ่งอีกเยอะ!”
เหยาซูเองก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ
เซวียหรงสนใจเซี่ยเชียน แต่ความรักเช่นนี้หากหลุดเปิดเผยออกไปก่อนหน้า ถือว่าไม่รักษาสัจจะ ถ้าวันนี้นางไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจพูดออกไป เกรงว่าต่อไปเซวียหรงก็คงจะไม่มีหน้าอยู่ในจวนเซี่ยต่อแล้ว
หญิงสาวยิ้มแล้วเดินตามฝีก้าวของเซวียหรงไป ก่อนจะพูดว่า “ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ ขออยู่กับพี่เซวียนะ อย่าไล่ข้าเลย อยู่แต่บ้านคนเดียวอึดอัดยิ่งนัก”
…
ร้านขายเสื้อผ้านั้นมีเรื่องหยุมหยิมมากกว่าร้านขายผ้ามาก
อันดับแรกคือรูปแบบและขนาดของเสื้อผ้า เซวียหรงทำกิจการเสื้อผ้าเองมานานแล้ว โดยทั่วไปจะมีการเตรียมรูปแบบไว้ละไม่เกินสองชุด ขนาดก็คือขนาดที่มักเห็นบ่อยที่สุด
แต่กิจการที่เปิดในตอนนี้ จะต้องดูแลลูกค้าหลากหลายรูปแบบ
เหยาซูรู้ว่าเรื่องของขนาดนั้นต้องคอยรบกวนเซวียหรงมาโดยตลอด จึงได้เอ่ยถามคำถามนี้ว่า “ก่อนหน้านั้นพี่เซวียเคยพูดว่าการทำขนาดของเสื้อผ้าให้สมบูรณ์นั้นค่อนข้างยากไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เซวียหรงทอดถอนใจ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นี่เป็นคำถามที่ยากจะตอบ เพราะข้าเองก็ไม่ได้ระวัง”
เหยาซูถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
เซวียหรงพูดว่า “ช่างตัดเย็บของเราค่อนข้างจำกัด จึงไม่สามารถตัดเย็บเสื้อผ้าหลายขนาดได้ทุกชุด ลูกค้าบางคนมีการแสดงความคิดเห็น ข้าถึงได้ปวดหัว…”
เหยาซูพยักหน้า แล้วพูดกับนางอย่างจริงจัง “เสื้อผ้าทุกชุดสามารถทำออกมาได้หลายขนาด แต่มันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ต้นทุนและเวลาไม่ต้องพูดถึง ถ้าทำออกมาแล้วไม่มีคนซื้อ เป็นเราที่จะขาดทุนไม่ใช่หรือ?”
เซวียหรงพูด “ข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ความคิดเห็นของลูกค้า เราจะไม่ฟังก็ไม่ได้! สองสามวันนี้ข้าจึงได้แต่กลุ้มใจ จะขอโทษลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าไปอย่างไร”
เหยาซูยิ้มและพูดว่า “แล้วเหตุใดพี่เซวียถึงได้กลุ้มใจเพียงนี้? ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจความคิดของผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ”
จริง ๆ แล้วนับตั้งแต่ที่เววียหรงทำกิจการของตัวเอง มักจะแสดงท่าที ‘อยากซื้อก็ซื้อ ไม่ซื้อก็ตามใจ’ ตลอด แต่หลังจากเปิดร้านขายเสื้อผ้า ความคิดของนางก็เปลี่ยนไป
หญิงสาวกลอกตาใส่เหยาซู “ก็เจ้าบอกข้าเอง ลูกค้ามีมากกว่าผืนนภา ร้านของเราจะเปิดต่อไปได้ ล้วนขึ้นอยู่กับการสรรเสริญจากลูกค้าเหล่านี้…เหตุใดเพียงแค่เดือนเดียวถึงไม่ยอมรับสิ่งที่เคยพูดไว้เสียแล้ว? คงไม่ใช่เพราะพิษไข้ขึ้นสมองจนเลอะเลือนไปแล้วหรอกนะ ต่อไปเจ้าจะทำกิจการตามความคิดของตัวเองอย่างเดียวหรือ?”
เหยาซูหลุดขำทันใด “ใช่ ๆๆ ข้าเคยพูดเช่นนี้ และไม่เคยคิดจะชักดาบด้วย”
เซวียหรงมองไปทางนางด้วยความขุ่นเคืองแวบหนึ่ง “จบแล้ว?”
เหยาซูเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสารธยายคำพูดที่รวบรวมไว้กับเซวียหรง “เราเปิดร้านทำกิจการ ก็ควรคำนึงถึงในทุกมุมมองแทนลูกค้า เหมือนอย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านั้น ร้านค้าหนึ่งร้าน สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดไม่ใช่แค่สิ่งของที่ขายอยู่ในร้าน แต่ยังรวมถึงการบริการในการขายด้วย นี่สิถึงจะเรียกว่าสำเร็จ”
เซวียหรงพยักหน้า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าว่าร้านอาหารและร้านขายผ้าที่เจ้าทำ ล้วนแต่เป็นลู่ทางหนึ่ง และประสบความสำเร็จได้นั้นย่อมหมายความว่าร้านขายเสื้อผ้าของเราก็ต้องเป็นเช่นนี้”
เหยาซูพูด “ความคิดของพี่เซวียนั้นไม่เลวเลย แต่…”
ครั้นเห็นนางไตร่ตรอง เซวียหรงก็รีบดึงชายเสื้อของเหยาซูทันทีแล้วพูดว่า “แต่อะไร? รีบพูดสิ! ถึงเพียงนี้แล้ว ยังจะอุบอะไรอีก?”
เหยาซูเห็นหญิงสาวร้อนใจ ก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้ “ข้ากำลังคิดว่าจะพูดอย่างไรเล่า ไม่ได้จะอุบเสียหน่อย แต่…ร้านขายเสื้อผ้ามันไม่เหมือนกับร้านอาหารและร้านขายผ้าหรอกนะ ไม่สามารถใช้วิธีการเดียวกันได้”
เซวียหรงพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าเห็นด้วย ร้านอาหารแค่เสนอรายการอาหารจานใหม่ออกไป ก็เข้าใจแล้วว่าลูกค้าชอบอาหารรสชาติอย่างไร ส่วนร้านขายผ้า ลวดลายก็มีแค่นั้น…การบริการก็แสนจะง่ายดาย”
เหยาซูรีบพูดต่อจากคำพูดของนางด้วยการวิเคราะห์ว่า “แต่ร้านขายเสื้อผ้านั้นแตกต่าง เสื้อผ้าไม่เหมือนกับผ้าที่เป็นหลา เสื้อผ้าที่ผลิตออกมา มีทั้งคนชอบ มีทั้งคนไม่ชอบ ประกอบกันรูปแบบ สีที่ค่อนข้างซับซ้อน ย่อมเพิ่มความยุ่งยากเป็นธรรมดา”
เซวียหรงดูแลร้านขายเสื้อผ้ามาตลอดหนึ่งเดือน ย่อมเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้อย่างลึกซึ้ง จึงพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ใครบอกว่าไม่ใช่เล่า! ต้องรู้ว่าการปรุงอาหารให้ถูกปากได้ยากใช้ไม่ได้กับร้านอาหาร จริง ๆ มันควรใช้กับร้านขายเสื้อผ้า!”
เหยาซูยิ้มปลอบโยน “พี่เซวีย ในเมื่อรู้ว่าความต้องการของลูกค้านั้นแตกต่างกัน เราก็ไม่จำเป็นต้องทำตามความต้องการของพวกเขาทุกคนก็ได้”
ครั้นเซวียหรงได้ยินดังนั้นก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ร้านของเราทำเสื้อผ้าออกมา ก็เพื่อให้ลูกค้าพอใจไม่ใช่หรือ? ถ้าพวกเขาไม่พอใจ แล้วจะออกเงินซื้อได้อย่างไร”
ดวงตาของเหยาซูโก่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พลางคลี่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “พี่เซวีย ข้ามีวิธี พี่จะฟังหรือไม่?”
เซวียหรงได้ยินนางพูดเพียงครึ่งเดียว ก็ทำท่าทางจะอุบไว้อีกครั้ง จึงกดเหยาซูให้นั่งลง จากนั้นก็พูดด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ “เจ้ามันนังเด็กบ้า ข้าตั้งใจจะศึกษาประสบการณ์จากเจ้า แต่เจ้าไม่ยอมถ่ายทอด บีบบังคับให้ข้าต้องลงมือเช่นนี้? แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนนะ หลายวันมานี้ข้ากลุ้มใจจนผมร่วง ขืนเจ้าไม่ยอมพูดอีก เส้นผมที่ดกดำเหล่านี้ เกรงว่าเจ้าเองก็คงจะชดใช้ให้ข้าไม่ได้!”
เดิมทีเหยาซูแค่อยากจะหยอกเย้าเซวียหรงเท่านั้น ครั้นเห็นนางร้อนใจจริง ๆ จึงรีบพูดขอโทษ “ข้าผิดไปแล้ว พี่เซวีย ข้ายอมพูดแล้ว…มันเป็นเพียงคำพูดไร้สาระ ท่านแค่ฟังก็พอ ถ้าพูดผิดก็อย่าใส่ใจ”
เซวียหรงด่าเคล้ารอยยิ้ม “หยุดพูดเหลวไหล รีบพูดมาสิ”
เหยาซูปั้นสีหน้าจริงจัง แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “พี่เซวียรู้ดี ว่าในตอนที่ข้าทำกิจการนั้น ชอบใช้ทักษะหนึ่งคือการป่าวประกาศให้ตัวเอง”
เซวียหรงครุ่นคิด แล้วพยักหน้า “ก็จริง”
เหยาซูจึงพูดต่อว่า “เป้าหมายในการป่าวประกาศมีอยู่สองประการ ประการที่หนึ่ง เป็นการป่าวประกาศร้านค้าของตัวเอง ให้ลูกค้าได้รู้จัก เข้าใจ และเชื่อถือมากขึ้น เช่นนี้เราถึงจะมีกิจการที่เฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง”
เซวียหรงยิ้มแล้วพูดว่า “‘การป่าวประกาศ’ ใช่หรือไม่? คำนี้ของเจ้า ข้าจำได้ขึ้นใจแล้ว”
เหยาซูคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้า “ป่าวประกาศคือส่วนหนึ่ง และประการที่สอง เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด และถือว่าเป็นขั้นตอนที่เราจะต้องพยายามก้าวมันต่อไปให้ได้”
เซวียหรงฟังนางพูดอย่างจริงจัง จึงได้แต่ถามต่อว่า “คืออะไร?”
เหยาซูพูดอย่างจริงจัง “เราจะต้องยืนอยู่ในระดับแนวหน้าของแวดวงค้าผ้า และต้องเป็นผู้นำให้จงได้”
เซวียหรงได้ยินประโยคนี้ ก็ชะงักไปเล็กน้อย
เหยาซูจึงอธิบายต่อว่า “อาหารจานใหม่ทุกรายการที่ร้านอาหารทำ เราต้องเชิญนักกินที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมาประเดิมชิมก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมตกลง เปิดเผยแก่สาธารณะชน โดยส่วนใหญ่ผู้คนที่มาชิมจะต้องมีการตกลงกันก่อนเสมอ สำหรับวัสดุผ้าในร้านค้า เราต้องใช้ร้านขายเสื้อผ้ารังสรรค์รูปแบบเสื้อผ้าที่สะดุดตาออกมา ทันทีที่ทุกคนเห็นจะต้องตาลุกวาว ตระหนักได้ถึงความงามของผ้า ไม่ก็คุณสมบัติที่พิเศษของผ้าแน่นอน”
เซวียหรงตั้งใจฟัง พลางพยักหน้าหงึกหงัก “ถ้าเป็นแบบนี้ จะมีลูกค้าที่เต็มใจจะควักเงินจ่ายอย่างไม่ขาดสายแน่นอน”
“นี่คือการเป็นผู้นำที่ข้าต้องการบอกกับพี่เซวีย เราไม่เพียงแต่เอาใจผู้อื่นเท่านั้น ยังต้องผลิตให้ตรงใจลูกค้าอีกด้วย” เหยาซูเสริม
เซวียหรงครุ่นคิด พลางลูบฝ่ามือ ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาซู เส้นทางนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก! ถ้าลูกค้าในเมืองหลวงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเสื้อผ้าในร้านขายเสื้อผ้าเหยาจี้นั้นงดงาม ทุกคนย่อมรู้สึกว่างดงามไปตาม ๆ กัน! ถึงตอนนั้น เสื้อผ้าที่เราผลิตออกมา ลูกค้าจะต้องยื้อแย่งกัน…”
เหยาซูกลั้วหัวเราะออกมา ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “พี่เซวียพูดถูก ไม่ใช่เพราะเราขอให้ผู้อื่นมาซื้อ แต่ลูกค้าจะเฝ้ารอสินค้าใหม่ของเรา”
ความจริงแล้วเรื่องราวมากมายบนโลกใบนี้ล้วนก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งก็คล้อยตามเส้นทางอย่างเงียบ ๆ เส้นทางเบื้องหน้าอาจจะไม่ได้เรียบเหมือนโรยกลีบกุหลาบ แค่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาและได้เห็นมุมมองที่เปลี่ยนไป บางทีเส้นทางที่คดเคี้ยวเลี้ยวลด อาจจะมองเห็นทางลัดที่ซ่อนอยู่หลังเงาบุปผาที่ผุดขึ้นหนาทึบเหล่านั้นก็เป็นได้
เซวียหรงหวั่นไหวไปตามคลื่นที่นางซัดสาด จึงอดชื่นชมไม่ได้ “เป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้! รูปแบบของเราไม่ได้แย่ แต่ลักษณะที่ออกมาไม่น่าดึงดูด ทำให้ผู้คนต่างดูถูกอยู่ลึก ๆ ในใจ”
เหยาซูยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ถ้าจะพูดว่าดูถูก ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ลูกค้าไม่ได้รู้สึกว่าผลงานของเราเป็นที่ตรึงตาตรึงใจเท่านั้นเอง”
เซวียหรงพยักหน้าเห็นด้วย
หญิงสาวขึ้นเหนือล่องใต้มานานหลายปี ย่อมมีเรื่องที่ตัวเองต้องทำ หลังจากที่ได้รับการเตือนสติจากเหยาซู ในสมองเซวียหรงก็ผุดความคิดมากมาย และเป็นอย่างที่เหยาซูพูดไว้
เหยาซูตั้งใจฟัง ระหว่างนั้นก็พยักหน้าตอบรับ การได้พูดความคิดของตัวเองออกมา ทำให้กลยุทธ์ของเซวียหรงสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองคนพูดคุยกันเนิ่นนาน กระทั่งรู้สึกหิว จึงได้เงยหน้าและจบบทสนทนา
เซวียหรงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็เที่ยงแล้ว ข้าไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย! เราไปกินข้าวกันก่อนดีหรือไม่?”
เหยาซูพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปด้านหลัง “เรื่องของร้านขายเสื้อผ้าค่อย ๆ คุยกัน โชคดีที่เรามีครอบครัวเดียวกันอยู่ในเมืองหลวง ตอนนี้จึงไม่ต้องแข่งขันกัน แค่ค่อย ๆ ปรับเข้าหากัน ข้าจะไปดูอาซือ ปล่อยไว้หลังร้านนานแล้ว อย่ากวนอาสะใภ้หูก็พอ”
ครั้นเห็นนางกำลังจะไป เซวียหรงก็ฉุกคิดได้ จึงเอ่ยเรียกเหยาซูไว้ก่อน “อาซู ช้าก่อน”
เหยาซูหันกลับไป ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมหรือ?”
กระทั่งเห็นเซวียหรงหยิบสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมา ใบหน้าแต้มยิ้มแล้วพูดว่า “พูดมาตั้งนาน จนลืมให้เจ้าดูเลย…หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ว่าหลังจากที่ร้านของเราเปิดมาได้หนึ่งเดือนเต็ม สร้างเงินไปได้เท่าไร?”
ท่าทางลึกลับระคนตื่นเต้นของนาง กระตุ้นความอยากรู้ของเหยาซูได้เป็นอย่างดี
ดวงตาคู่นั้นของเหยาซูเปล่งประกาย แล้วถามว่า “สร้างเงินได้เท่าไร?”
……………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ต้องมีอินฟลูฯ มาเป็นคนนำเทรนด์ แล้วคนอื่น ๆ จะซื้อตามสินะคะ
ไหหม่า(海馬)