ตอนที่ 141-2 โทสะของหมิงซิว

เฉียวเวยออกคำสั่ง ทุกคนหลบเข้าไปในบ้าน

เฉียวเวยปิดประตูใหญ่ จากนั้นลงกลอนแล้วเอาแผ่นไม้ค้ำไว้

มือสังหารสี่คนที่ไม่ติดกับพุ่งเข้ามา หมายจะชนประตูให้เปิด

ไม่รู้ว่าชนไปนานเท่าใด ทันใดนั้นเหนือศีรษะพลันมีแสงสีทองเส้นหนึ่งสว่างวาบ เสียงอสนีบาตดังกระหึ่มทั่วท้องนภา

มือสังหารสี่คนรู้สึกในใจว่าผิดปกติ แต่ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่ทราบว่ามันผิดปกติที่ใด ในระหว่างที่พวกเขากำลังลังเล สายฟ้าคดเคี้ยวเส้นหนึ่งก็ผ่าลงบนต้นไม้ใหญ่ริมสระน้ำ ต้นไม้ใหญ่ระเบิดลุกเป็นเปลวเพลิง ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ สะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วทุกสารทิศ!

แทบจะในเวลาเดียวกัน ประกายสายฟ้าก็ไหลตามเส้นเหล็กลงมาในสระน้ำ มือสังหารแต่ละคนชะงักนิ่งไปทันตาเห็น ประกายสายฟ้าไหลผ่านทั่วร่างของพวกเขา เวลาเพียงชั่วพริบตา เส้นผมบนศีรษะของพวกเขาก็ดำเกรียม หน้าดำปิดปี๋ เหนือศีรษะมีควันลอยออกมา…

ภาพนี้ทำให้ทุกคนรวมถึงโจรจากค่ายวายุทมิฬ ตาค้างกันหมด

เฉียวเวยปัดมือ “ยังเหลืออีกสี่คน ข้าจะไปจัดการพวกเขา”

หัวหน้าค่ายขวางนางไว้แล้วตบหน้าอกเอ่ยว่า “พวกปลาซิวปลาสร้อยไยต้องให้จอมยุทธหญิงลงมือเอง ยกให้พวกเราพี่น้องแห่งค่ายวายุทมิฬเถิด! รับประกันว่าจะเชือดพวกเขาไม่ให้เหลือสักคน! พี่น้องทั้งหลาย จัดการพวกมันให้หมด ตามข้ามา!”

โจรทั้งหลายแห่เข้าไปล้อมมือสังหารไว้ มือสังหารกำลังอึ้งงันกับการเห็นอำนาจอสนีบาตต่อหน้าต่อตา ทันใดนั้นกำปั้นของเหล่าโจรก็ทักทายเข้ามาหาพวกเขาประหนึ่งเกล็ดหิมะ ต่อยพวกเขาจนถอยร่นไม่เป็นกระบวน

“ยังมีปลาหลุดรอดแหไปหรือไม่” เฉียวเวยถาม

อากุ้ยนับจำนวนคน “ไม่มี ข้านับแล้ว มือสังหารทั้งหมดสิบแปดคน นอกจากที่สลบอยู่ตีนเขาหกคน ที่เหลือก็อยู่ที่นี่หมดแล้ว”

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้แม้จะดำเนินไปไม่เหมือนแผนการที่พวกเขาวางไว้ล่วงหน้านัก แต่มือสังหารทั้งหมดก็ถูกคุมตัวไว้แล้ว เท่านี้ก็พอ

เฉียวเวยมุ่นคิ้ว เหมือนคิดอะไรบางอย่าง “แต่ใจข้า ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่”

อากุ้ยยิ้ม “ท่านกังวลเกินไปแล้ว มีอะไรให้ไม่สบายใจเล่า ท่านดูพวกเขาถูกมัดไว้หมดแล้ว”

เสี่ยวเว่ยหาเชือกมามัดแขนขาของมือสังหารทีละคน

“ฝั่งบิดาของข้าเล่า” เฉียวเวยถาม

อากุ้ยตอบว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งไปดูมา ยังอยู่ดีอยู่นะ ข้าจะไปดูอีกหนก็แล้วกัน!”

เฉียวเวยพยักหน้า

อากุ้ยเดินออกไป

ทว่าเดินออกไปครั้งนี้ ไม่เห็นเขากลับมา

เฉียวเวยใจสั่น ลอบคิดในใจว่าแย่แล้ว จากนั้นเท้าพลันขยับหมุน พุ่งเข้าไปในห้องของเฉียวเจิง

แสงโคมเท่าเมล็ดถั่ว

อากุ้ยถูกคนชุดดำคนหนึ่งใช้กระบี่จ่อลำคอเอาไว้ ด้านข้างของทั้งสองคน จีอู๋ซวงกำลังนั่งพิงอยู่ข้างหีบไม้ใบใหญ่ใบหนึ่งด้วยสีหน้านิ่งสงบ นิ้วมือเย็นเฉียบเคาะบนฝาหีบเบาๆ

“เจ้าเก่งยิ่งนัก” จีอู๋ซวงเอ่ยขึ้นมา “ทั้งที่ไม่เป็นวรยุทธ์แท้ๆ แต่กลับเก่งกาจจนจัดการมือสังหารเกินครึ่งของฐานบัญชาการย่อยได้ ทำให้ข้าต้องเดินทางมาทำภารกิจด้วยตนเอง”

สายตาของเฉียวเวยกวาดผ่านใบหน้าของอากุ้ยอย่างนิ่งสงบ แต่ไม่ได้หยุดมองนาน หลังจากนั้นก็เลื่อนสายตามาจับบนใบหน้าที่มองสีหน้าไม่ออกของจีอู๋ซวง “แต่เดิมท่านไม่จำเป็นต้องมาก็ได้”

จีอู๋ซวงกล่าวว่า “พรรคโลหิตพิฆาตเว้นเสียแต่จะไม่รับงาน หากรับมาแล้วล้วนต้องทำให้ลุล่วง”

เฉียวเวยมองเขาอย่างเย็นชา “ตัวท่านเองต้องการรับเองไม่ใช่หรือ เดินมาถึงจุดนี้ ไม่มีผู้ใดบังคับท่าน”

จีอู๋ซวงสีหน้าเฉยเมย “คำพูดนี้ ข้าสมควรพูดกับเจ้าจึงจะถูก ข้าเคยให้โอกาสเจ้าเลือกแล้ว แต่เจ้าไม่เห็นค่า ตอนนี้ไม่มีทางถอยแล้ว”

เฉียวเวยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คำพูดเหล่านี้ของท่าน ข้าฟังแล้วมีแต่วาจาดั่งผายลมทั้งสิ้น ยังไม่ต้องพูดเรื่องภารกิจของพรรคโลหิตพิฆาตถึงตายก็ต้องทำให้ลุล่วงอะไรนั่นหรอก ทั้งที่ท่านเคยสาบานจะภักดีต่อหมิงซิวแท้ๆ แต่การกระทำทุกสิ่งของท่านในคืนนี้ สำหรับหมิงซิวแล้วก็คือการทรยศรูปแบบหนึ่ง ท่านกลับคำเสมือนกินข้าวหนึ่งมื้อ จะสังหารข้าหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับชั่วความคิดของท่าน ไม่เกี่ยวกับพรรคโลหิตพิฆาตแต่อย่างใด”

จีอู๋ซวงสีหน้าชะงักไปวูบหนึ่ง ไม่ตอบคำของเฉียวเวย แต่เปลี่ยนประเด็น “เจ้าว่าหากข้าอุดรูของหีบใบนี้เสียจะเป็นเช่นไร”

เฉียวเวยกำหมัดแน่น

จีอู๋ซวงมองนาง แล้วกล่าวขึ้นว่า “หนึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ ข้ายังคิดอยู่ว่าจะให้โอกาสเจ้าสักหน หากเจ้ายอมจากนายน้อยไปอย่างว่าง่าย ข้าก็จะยอมแลกความน่าเชื่อถือของพรรคโลหิตพิฆาต ยอมปล่อยเจ้าจากไป แต่ตอนนี้ข้าไม่คิดเช่นนั้นแล้ว เจ้า เล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจเกินไป”

เฉียวเวยยิ้มละไม “เพราะลูกน้องของท่านล้วนพ่ายแพ้ให้ข้า ท่านจึงรับไม่ได้มากกว่า”

จีอู๋ซวงหน้าเคร่งขรึม “ภาระที่นายน้อยแบกไว้บนบ่าหนักหนายิ่งนัก เจ้าอยู่กับเขา มีแต่จะเป็นตัวถ่วง”

เฉียวเวยหุบยิ้ม “ข้าฟังจนขนลุกขนพองไปหมดแล้ว ท่านไม่ต้องพูดให้ดูดีเช่นนี้หรอก ท่านก็เพียงเห็นข้าขัดตา แต่ทำอันใดข้าไม่ได้ จึงยอมรับข้าไม่ได้ก็เท่านั้น”

เรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเล่าเรื่องจีอู๋ซวงให้นางฟัง นางก็สัมผัสได้เลือนรางแล้ว

ในหมู่เจ็ดยอดฝีมือใต้บัญชาของหมิงซิว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอายุมากที่สุด สือชีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด อีกสี่คนเฉียวเวยไม่เคยพบ แต่นางฟังออกว่าทุกคนล้วนเชื่อฟังคำพูดของจีอู๋ซวงอย่างยิ่ง หากไม่นับหมิงซิว จีอู๋ซวงก็เป็นลูกพี่ใหญ่อีกคนหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด

พูดให้ตรงๆ เลยก็คือจีอู๋ซวงเป็นพวกจอมบงการ

จีอู๋ซวงมองเฉียวเวย “ข้าเฝ้ามองนายน้อยเติบใหญ่ขึ้นมา ในใจข้า เขาไม่ต่างอะไรจากบุตรที่ข้าให้กำเนิดเอง เรื่องบางอย่าง เจ้าไม่มีทางเข้าใจ แล้วก็แน่นอนว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ไปปรโลกได้แล้ว”

กล่าวจบ จีอู๋ซวงก็โยนยาขวดหนึ่งมาให้นาง

ณ เรือนสี่ประสาน เสียงอสนีบาตคำรามหนแล้วหนเล่า เสียงสายลมพัดหวีดหวิว

จีหมิงซิวนั่งอ่านฎีกาอย่างเงียบๆ อยู่ในห้องของตนเอง

หลี่อวี้นั่งทำหน้าหม่นหมองอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา

“เจ้ายังไม่เคยเป็นอีสุกอีใส อยู่ห่างข้าไว้หน่อยจะดีที่สุด” จีหมิงซิวกล่าวกับเขาเรียบๆ

หลี่อวี้เขยิบเก้าอี้ออกอย่างรำคาญ “ท่านว่าอีสุกอีใสเป็นโรคที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยังรักษาหายได้อีก”

จีหมิงซิวเหล่มองเขา

หลี่อวี้รีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้หมายถึงท่าน ข้าหมายถึงองค์ชายคนนั้นของเผ่าซยงหนีว์ เขาไม่ได้เป็นอีสุกอีใสเหมือนกันหรือ เหตุใดเขาไม่ป่วยตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

จีหมิงซิวพลิกฎีกาอีกเล่มหนึ่ง “เขาขัดใจเจ้าตรงไหนเล่า”

หลี่อวี้ฮึดฮัดตอบว่า “ราชวงศ์ต้าเหลียงของพวกเรามีกองทัพแข็งแกร่ง เหตุใดต้องประจบเผ่าซยงหนีว์เช่นนี้ เผ่าซยงหนีว์ร้ายกาจนักหรือ ข้าได้ยินว่าปีนี้พวกเขาเกิดภัยแล้ง วัวแพะตายจนเกลี้ยง แล้วยังเกิดโรคระบาด หากพวกเราบุกไป เฮือกเดียวก็สยบพวกเขาได้แล้ว!”

จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ “พูดภาษาคน”

ศีรษะน้อยๆ ของหลี่อวี้ก้มหน้างุด “ฮ่องเต้จะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าซยงหนีว์”

“บังคับให้เจ้าแต่งองค์หญิงของเผ่าซยงหนีว์หรือไร” จีหมิงซิวถาม

“เปล่า!”

จีหมิงซิวเอ่ยต่อ “ถ้าอย่างนั้นบังคับให้หญิงสาวที่เจ้าชอบพอแต่งงานกับองค์ชายเผ่าซยงหนีว์หรือ”

หลี่อวี้สะอึก “ไม่ ไม่ใช่หญิงสาวที่ข้าชอบพอเสียหน่อย! ผู้ใดชอบนางยักษ์คนนั้นกัน! ข้า ข้า…ข้ารำคาญนางจะตายไป พี่สี่!”

จีหมิงซิวขบขัน “ถ้าอย่างนั้นนางแต่งงานไปอยู่ไกลถึงเผ่าซยงหนีว์ก็สมใจเจ้าแล้วนี่ นับจากนี้อยู่ห่างไกลคนละขอบฟ้า มิได้พบหน้ากันอีก ไม่ต้องรำคาญใจ”

หลี่อวี้ขยับนั่งตัวตรง กล่าวอย่างคับแค้นต่อความอยุติธรรม “ข้าเพียงรู้สึกว่าทำเช่นนี้ขายหน้าเกินไปแล้ว เป็นแคว้นใหญ่โต แต่ดันต้องขายหญิงสาวเพื่อความปรองดอง บุรุษราชวงศ์ต้าเหลียงตายสิ้นแล้วหรือ ที่บอกว่าจะปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนอะไรนั่นล้วนมีแต่ลมปากหรือไร ยามที่พวกเขาสมควรออกศึกสังหารศัตรู แต่ละคนกลัวหัวหดเสมือนหนึ่งสตรี! หากเสด็จแม่องค์หญิงของข้าไม่ห้ามไว้ ข้าจะยกทัพออกไปเอง!”

“องค์ชายเก้า องค์หญิงเรียกท่านกลับจวน” ด้านนอก บ่าวรับใช้จากจวนองค์หญิงแจ้งด้วยเสียงนอบน้อม

หลี่อวี้ลุกขึ้นอย่างไม่ยินยอม “ถ้าอย่างนั้นพี่สี่ ข้าขอตัวก่อน”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากชอบแม่นางผู้นั้น…”

“ข้าไม่ชอบนางเสียหน่อย!” หลี่อวี้พองขนขัดคำพูดของจีหมิงซิว กล่าวจบก็ลูบจมูก บอกเสียงเบาว่า “พี่สี่ ท่านดูแลร่างกายตนเองดีๆ วันหน้าข้าค่อยมาเยี่ยมท่าน”

หลี่อวี้ถูกบ่าวรับใช้พาจากไป

ลี่ว์จูยกยาถ้วยหนึ่งเข้ามาด้านใน “นายท่าน ดื่มยาเจ้าค่ะ”

จีหมิงซิวมุ่นคิ้วเล็กน้อย

ลี่ว์จูยิ้มกล่อม “ถ้วยสุดท้ายแล้วเจ้าค่ะ ดื่มหมดก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”

นิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกของจีหมิงซิวยกถ้วยยาขึ้นมาดื่มด้วยความอดทน “จีอู๋ซวงเล่า”

ลี่ว์จูหันไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่เกาะโต๊ะเล่นหมากอยู่กับสือชี

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงุนงง “ถามข้าหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าไก่เฒ่าชอบทำตัวลึกลับ ผู้ใดจะรู้ว่าเขาไปทำเรื่องเลวร้ายอะไรอีก สือชี เจ้าเดินผิดแล้ว! หมากสีดำของข้า! เจ้าเดินหมากสีขาวของตัวเจ้าเองสิ!”

ลี่ว์จูเม้มปากกลั้นยิ้ม แล้วเดินไปห้องครัวเพื่อยกอาหารค่ำมา

“นี่คืออะไร” จีหมิงซิวมองอาหารหน้าตาประหลาดจานหนึ่งแล้วเอ่ยถาม

ลี่ว์จูกล่าวว่า “เนื้อเป็ดยัดไส้ไข่เยี่ยวม้าที่ฮูหยินสอนพ่อครัวหยางทำเจ้าค่ะ หั่นเป็นชิ้นบางๆ ทานคู่กับน้ำจิ้ม อร่อยยิ่งนัก นายท่านลองชิมดู”

จีหมิงซิวหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อเป็ดยัดไส้ไข่เยี่ยวม้าชิ้นหนึ่ง

ตุ้บ!

เนื้อเป็ดยัดไส้ร่วงลงบนโต๊ะ

จีหมิงซิวคีบขึ้นมาอีกชิ้นหนึ่งก็ร่วงลงบนโต๊ะอีก

ลี่ว์จูตกตะลึง หยิบตะเกียบสะอาดมาคีบเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งวางลงในชามของเชา

จีหมิงซิวกลับวางตะเกียบลง

“นายท่าน ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ” ลี่ว์จูถามอย่างสับสน

เขาเองก็อยากรู้เช่นกันว่าเป็นอันใด จู่ๆ หัวใจก็รู้สึกไม่สงบอย่างไร้เหตุผล

ภายในห้องอันมืดสลัว จีอู๋ซวงเริ่มหมดความอดทน “เจ้ายังจะรีรออีกนานเท่าใด เห็นแก่ที่ดีร้ายเจ้าก็คบหากับนายน้อยอยู่ ข้าจึงมอบวิธีตายที่สบายที่สุดให้เจ้าแล้ว นี่เป็นบริการที่พรรคโลหิตพิฆาตไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์”

“ข้าต้องขอบคุณท่านอย่างนั้นสิ!” มอบยาพิษให้นางขวดหนึ่ง แล้วยังทำเหมือนกำลังทำบุญทำกุศล คนผู้นี้หลงคิดว่าตนเองเป็นคนดีมากขนาดไหนกัน

จีอู๋ซวงเปิดหีบออก “ในเมื่อเจ้าไม่ยอมไปก่อน ถ้าเช่นนั้นให้บิดาของเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน”

เฉียวเวยแววตาเย็นยะเยือก “ท่านกล้า?”

จีอู๋ซวงล้วงขวดยาอีกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง แล้วดึงจุกขวดทิ้ง อีกมือหนึ่งบีบปลายคางของเฉียวเจิง

เฉียวเวยขว้างขวดยาจนแตกกระจาย แล้วพุ่งเข้าใส่จีอู๋ซวง ทว่าวรยุทธ์ของจีอู๋ซวงไม่ใช่ระดับที่นางจะจัดการได้ แม้นางจะมีพละกำลังมากดั่งโคถึก แต่ไม่ใช่คู่ต่อกรของจีอู๋ซวงผู้มีกำลังภายในล้ำลึกอย่างสิ้นเชิง

จีอู๋ซวงสกัดจุดนางแล้วโยนขวดยาให้คนชุดดำ “ป้อนนางเสีย หลังจากนั้นเจ้าก็ไปรายงานกับนายจ้างด้วยตนเอง บอกว่าภารกิจสำเร็จแล้ว”

“ขอรับ!” คนชุดดำคลายมือออกจากอากุ้ยที่ถูกสกัดจุดไว้ จากนั้นถือขวดยาเดินมาตรงหน้าเฉียวเวย

เฉียวเวยกัดฟันแน่น

คนชุดดำบีบแก้มของนาง บังคับให้นางอ้าปาก

เฉียวเวยถลึงตาใส่เขาอย่างโหดเหี้ยม แววตาเย็นยะเยือกคู่นั้นประหนึ่งดาบคมกริบ ทิ่มแทงคนชุดดำจนยากจะดูแคลน

คนชุดดำปิดดวงตาของนาง เล็งขวดยาให้ตรงกับปากแล้วเทลงไปพรวดเดียว…

โครม!

หน้าต่างถูกถีบจนเปิดออก เงาดำร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องดุจภูตพราย ฝ่ามือข้างหนึ่งฟาดใส่คนชุดดำที่กรอกยาให้เฉียวเวยจนปลิวลอยออกไป หลังจากนั้นเขาก็คลายจุดให้เฉียวเวย เฉียวเวยถ่มยาพิษในปากออกมาทันที!

จีอู๋ซวงเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัด คิ้วก็เลิกสูงทันควัน “สือชีหรือ”

สือชียืนอยู่หน้าเฉียวเวย สองมือถือกระบี่เล่มหนึ่ง ดวงตาไร้อารมณ์มองไปทางจีอู๋ซวง

จีอู๋ซวงหันกลับมาก็เห็นจีหมิงซิวผู้สวมอาภรณ์สีขาว แลดูประหนึ่งเทพเซียนผู้ต้องโทษทัณฑ์ให้ลงมายังโลกมนุษย์อยู่ตรงหน้าประตูสีดำสนิทดั่งหมึก เขาเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเย็นยะเยือก

“นายน้อย” จีอู๋ซวงตกตะลึงอย่างยิ่ง

จีหมิงซิวเดินมาตรงหน้าเขาอย่างเย็นชา แรงกดดันมหาศาล กดจนเขาคุกเข่าสองข้างลงไปอย่างบังคับตนเองไม่ได้ จีหมิงซิวก้มมองเขาจากด้านบน “เจ้ายังรู้อยู่หรือว่าข้าเป็นนายน้อยของเจ้า”

จีอู๋ซวงหน้าถอดสีในพริบตา

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเข้ามา มองคนชุดดำที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วมองเฉียวเวยที่กำลังบ้วนปากอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ก็เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นทันที เขาเอ่ยอย่างขัดใจ “ไก่เฒ่า ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ เจ้า…เจ้าทำเกินไปแล้วนะ เหตุใดเจ้าจึงทำเรื่องเช่นนี้ ผู้อื่นไปหาเรื่องเจ้าหรือไร เจ้าทำหน้าบูดเบี้ยวใส่ผู้อื่น ใช้กำลังภายในหยั่งเชิงผู้อื่นจนผู้อื่นเจ็บแทบเป็นแทบตาย ผู้อื่นเคยว่าอะไรเจ้าหรือไม่ เหตุไฉนดึกดื่นเที่ยงคืนเจ้าจึงวิ่งมาลอบสังหารผู้อื่น ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้!”

จีอู๋ซวงตอบทันที “พรรคโลหิตพิฆาตทำการค้า มีคนซื้อชีวิตของนาง”

จีหมิงซิวเอ่ยทีละคำด้วยน้ำเสียงดุจน้ำแข็ง “พรรคโลหิตพิฆาตรับงาน กล้ารับงานมากำจัดผู้หญิงของข้าหรือ”

จีอู๋ซวงสะอึก

เฉียวเวยบ้วนปากเสร็จแล้ว นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก หันไปมองจีอู๋ซวงที่มีสภาพน่าสังเวชแต่ไม่พูดคำใด

จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “หากวันนี้ข้าไม่มาปรากฏตัวที่นี่ เจ้าก็คงปัดทุกสิ่งพ้นตัวได้หมดจด แต่ในเมื่อจับได้คาหนังคาเขา เจ้ายังมีสิ่งใดจะพูดหรือไม่”

จีอู๋ซวงก็ไม่อยากมาปรากฏตัวเช่นกัน เขารู้ว่าหากตนเองถูกนายน้อยจับได้ย่อมปัดความเกี่ยวข้องไม่พ้น แต่ผู้ใดให้เฉียวเวยร้ายกาจเกินไปเล่า มือสังหารที่เขาส่งมาถูกกำจัดจนหมด เขาจึงถูกบีบให้ออกมาเอง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกล่าวอย่างปวดใจ “ไก่เฒ่า เจ้าพูดความจริงมา เจ้าคิดจะแปรพักตร์จากนายน้อยใช่หรือไม่”

จีอู๋ซวงตอบด้วยความโมโห “จะเป็นไปได้อย่างไร ความภักดีที่ข้ามีต่อนายน้อย ตะวันจันทราเป็นพยาน!”

จีหมิงซิวหัวเราะ “สังหารผู้หญิงของนาย นี่คือความภักดีต่อนายของเจ้าหรือ”

จีอู๋ซวงเอ่ยอย่างดื้อรั้น “นายน้อยต้องทำการใหญ่ สตรีฐานะเช่นนางมีแต่จะเป็นตัวถ่วงของนายน้อย! นายน้อยต้องการสตรีที่ช่วยเหลือนายน้อยได้ มิใช่หญิงสาวบ้านนอกที่แม้แต่ประตูจวนของตระกูลยังเดินเข้าไปไม่ได้…”

พูดยังไม่ทันจบ จีหมิงซิวก็ฟาดฝ่ามือใส่เขาจนร่างกระเด็นไปชนขอบประตูอย่างแรง แล้วร่วงลงไปกระแทกพื้นเสียงดัง ปากกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

สองตาของจีหมิงซิววาวโรจน์ดุจคบเพลิง “เรื่องของข้า ผลัดถึงตาเจ้าตัดสินใจตั้งแต่เมื่อใด ข้าไม่ได้สั่งสอนคนมานานเกินไปแล้วใช่หรือไม่ เจ้าลืมแล้วสินะว่าผู้ใดคือนายของเจ้า อย่าคิดว่าเจ้าติดตามข้างกายข้ามานาน แล้วข้าจะมิกล้าลงมือกับเจ้า! สือชี!”

สือชีหันไปมองจีหมิงซิวด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

จีหมิงซิวเอ่ยทีละคำ “โยนเขาลงไปในบ่อเยือกแข็ง!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยผวา “นายน้อยโปรดระงับโทสะ! บ่อเยือกแข็งลงไปไม่ได้นะขอรับ!”

บ่อเยือกแข็ง เป็นดังเช่นนาม มันคือสถานที่หนาวเย็นที่สุด จีหมิงซิวเกิดมามีปราณหยางบริสุทธิ์ที่บริสุทธิ์ผิดปกติสายหนึ่งก็ยังมิอาจต้านทานการกัดกร่อนของบ่อเยือกแข็งได้ จีอู๋ซวงยิ่งไม่ได้

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใจร้อนรนดั่งเพลิงผลาญ “จีอู๋ซวงทำเกินไปก็จริง พูดตามตรงข้าก็อยากตบเขาสักสองฉาดหนักๆ! แต่นายน้อย ท่านเห็นแก่ที่เขาภักดีมานาน เปลี่ยนวิธีลงโทษเขาเถิด! หากลงไปในบ่อเยือกแข็ง เขาย่อมสิ้นวรยุทธ์! นายน้อย! นายน้อย!”

จีหมิงซิวไม่สนใจคำอ้อนวอนของเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ให้สือชีจับคนออกไป

“นายน้อย…”

จีหมิงซิวมองมาด้วยแววตาอันตราย “เจ้าอยากลงไปในบ่อเยือกแข็งด้วยหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหุบปากฉับ

ด้านในคฤหาสน์ สายลมยามค่ำโชยพัดเย็นฉ่ำ

เฉียวเวยนอนอยู่บนเตียงป๋าปู้อันอ่อนนุ่มอย่างเงียบๆ

ทุกสิ่งในคฤหาสน์ถูกอากุ้ย ชีเหนียง เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์จัดการเก็บกวาดจนเรียบร้อยแล้ว พี่น้องค่ายวายุทมิฬกลับไปแล้ว พร้อมกับไข่เยี่ยวม้าที่เพิ่งหมักเสร็จโถหนึ่งจากโรงงานและเนื้อรมควันที่เฉียวเวยทำด้วยตนเองอีกสองชิ้นใหญ่ อย่าให้พูดว่าพวกเขาเบิกบานใจมากเพียงใด!

จีหมิงซิวเดินไปดูลูกๆ ที่ห้อง วั่งซูหลับสบาย

แต่จิ่งอวิ๋นลืมตาโต

เขาคงได้ยินเสียงเอะอะของเรื่องในคืนนี้แล้ว

จีหมิงซิวนั่งลงข้างเตียงแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำแต่อ่อนโยน “ไม่มีอะไรแล้ว”

จิ่งอวิ๋นมองเขานิ่งๆ

ฝ่ามือใหญ่ของเขาวางลงบนดวงตาทั้งคู่ของเด็กน้อยอย่างแผ่วเบา “หลับเถิด”

กลางฝ่ามือของเขาอบอุ่นอันชวนให้คนใจสงบ เหมือนกับ…ฝ่ามือของบิดา

หัวใจของจิ่งอวิ๋นค่อยๆ สงบลง เขาหลับตาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา

ตอนที่จีหมิงซิวกลับมาในห้อง เฉียวเวยก็หลับแล้ว

ความตระหนกหวาดกลัวที่เผชิญมาตลอดทั้งคืนรีดเค้นแรงใจของสตรีนางนี้ไปจนเหลืออยู่มิเท่าไร ร่างกายของนางนอนขดเป็นก้อน ใบหน้าน้อยซีดเผือด

จีหมิงซิวลูบหน้าผากของนางอย่างปวดใจ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ แววตาก็ค่อยๆ มืดทะมึนขึ้นอีกหน “เยี่ยนเฟยเจวี๋ย”

“นายน้อย” เยี่ยเฟยเจวี๋ยเปิดประตูเข้ามา คำนับอย่างนอบน้อม นายน้อยในค่ำคืนนี้ทำเขากลัวแทบตายแล้ว เขาไม่กล้าทำตัวไร้มารยาทอีกต่อไป

จีหมิงซิวสีหน้าเย็นยะเยือก “สืบรู้หรือยัง มีนายจ้างวานให้สังหารคนจริงหรือไม่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยประสานมือตอบ “ตอบนายน้อย ข้าสอบสวนมือสังหารหลายคนนั้นแล้ว มีนายจ้างให้เงินจำนวนมากเพื่อเอาชีวิตของเฉียวซื่อกับเฉียวปั๋วจริงๆ”

ทั้งสองคนทราบจากปากของชีเหนียงกับอากุ้ยแล้วว่าคนผู้นั้นคือบิดาที่ ‘ล่วงลับไปหลายปีแล้ว’ ของเฉียวเวย สิ่งที่บังเอิญยิ่งกว่าก็คือเขาเป็นหมอที่เคยช่วยชีวิตจิ่งอวิ๋นไว้อีกด้วย แม้สติไม่ดี แต่เป็นคนดีคนหนึ่ง

จีหมิงซิวมุ่นคิ้วน้อยๆ “บิดาของนางด้วยหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับนายน้อย จ้างวานสังหารเป็นเรื่องจริง เรื่องนี้ไม่ใช่ความคิดของจีอู๋วงคนเดียว จีอู๋ซวงมีความผิด แต่ผิดที่ไม่อาจควบคุมตนเองให้ดี…”

จีหมิงซิวขัดเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ดูท่าเจ้าจะอยากไปบ่อเยือกแข็งเป็นเพื่อนเขามากนะ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเม้มปาก

นายน้อยเหี้ยมเกินไปแล้วจริงๆ ขัดใจหนเดียวก็โยนคนเข้าไปในบ่อเยือกแข็ง นี่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าสังหารจีอู๋ซวงเสียอีก

ไม่รู้ว่าฝันถึงเรื่องไม่ดีหรือเปล่า ร่างของเฉียวเวยจึงขดเข้าหากัน

จีหมิงซิวลูบหลังนางอย่างแผ่วเบา เหมือนกำลังปลอบเด็กน้อยที่หลับไม่สบายคนหนึ่ง “ไปสืบมาว่าคนจ้างวานคือผู้ใด”

“ขอรับ!”

ค่ำคืนอันงดงาม จวนเอินปั๋วแขวนโคมสีแดงสด มีแต่ความรื่นเริงยินดี

สวีซื่อตรวจบัญชีของหอหลิงจือ พลางฟังเสียงขับร้องบทเพลงที่ดังมาจากสวนด้านนอก

นับตั้งแต่ได้ฟังละครสองสามเรื่องตอนงานฉลองวันนั้น สวีซื่อก็หลงใหลการฟังละคร นางปรึกษากับนายท่าน แล้วเลี้ยงดูนางงิ้วสองสามคนไว้ในจวน ยามว่างจากงานก็ให้ร้องสักเพลงสองเพลง เพลิดเพลินใจยิ่งนัก

ฟังมาได้เกือบครึ่งชั่วยาม ความหวาดผวาจากการพบคุณหนูใหญ่เฉียวกับวิญญาณของเฉียวเจิงก็ดีขึ้นมาก

“ฮูหยิน ดื่มชาเจ้าค่ะ” หลินมามายิ้มตาหยียกชาถ้วยหนึ่งเข้ามา

สวีซื่อยกถ้วยชาขึ้นจิบนิดๆ “นางคนต่ำช้านั่นไม่มาก่อเรื่องแล้วใช่หรือไม่”

หลินมามาตอบอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “แน่นอนว่าไม่มาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่บอกแล้วว่าผ่านพ้นคืนนี้ไป ไม่ว่าคุณหนูใหญ่เฉียวหรือเฉียวปั๋ว ทั้งหมดล้วนจะหายไปจากสายตาของพวกเรา! ท่านน่ะ นั่งอยู่ในตำแหน่งโหวฮูหยินให้มั่น ดื่มด่ำกับความสุขก็พอแล้วเจ้าค่ะ!”

สวีซื่อยิ้ม “เป็นเช่นนี้ดีที่สุด แล้วคุณชายไปไหนแล้วเล่า”

หลินมามายิ้มตอบว่า “คุณชายนัดสหายสองสามคนไปชุมนุมกวี น่าจะใกล้กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

“ฮูหยิน! ฮูหยินแย่แล้วเจ้าค่ะ!” ตานจวี๋วิ่งโซเซเข้ามา “คุณชายใหญ่เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”