เล่ม 1 ตอนที่ 124-1 บทสรุป จิ่งอวิ๋นฟื้น

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 124-1 บทสรุป จิ่งอวิ๋นฟื้น

จิ่งอวิ๋นฟื้นขึ้นมาในคืนวันที่สองหลังจากถูกช่วยกลับมา เฉียวเวยหลับจนถึงเที่ยงคืนก็รู้สึกว่ามีมือน้อยข้างหนึ่งมาจับนาง นางลืมตาขึ้นก็เห็นจิ่งอวิ๋นลืมตามองนางอย่างไร้เดียงสาและน่ารักน่าชัง

เฉียวเวยแตะหน้าผากของเขา ยังร้อนอยู่เล็กน้อย เฉียวเวยพูดเบาๆ “ทรมานหรือไม่”

จิ่งอวิ๋นส่ายหน้า ศีรษะเล็กๆ ซุกเข้ามาหาซอกคอของมารดาแล้วถูไถอย่างโหยหา

เฉียวเวยลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ “อยากดื่มน้ำหรือไม่”

จิ่งอวิ่นพยักหน้า

เฉียวเวยรินน้ำอุ่นครึ่งถ้วยให้จิ่งอวิ๋นแล้วป้อนให้เขาดื่ม จากนั้นบอกว่า “แม่จะต้มข้าวต้มให้เจ้า”

จิ่งอวิ่นพยักหน้าเล็กน้อยอีกหน

ยามดึกร้างไร้ผู้คน ห้องครัวไม่มีคนอยู่นานแล้ว เฉียวเวยต้มข้าวต้มหม้อหนึ่งอย่างเงียบเชียบ

เมื่อกลับมาถึงห้อง จิ่งอวิ๋นก็นั่งขัดสมาธินิ่งๆ อยู่บนเตียง เฉียวเวยเห็นแล้วปวดใจแทบแย่ นางอุ้มเขามาไว้บนตักแล้วป้อนข้าวต้มให้เขาครึ่งถ้วย

“ง่วงหรือไม่” เฉียวเวยวางชามลงแล้วถามขึ้นมา

จิ่งอวิ๋นส่ายหน้า

“แม่จะอุ้มเจ้าออกไปเดิน” เฉียวเวยถอดเสื้อผ้าที่ชื้นเหงื่อของจิ่งอวิ๋น แล้วสวมเสื้อผ้าฝ้ายที่ถ่ายเทอากาศได้ดีตัวหนึ่ง จากนั้นอุ้มจิ่งอวิ๋นเข้าไปในสวน

จิ่งอวิ๋นยอมให้ผู้อื่นอุ้มน้อยครั้ง เขามักจะทำท่าเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อย วางท่าเป็นผู้ใหญ่อย่างยิ่ง มีแต่ยามป่วยจนทรมานไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงเกาะอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวยเป็นเด็กน่ารักน่าชังคนหนึ่ง

เฉียวเวยอุ้มเขาเดินเบาๆ อยู่ในสวน ไม่นานหนังตาของจิ่งอวิ๋นก็หนักอึ้งแล้วหลับไป

ทว่าเมื่อเฉียวเวยวางจิ่งอวิ๋นลงบนเตียง จิ่งอวิ๋นก็ตื่นขึ้นมาอีก

เฉียวเวยอุ้มเขาเดิน เขาก็หลับ พอวางลงบนเตียงก็ตื่นขึ้นมาอีก

เขาตื่นมาก็ไม่พูดไม่จา เกาะอยู่ในอ้อมกอดของเฉียวเวยเช่นนั้น

เฉียวเวยรู้ดีว่าเขาตกใจกลัว อีกทั้งไข้สูงทำให้สมองมึนงง ไม่ทราบว่าจะกดเก็บความกลัวนั่นลงไปได้อย่างไร เฉียวเวยปวดใจแทบจะไม่ไหว อุ้มเขาเดินอยู่ในสวนตลอดทั้งคืน

ค่ำคืนบนคฤหาสน์กลางภูเขา เงียบสงัดและหงอยเหงา

จีอู๋ซวงจับชีพจรให้คนบนเตียงหยกเหมันต์เสร็จก็ถอนหายใจดังเฮือก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรีบร้อนเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเหนื่อยล้า “เป็นอย่างไร จีอู๋ซวง”

จีอู๋ซวงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังจะเป็นอย่างไรได้ เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ เพิ่งห่างจากอาการกำเริบครั้งก่อนนานเท่าใด ก็ก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ารังเกียจว่าชีวิตตนเองยืนยาวเกินไปใช่หรือไม่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทราบอยู่แล้วว่าต้องถูกด่า เดิมทีเขาคิดจะหลบอยู่ที่เรือนสี่ประสาน แต่สุดท้ายเป็นห่วงความปลอดภัยของนายน้อยยิ่งนักจึงวิ่งโร่มา “เจ้าไม่ใช่หมอเทวดาหรอกหรือ เหตุไฉนป่วยเล็กน้อยเท่านี้ก็ยังรักษาไม่ได้”

มีลมปราณที่กัดกินร่างกายตนเองมาตั้งแต่กำเนิด นี่เรียกว่าป่วยเล็กน้อยหรือ จีอู๋ซวงอยากจะผ่าสมองของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกมาดูจริงๆ ว่าข้างในมีอะไรอยู่กันแน่!

“ข้าหมายถึงว่าเจ้ารักษามาหลายปีขนาดนี้ อย่างไรก็สมควร…ดีขึ้นสักนิดหนึ่งสิ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโยนความผิดให้พ้นตัวอย่างหน้าตาเฉย

จีอู๋ซวงไม่อยากให้ดีขึ้นเสียที่ไหน หลายปีนี้เขาค้นหาวิธีรักษาลมปราณสายนั้นมาตลอด แต่สุดท้ายก็ไม่สมหวัง ทำได้เพียงใช้หยกเหมันต์กับสมุนไพรสะกดมันไม่ให้พลุ่งพล่าน เริ่มแรกไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพร หยกเหมันต์ก็ปรามมันได้อย่างสมบูรณ์แล้ว จีหมิงซิวในสมัยนั้นไม่ต่างจากคนปกติ ถึงขนาดที่ฝึกวรยุทธ์ได้ ทว่าเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ลมปราณสายนั้นก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น หยกเหมันต์กดมันไว้ไม่ได้ จีอู๋ซวงจึงต้องเพิ่มสมุนไพรเข้ามาด้วยและเตือนจีหมิงซิวว่านับจากนี้มิอาจใช้วรยุทธ์ได้อีก

เพราะทุกครั้งที่เคลื่อนกำลังภายในจะชักนำลมปราณสายนี้มาด้วย จนสร้างความเสียหายให้เส้นลมปราณอย่างใหญ่หลวง จีอู๋ซวงจำไม่ได้แล้วว่าตนเองพร่ำบ่นมากี่หน แต่นายน้อยกลับไม่เก็บคำพูดของเขามาใส่ใจ

ไม่เพียงนายน้อยที่เป็นเช่นนี้ ลูกน้องอีกหลายคนก็เป็นเช่นนี้ด้วย

จีอู๋ซวงมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าอย่าคิดโยนความผิดมาให้ข้า ครั้งก่อนตอนเจ้าไปจากคฤหาสน์กลางภูเขา รับปากกับข้าไว้อย่างไร”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบจมูก “ไม่ใช่ความผิดข้าสักหน่อย ก็ข้ากับนายน้อยแยกกันเคลื่อนไหว”

“เหตุใดต้องแยกกันเคลื่อนไหว ไม่รู้หรือว่าร่างกายของนายน้อยสภาพไม่ดี” จีอู๋ซวงทำหน้าเหมือนจะบอกว่าเจ้าอย่าคิดมาหลอกข้า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเล่าเรื่องในวันนั้นให้จีอู๋ซวงฟังพอประมาณแล้ว แน่นอนจีอู๋ซวงก็มีสายสืบของตนเองด้วย เขาเป็นคนที่อยู่ ‘ห่าง’ จากนายน้อยมากที่สุด แต่กลับเป็นคนที่เข้าใจนายน้อยมากที่สุด หากไม่นับไห่สือซาน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลอกเขาไม่ได้ จึงได้แต่ตอบตามตรง “สถานการณ์ตอนนั้นเร่งด่วนมาก”

“ชีวิตของเด็กน้อยคนนั้นสำคัญหรือว่าชีวิตของนายน้อยสำคัญ” จีอู๋ซวงถาม

“แน่นอนว่าของ…นายน้อย” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบอย่างแค้นใจ

ชีวิตของนายน้อยไม่ได้เป็นของเขาเพียงคนเดียว แต่ยังเป็นของพวกเขาเจ็ดคนด้วย นายน้อยรอด พวกเขาจึงจะรอด หากนายน้อยตาย พวกเขาสักคนก็อย่าหวังจะมีชีวิตอยู่

คำสาบานนี้เหมือนกับเชือกที่ตัดไม่ขาด ผูกพวกเขาเจ็ดคนไว้บนเรือของนายน้อยอย่างแน่นหนา

หากพวกเขาไม่อยู่ เรือยังล่องต่อได้ แต่หากเรือจมลง พวกเขาล้วนต้องทิ้งร่างอยู่ในทะเลอันเวิ้งว้าง

ดังนั้นบนโลกนี้ผู้ใดจะเกิดเรื่องก็ได้ แต่นายน้อยไม่ได้

“ตอนนี้เจ้านึกได้แล้วหรือ” จีอู๋ซวงถามเสียงขรึม

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเถียงหน้าตาย “ข้าไม่เคยลืมเสียหน่อย”

แต่มันจนหนทางจริงๆ จิ่งอวิ๋นตกน้ำ ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงนายน้อย แม้แต่เขาก็ยินดีสละชีวิตของตนแลกเด็กน้อยคนนั้นกลับมา

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอนยังหนุ่มสังหารคนมามากที่สุดแท้ๆ แต่กลับใจอ่อนที่สุด นี่เป็นจุดที่ทำให้จีอู๋ซวงปวดหัวยิ่งนัก จีอู๋ซวงเปลี่ยนประเด็น “นายน้อยรักเด็กคนนั้นมากเกินไปแล้ว เขายังอายุน้อย วันหน้าย่อมมีลูกอีกมาก หวังว่าเขาจะเข้าใจในเร็ววันว่าไม่มีชีวิตผู้ใดสำคัญกว่าของตัวเขาเอง”

ทันใดนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ยกมือชี้หน้าจีอู๋ซวงด้วยท่าทางพิลึกกึกกือ “ประเดี๋ยวก่อน วันหน้าย่อมมีลูกอีกมากหมายความว่าอย่างไร”

“ก็หมายความตามตัวอักษร” จีอู๋ซวงตอบเสียงราบเรียบ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยย่อยข้อมูลอยู่สักพัก คิ้วก็เลิกสูง “จิ่งอวิ๋นเป็นลูกของนายน้อยหรือ!”

ในหมู่พวกเขาเจ็ดคน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกปิดกั้นข่าวสารมากที่สุด เหตุผลมิใช่อื่นใด แต่เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจ้าหมอนี่ก็ปากไม่มีหูรูด ไม่ระวังทีไรก็เผลอหลุดปาก ตัวอย่างเช่นครั้งนี้เรื่องที่นายน้อยร่วมราตรีกับผู้อื่นก็เป็นเขาที่หลุดปากออกมาอย่างไม่ทันระวัง

เพื่อลงโทษเขา พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลอันใดให้เขาอีก

จีอู๋ซวงไม่คิดจะตอบ เขาเก็บเข็มเงินเรียบร้อยก็ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยึดหัวไหล่เขาไว้ “ไก่เฒ่า พูดให้รู้เรื่องก่อนค่อยไป เด็กเป็นลูกของนายน้อยจริงหรือ”

จีอู๋ซวงแค่นเสียงดังเหอะ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขยับนิ้ว ทันใดนั้นอาวุธลับรูปกลีบดอกเหมยหลายชิ้นก็ปรากฏออกมาตรงซอกนิ้ว ปลายแหลมของอาวุธลับจรดอยู่ตรงสะโพกของจีอู๋ซวง “คิดจริงๆ หรือว่าบิดาทำอันใดไก่แก่สารพัดพิษอย่างเจ้าไม่ได้ หากไม่พูดอีก บิดาจะเจื๋อนน้องชายเจ้าทิ้ง!”

ไอ้คนหน้าไม่อาย!

จีอู๋ซวงโกรธหัวฟัดฟัวเหวี่ยงตอบว่า “แล้วทำไมเจ้าไม่รอนายน้อยฟื้นขึ้นมาแล้วถามเขาเอง”

“ข้าอยากจะรู้ตอนนี้” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่มีทางยอมรับว่าเขาเดาออกแล้วว่านายน้อยเองก็ไม่ต้องการเปิดเผยให้เขารู้ เขากล้าบีบจีอู๋ซวง แต่ไม่กล้าบีบนายน้อย

จีอู๋ซวงแค้นนักที่ตีเหล็กเป็นเหล็กกล้าไม่สำเร็จ “เจ้ามันก็ทำเป็นเก่งได้เท่านี้แหละ!”

เฉียวเวยพักอยู่ที่เรือนสี่ประสานสามวัน จิ่งอวิ๋นแข็งแรงขึ้นทุกวัน ไข้ลดลงแล้ว คนก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วย

เรื่องราวในวันนั้น จิ่งอวิ๋นจดจำได้ไม่มากนัก จำได้แต่ว่าตนเองถูกติงเสี่ยวอิงโยนลงน้ำ กระแสน้ำไหลแรงมาก เพียงพริบตาเดียวตนเองก็ถูกแรงน้ำพัดจากไป ตนดิ้นรนอยู่ในน้ำระยะหนึ่ง สำลักน้ำเข้าไปหลายคำ หลังจากนั้นก็ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ แล้ว ขึ้นฝั่งได้อย่างไร ถูกพัดไปที่ใด ถูกผู้ใดช่วยไว้ เขาไม่รู้สักสิ่ง ลืมตาตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่เรือนสี่ประสาน มีท่านแม่กับน้องสาวอยู่ข้างกายแล้ว

หลังจากหมิงซิวใช้กำลังภายในก็ถูกผลสะท้อนกลับทันที เขาอาศัยความมุ่งมั่นจึงรอจนกระทั่งเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาถึง พอส่งจิ่งอวิ๋นให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเสร็จ สั่งได้ไม่กี่คำก็ล้มลง

ดังนั้นสิ่งที่จิ่งอวิ๋นประสบภายในถ้ำภูเขา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเองก็ไม่ทราบมากนัก

หากจะบอกว่ามีสิ่งใดที่ทำให้จิ่งอวิ๋นจดจำได้ ‘ลึกซึ้ง’ ก็คงเป็นเท้าที่เหยียบลงบนท้องหนึ่งครั้งนั่น

“มีคนเหยียบท้องของข้า”

เฉียวเวยขานตอบอย่างงุนงง เพราะกังวลว่าลูกชายจะบาดเจ็บ หลังจากพบลูกชาย นางจึงตรวจดูทั่วร่างลูกชายอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วรอบหนึ่ง แม้แต่พวงไข่น้อยก็ไม่เว้น บาดแผลขีดข่วนมีอยู่บ้าง แต่ไม่ร้ายแรง ตรงท้องนางก็ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่พบรอยช้ำเด่นชัด

หากถูกคนเหยียบมา ผิวที่บอบบางเช่นนี้ จะมากจะน้อยก็สมควรทิ้งร่องรอยไว้สักหน่อย

“ลูกฝันไปหรือเปล่า” เฉียวเวยถามอย่างไม่มั่นใจ

วั่งซูยิ้มจนตาหยีกล่าวว่า “ข้ารู้แล้วๆ ต้องเป็นหนูตัวกระจิดริดเหยียบแน่!”

จูเอ๋อร์ที่กำลังนั่งแทะเนื้อหนูนาราดซีอิ๋วอยู่ข้างกายหมอพเนจรจามอย่างแรงครั้งหนึ่ง!

“ท่านพี่ พวกเราออกไปเล่นกันเถิด!” วั่งซูกระโดดลงจากเตียง กะพริบดวงตาคู่โตเอ่ยชวน

จิ่งอวิ๋นมองเฉียวเวย “ท่านแม่ข้าออกไปได้หรือไม่”

เฉียวเวยลูบหน้าผากที่ไม่ร้อนแล้วของเขา จากนั้นพยักหน้าอนุญาต

เด็กน้อยสองคนจูงมือกันไปที่สวน

ก่อนหน้านี้ยามไม่มีเด็กๆ เรือนสี่ประสานเงียบเหงายิ่งนัก พูดจามิอาจเสียงดัง บรรยากาศกดดันอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้มีเจ้าตัวน้อยสองคนวิ่งเล่น เมฆหมอกอึมครึมชวนกดดันนั่นก็ถูกเป่าหายไปในพริบตา แสงตะวันทอดส่องสวนให้มีชีวิตชีวาขึ้นหลายส่วน

บ่าวทั้งหลายที่ทำงานอยู่ มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้

ลี่ว์จูยกถั่วเขียวต้มที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ มาจากห้องครัว แล้ววางถ้วยสองใบไว้บนโต๊ะหินในสวน จากนั้นยกอีกถ้วยหนึ่งไปยังเรือนตะวันออก พอก้าวข้ามธรณีประตูก็เห็นเฉียวเวยกำลังพับเสื้อผ้า นางวางถาดลงบนโต๊ะกลม แล้วเดินเข้าไปบอกว่า “ฮูหยินปล่อยให้ข้าทำเถิด”

เฉียวเวยยิ้ม “ไม่จำเป็น อีกเดี๋ยวก็เก็บเสร็จแล้ว”

“เก็บเสร็จแล้ว?” ลี่ว์จูกวาดสายตามอง เห็นสัมภาระที่เฉียวเวยวางไว้บนโต๊ะ “ฮูหยินจะไปแล้วหรือ”

เฉียวเวยพับกางเกงตัวน้อยของจิ่งอวิ๋น “จิ่งอวิ๋นหายดีประมาณหนึ่งแล้ว ข้าก็สมควรกลับได้แล้ว” หลายวันนี้มีงานสะสมอยู่ไม่น้อย น่ากลัวว่านางกับพวกชีเหนียงจะต้องทำงานล่วงเวลากัน

“พักต่ออีกสักสองสามวันเถิดเจ้าค่ะ” ลี่ว์จูเอ่ยรั้ง ก่อนหน้านี้นางรั้งฮูหยินไว้เพื่อเอาใจนายท่าน แต่ตอนนี้นางชอบบ้านที่ครึกครื้นมากจริงๆ เด็กน้อยทั้งสองคนช่างชวนให้คนหลงรักยิ่งนัก ฮูหยินก็เป็นมิตรอย่างยิ่ง ไม่ถือตัวแต่อย่างใด

เฉียวเวยเก็บรองเท้าผ้าสีชมพูคู่น้อยขิงวั่งซูเรียบร้อยก็กล่าวว่า “หากไม่ไปอีก ข้าคงไม่มีสินค้าส่งแล้ว”

ลี่ว์จูก็พอทราบว่าเฉียวเวยทำกิจการค้าขายอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่สะดวกรั้งคนไว้จริงๆ

“นายท่านของเจ้า…” เฉียวเวยเอ่ยขึ้นเหมือนไม่ได้จงใจ “ข้ารอเขาไม่ไหว คงไม่ได้บอกขอบคุณเขาด้วยตนเอง เจ้าช่วยบอกแทนข้าสักหน่อย”

“ข้าก็ไม่ทราบว่าจะได้บอกต่อหรือไม่“ ลี่ว์จูเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม

เฉียวเวยแววตาวูบไหว มือพับเอี๊ยมตัวน้อยของวั่งซูโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “อะไรกัน เขาจะไม่กลับมาแล้วหรือ”

ลี่ว์จูคิดครู่หนึ่งก็ยิ้ม “กลับ…น่าจะกลับมานะเจ้าคะ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด แล้วตอนกลับมาข้าก็อาจไม่อยู่ พี่สาวของข้ากำลังจะแต่งงาน อีกไม่กี่วันข้าต้องกลับบ้าน แล้วต้องอยู่ที่บ้านสามวันถึงห้าวัน”

“ยินดีกับพี่สาวของเจ้าด้วย” ห่อสัมภาระใส่ไม่พอ เฉียวเวยจึงพยายามยัดของลงไปแล้วกล่าวต่อว่า “เขาออกไปทำงานบ่อยหรือ”

ลี่ว์จูส่ายหน้า “ความจริงออกไปทำงานไม่บ่อยนัก ส่วนมากจะเป็นเรื่องส่วนตัวของนายท่านเอง”

เรื่องส่วนตัวอันใดลึกลับเช่นนี้ มือที่ออกแรงกดเสื้อผ้าของเฉียวเวยออกแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

“ใต้เท้าเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ” ทันใดนั้นลี่ว์จูก็เอ่ยขึ้นมา

มือที่กดเสื้อผ้าของเฉียวเวยพลันหยุดชะงัก “เจ้าฟังผู้ใดบอกมา”

“องครักษ์เยี่ยน” ลี่ว์จูตอบ

นิสัยเสียปากเปราะของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไปที่ใดก็แผลงฤทธิ์ไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่นางน้อยที่รู้จักกันมานาน ปากหวานแล้วยังนอบน้อมเคารพเขา ไม่ทันระวังเพียงวูบเดียวก็ทำข่าวรั่วแล้ว

แต่เขาทำข่าวรั่วออกมาเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ลี่ว์จูเองก็ไม่ทราบมากกว่านี้ แต่ถึงจะไม่ถาม เฉียวเวยก็พอจะเดาได้คร่าวๆ ก่อนหาจิ่งอวิ๋นพบเขายังสภาพดีๆ อยู่เลย คิดว่าระหว่างที่ค้นหาคงบาดเจ็บเข้า ไม่รู้ว่าหนักหนาหรือไม่

น้ำในทะเลสาบเดือนหก ตอนเช้ากับตอนเย็นจะหนาวเย็น แช่น้ำนานเกินไป ร่างกายจะสูญเสียความรู้สึก ต่อให้หนาวอีกเท่าใดก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว

ติงเสี่ยวอิงถูกเชือกมัดให้ครึ่งร่างแช่อยู่ในน้ำ ถูกแช่อยู่นานเท่าใด ตนเองก็จำไม่ได้ แม้แต่ความเจ็บปวดที่หัวไหล่ก็ลืมไปแล้ว ทั้งร่างชาจนราวกับว่ามิใช่ร่างของตนเอง ส่วนเดียวที่ยังคงมีความรู้สึกคือตรงหน้าอกและลมหายใจที่ทุกข์ทรมาน

แต่ทุกครั้งที่นางแน่นหน้าอกจนเหมือนใกล้จะตายแล้ว บุรุษที่อยู่ด้านบนก็จะดึงนางขึ้นมาจากน้ำ รอนางอาการทุเลาลงเล็กน้อยก็หย่อนนางลงน้ำไปอีก

นางไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะสิ้นสุด

สิ่งที่ทรมานเสียยิ่งกว่าความตายก็คงเป็นความรู้สึกที่รอคอยความตายอยู่ทุกชั่วขณะ แต่มิรู้ว่าความตายจะมาเยือนเมื่อใด

บนฝั่งมีผู้คนมองดูอยู่เป็นรยะ เริ่มแรกนางสนใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้นางไม่สนใจแล้ว

ใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังจะสนใจว่าผู้อื่นคิดเช่นไรไปทำไม

ไข่เน่าอีกฟองหนึ่งกระแทกบนใบหน้าของนาง

พอตายก็ได้รับการปลดปล่อยแล้ว

เมื่อได้ยินว่าหาเด็กคนนั้นพบแล้ว นางก็คาดว่าอีกไม่นานคงจะหลุดพ้นเสียที

ตอนแรกนางยังอยากมีชีวิตอยู่จริงๆ แต่ความทรมานหลายวันที่ผ่านมาทำให้นางไม่มีความกล้าจะมีชีวิตอยู่อีกแล้ว

“ติงเสี่ยวอิง”

ทันใดนั้นเหนือศีรษะก็มีเสียงอันคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้น ติงเสี่ยวอิงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก แสงตะวันเหนือศีรษะทิ่มแทงดวงตาของนางในพริบตา นางหลับตาลงอย่างเจ็บปวด จากนั้นฝืนมองสู้แสงจ้าจนเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัด “เจ้าเองหรือ”

สุ้มเสียงแหบพร่า “ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”

เฉียวเวยเท้าราวกั้น ก้มมองนางจากที่สูง “ต้องขอบคุณเจ้า ลูกชายข้าจึงล้มป่วยหนัก วันนี้เพิ่งหายดี”

“ทำไมเขาไม่จมน้ำตายไปเสียนะ!” ติงเสี่ยวอิงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง

เฉียวเวยไม่โมโห สายตาจ้องนางนิ่ง “เดิมทีข้ารับปากเจ้าว่าขอเพียงข้าตามหาลูกชายกลับมาได้ ข้าจะให้เจ้าไปสบาย แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

ติงเสี่ยวอิงแววตาสั่นระริก “เจ้าจะปล่อยข้าหรือ”

เมื่อมีความหวังว่าจะมีชีวิตรอด ดวงตามืดหม่นของติงเสี่ยวอิงก็เป็นประกาย ตั้งแต่แรกตนเองก็ไม่ต้องการตาย แต่ทราบว่าต้องตายแน่จึงไม่กล้ามีความหวัง

แต่สตรีนางนี้พูดอะไร นางเปลี่ยนใจแล้ว นางไม่สังหารตนแล้ว!

เฉียวเวยเห็นอากัปกิริยาราวกับรอดพ้นภัยแล้วของนางก็ทราบว่านางเข้าใจผิด “ดูท่าหลายวันนี้เจ้าจะไม่สำนึกสักนิด คนพรรค์ไหนทำเรื่องเช่นนั้นกับเด็กน้อยคนหนึ่งแล้วยังมีหน้าอยู่บนโลกต่อ อย่าคิดว่าเด็กไม่เป็นอะไรแล้วจะเท่ากับว่าเจ้าไม่มีความผิดไปด้วย”

ติงเสี่ยวอิงสะอื้น “ข้าจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว…”

เฉียวเวยเอ่ยขัดนางอย่างเฉยชา “เจ้าจะทำเรื่องโง่อีกหรือไม่ ไม่เกี่ยวข้องกับข้า ไม่ว่าอย่างไรหลังจากนี้ข้าก็จะไม่เห็นหน้าเจ้าอีกแล้ว”

ติงเสี่ยวอิงหน้าถอดสี “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

“ใต้เท้า” เฉียวเวยหมุนตัวไปมองเจ้าเมืองที่อยู่ด้านข้าง