บทที่ 388 เด็กที่ถูกรังแก

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

โสรยาผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงหัวเราะออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคุณวารุณี การแข่งขันระดับนานาชาติถือเป็นการตัดสินแพ้ชนะของพวกเราก็แล้วกัน”

“ได้” วารุณีพยักหน้า

จากนั้นโสรยาก็ดึงมือกลับ แล้วเดินนำหน้าเธอเข้าโรงแรมไป

วารุณีมองดูด้านหลังของโสรยาที่เดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอค่อย ๆ จางหาย กลายเป็นใบหน้าที่ไร้อารมณ์เข้ามาแทนที่

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าโสรยานั้นดูคุ้นเคย

ตอนที่ยังไม่พบกับโสรยา เธอเคยสงสัยว่าโสรยาก็คือพิชญา แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่

แล้วความรู้สึกขึ้นเคยนี้มาจากไหนกันแน่ ?”

วารุณีปิดตาลง แล้วครุ่นคิดอยู่สักพัก แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าเคยเจอกับโสรยาที่ไหน จนในที่สุด เธอจึงคิดไปว่าอาจเคยพบกันผ่าน ๆ ในช่วงที่อยู่ต่างประเทศ แต่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเท่านั้น

แต่ดูเหมือนเธอเองคงต้องระวังโสรยาคนนี้เอาไว้ให้มาก

เธอมองออกว่า โสรยามีความเกลียดชังต่อเธอแปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นความแค้น หรือเป็นเพียงเพราะอิจฉาเธอ เธอก็ต้องระวังให้มากอยู่ดี

เพราะคนประเภทนี้ก็เหมือนกับงูพิษที่คอยซุ่มโจมตีอยู่ ไม่รู้ว่าจะโผล่ออกมากัดเธอเข้าให้ตอนไหน

ขณะที่กำลังคิด วารุณีก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด และเก็บซ่อนความระแวดระวังเอาไว้ในใจ จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินเข้าโรงแรมไป

การสัมภาษณ์เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

วารุณีและโสรยานั่งอยู่บนโซฟาตัวยาว ส่วนพิธีกรนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

การสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย โดยหลักแล้วก็เพื่อสอบถามแนวคิดของวารุณีและโสรยาเกี่ยวกับเรื่องการออกแบบ รวมไปถึงการพัฒนาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

คำตอบของโสรยาและวารุณีนั้นแตกต่างกันไม่มาก ล้วนแล้วแต่พูดถึงแบรนด์เสื้อผ้าของจนเอง รวมไปถึงแบรนด์เสื้อผ้าระดับสูง

พิธีกรยิ้มแล้วพูดว่า : “ดูเหมือนว่าทั้งสองท่านจะเป็นคู่แข่งกันจริง ๆ ก็หน้านี้ดิฉันเคยได้ยินมาว่า ทั้งสองท่านจะเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติ โดยคุณวารุณีถือเป็นตัวแทนของประเทศเรา ส่วนคุณโสรยาถือเป็นตัวแทนของประเทศเกาหลี

ตัวแทนของประเทศเกาหลี ?

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ วารุณีถึงกับเลิกคิ้ว

ก่อนหน้านี้เธอเองก็รู้สึกแปลกใจ เพราะตัวเธอได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติมาครอบครองแล้ว จู่ ๆ โสรยาจะมีสิทธิ์เข้าร่วมได้อย่างไร

คิดไม่ถึงว่า โสรยาจะเข้าร่วมการแข่งขันในนามของตัวแทนประเทศเกาหลี

“ไม่มีทางเลือกค่ะ เพราะถ้าหากฉันไม่ตอบรับคำเชิญของประเทศเกาหลี ฉันก็คงไม่มีโอกาสแข่งขันกับคุณวารุณีได้ ตอนที่ฉันอยู่ต่างประเทศ ฉันได้ยินชื่อเสียงของคุณวารุณีมาไม่น้อย และรู้ว่าเธอเป็นศิษย์ของอาจารย์เมอร์เซเดอ ดังนั้นจึงอยากแข่งขันกับเธอดูสักครั้ง แต่ยังไม่เคยมีโอกาสสักที”

โสรยาหันมองวารุณี แล้วยิ้มอย่างมีนัย “ดังนั้นครั้งนี้ฉันจึงตอบรับคำเชิญของประเทศเกาหลี และถือเป็นการเติมเต็มความฝันของฉันเองด้วย”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” พิธีกรพยักหน้า จากนั้นจึงหันมองวารุณี “คุณวารุณีคะ คุณมีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องที่คุณโสรยาอยากที่จะแข่งขันกับคุณไหมคะ ?”

“ไม่มีอะไรจะพูดหรอกค่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้พวกเราทั้งสู้พยายามให้เต็มที่” วารุณีตอบอย่างสุภาพและเป็นทางการ

พิธีกรพอจะมองออกว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนนั้นไม่ปกติ เดิมทีคิดว่าพวกเธอทั้งสองคนจะเผยอะไรออกมาบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีใครยอมปริปากออกมา

“เอาล่ะค่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ขอจบการสัมภาษณ์ลงเพียงเท่านี้นะคะ ขอให้ทุกท่านสู้ให้เต็มที่ในการแข่งขันนะคะ” พิธีกรลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม

วารุณีและโสรยาเองก็ลุกขึ้นกล่าวขอบคุณเช่นกัน

จากนั้น พิธีกรก็เดินจากไป ภายในห้องพิเศษจึงเหลือเพียงแค่วารุณีและโสรยาเพียงสองคนเท่านั้น

จู่ ๆ โสรยาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าหนึ่งใบแล้วยื่นให้กับวารุณี “คุณวารุณี นี่คือนามบัตรออฟฟิศของฉัน หากมีโอกาสสามารถไปหาฉันได้ทุกเมื่อนะคะ”

วารุณีรับนามบัตรมา จากนั้นจึงอ่านชื่อของออฟฟิศที่เขียนอยู่บนนามบัตรก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงจับจ้องไปยังที่อยู่ที่พิมพ์อยู่ใต้รายชื่อ พร้อมทั้งหรี่ตา

เป็นที่อยู่ของออฟฟิศพิชญาจริง ๆ

ดูเหมือนว่าปาจรีย์จะพูดถูก ออฟฟิศของพิชญา ถูกโสรยาซื้อต่อไปแล้ว

“คุณวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่หรือคะ ?” โสรยาเห็นวารุณีจ้องมองนามบัตรไม่วางตา จึงแสดงท่าทีสงสัยออกมาทางสายตา แต่กลับเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

วารุณีหยุดความคิดเอาไว้ แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย “ไม่มีอะไรค่ะ แค่รู้สึกคุ้นตากับที่อยู่ของออฟฟิศคุณโสรยาเท่านั้น”

“คุณวารุณีต้องรู้สึกคุ้นเคยแน่นอนค่ะ เพราะนี่เป็นออฟฟิศของพี่สาวคุณ ได้ยินมาว่าหลังจากที่พี่สาวของคุณเสียชีวิตไปแล้ว ออฟฟิศนั้นก็ปิดตัวลง ฉันเองก็กำลังมองหาออฟฟิศที่พร้อมใช้งานอยู่พอดี เพราะสามารถประหยัดเวลาไปได้มาก ดังนั้นหลังจากที่สอบถามจากหลาย ๆ คน จึงได้ขอซื้อออฟฟิศแห่งนี้ต่อจากแม่ของพี่สาวคุณ” โสรยายกแก้วชาขึ้นมาดื่มพลางพูดออกมา

วารุณีเม้มปาก “เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ดูเหมือนคุณโสรยาจะพูดอะไรผิดไปสักอย่าง ฉันไม่มีพี่สาว มีเพียงแค่น้องชายคนเดียวเท่านั้น คราวหน้าขอให้คุณโสรยาช่วยจดจำเอาไว้ด้วย”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ต่อไปฉันจะจำไว้” โสรยาพยักหน้า

วารุณีเก็บนามบัตรเอไว้ “เวลาล่วงเลยมาไม่น้อยแล้ว คุณโสรยา ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

“ตุณวารุณีเดินทางดี ๆ นะคะ” โสรยาโบกมือลา

วารุณีพยักหน้า แล้วหันหลังเดินออกจากห้องพิเศษไป

หลังจากที่เธอออกไปแล้ว โสรยาก็วางแก้วชาลง จากนั้นจึงใช้มือทั้งสองข้างแตะลงไปบนเข่าของตนเองทันที ใบหน้าดูบิดเบี้ยวและน่ากลัว แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น จนดูเหมือนมีดที่พร้อมจะเชือดเฉือน

แต่เพียงไม่ช้า โสรยาก็สามารถจัดการกับอารมณ์จนกลับมาเป็นปกติได้ เธอยกมือขึ้นจากเข่า และทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อีกทางด้านหนึ่ง หลังจากวารุณีออกมาจากโรงแรม ก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนอนุบาลทันที โดยไม่คิดจะกลับเข้าบริษัทอีก

หนึ่งชั่วโมงต่อมาจึงขับไปถึงโรงเรียนอนุบาล

วารุณีลงจากรถ แล้วยืนรอเด็ก ๆ อยู่ด้านข้างประตูรถ

หลังจากรอมาเป็นเวลายี่สิบนาที จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงก่นด่าฆาตกรดังขึ้นมาจากด้านหน้า

วารุณีหันมองด้วยความสงสัย เขาเห็นเพียงแค่เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่มีขนาดตัวพอ ๆ กับอารัณ กำลังถูกเด็กผู้ชายอีกสามคนรุมทำร้ายอยู่

เด็กชายสามคนนั้นทุบดีไปพลาง ปากก็ตะโกนด่าทอเด็กผู้ชายที่ถูกทุบตีไปพลางว่า : “ตี ตีแรง ๆ พี่สาวของเขาเป็นฆาตกร เขาเป็นน้องชายของฆาตกร เป็นฆาตกรตัวน้อย พวกเราจะปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด ตี !”

“ปล่อยฉันนะ พวกนายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ใช่ฆาตกรน้อย พี่สาวของฉันก็ไม่ใช่ฆาตกร” เด็กผู้ชายที่ถูกตีใช้มือกุมศีรษะเอาไว้ พร้อมทั้งพูดโต้แย้งออกมาทั้งน้ำตา

ทว่าเด็กชายอีกสามคนกลับไม่ได้สนใจ แต่กลับยิ่งตีรุนแรงขึ้น

ผู้ปกครองของเด็กคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่โดยรอบกลับไม่ได้สนใจ และมีท่าทีใจเย็น

ภาพนี้ ทำให้วารุณีขมวดคิ้วแน่น

แต่ไหนแต่ไรมา เธอรู้สึกมาโดยตลอดว่าเด็ก ๆ คือเทวดานางฟ้าที่น่ารักที่สุดบนโลกใบนี้

แต่ตอนนี้เธอกลับพบว่าเธอคิดผิด เด็กคือเทวดานางฟ้านั้นไม่ผิด แต่ก็มีเด็กบางคนที่เป็นปีศาจร้ายเช่นกัน

เด็กชายทั้งสามคนนี้ ขนาดอายุยังน้อยยังลงมือได้เหี้ยมโหดขนาดนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริง ๆ

“หยุดนะ !” วารุณีไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป จึงเข้าไปขวางไว้

อย่างไรเสียเด็กก็ยังกลัวผู้ใหญ่อยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อเห็นวารุณีชักสีหน้าก็ยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ จึงรีบวิ่งหนีไป

วารุณีเองก็ไม่ได้วิ่งตามไป เธอโน้มตัวลง “หนูน้อย ไม่เป็นไรใช่ไหมจ๊ะ ?”

เด็กน้อยขดตัวโดยไม่ตอบอะไร

วารุณีเห็นใบหน้าของเขาเขียวช้ำ ก็รู้สึกสงสาร

เด็กชายคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอารัณและไอริณ เป็นวัยที่ยังไม่รู้ประสีประสา แต่กลับต้องรู้สึกหวาดกลัวเพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียน ทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอ รู้สึกปวดใจเป็นอย่างยิ่ง

“ลุกขึ้นไหวไหมจ๊ะ ?” วารุณีมองเด็กน้อย แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ดูเหมือนความอ่อนโยนของเธอ จะส่งผ่านไปถึงเด็กชายตัวน้อย แก้มของเด็กชายกลายเป็นสีแดงระเรื่อ เขาพยักหน้าและพูดออกมาเบา ๆ ว่า : “ผมลุกไหวครับ”

“อย่างนั้นก็ดี ลุกขึ้นเองเร็วเข้า” วารุณียืนขึ้น จากนั้นจึงมองดูเด็กชายที่พยายามลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยตัวเอง

ที่เธอไม่ช่วยดึงเขาไม่ใช่เพราะเธอใจไม้ไส้ระกำ แต่เป็นเพราะเธอหวังว่าเขาจะสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง

เด็กชายยืนขึ้นมา แล้วหันไปกล่าวขอบคุณวารุณีอย่างมีมารยาท “ขอบคุณคุณป้ามากนะครับ ที่ช่วยผมไล่พวกเขาไป”

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก” วารุณีเห็นใบหน้าที่มอมแมมของเขา ก็หยิบกระดาษทิชชูออกจากกระเป๋ายื่นให้กับเขา

เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว จากนั้นจึงมองดูกระดาษทิชชูที่ขาวสะอาด แล้วก้มลงมองมือเล็ก ๆ ที่สกปรกของตนเอง ก็รู้สึกไม่กล้ารับไว้

เพราะเขารู้สึกว่าตนเองนั้นสกปรก จึงไม่คู่ควรกับของใช้ที่สะอาดเช่นนี้