ตอนที่ 797 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (6) / ตอนที่ 798 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (7)
ตอนที่ 797 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (6)
ฟ่านจิ่นกำลังจะพยักหน้าแต่ก็เปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วและส่ายศีรษะแทน “พวกเขาเพิ่งกลับไปเมื่อสักครู่นี้เองพ่ะย่ะค่ะ คนพวกนั้นล้อมพวกเขาเอาไว้ตลอด กระหม่อมเดาว่าพวกเขายังไม่มีโอกาสกลับไปที่ห้องเลย”
เหลยเชินหัวเราะ “ถ้าพวกเขายังไม่ได้เข้าไปพักผ่อน ข้าอยากจะเลี้ยงอาหารเย็นศิษย์สำนักศึกษาเฟิงหัวทุกคนจะได้หรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้น…กระหม่อมขอไปดูพวกเขาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ” แม้ว่าฟ่านจิ่นจะรู้ว่าจวินอู๋เสียกับสหายของนางมีจุดประสงค์บางอย่างกับเหลยเชิน แต่เขาไม่รู้ว่าจวินอู๋เสียกับคนอื่นๆ ตั้งใจจะทำอะไร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าตัดสินใจแทนพวกเขา
เหลยเชินพยักหน้า ฟ่านจิ่นจึงรีบไปที่ชั้นสองทันทีเพื่อถามความเห็นของจวินอู๋เสียและคนอื่นๆ
เหลยเชินมองตามหลังฟ่านจิ่นที่เดินจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไป
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสำนักศึกษาเฟิงหัวจะยังมีผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้อยู่ ครั้งก่อนที่เขามาที่โรงเตี๊ยมตำหนักเซียนก็เพราะจวินอู๋เสียเพียงเท่านั้น แต่จวินอู๋เสียก็เฉยเมยและเย็นชาตลอดทุกครั้ง เขาไม่ให้เหลยเชินมีโอกาสได้ชักชวนเขาไปเป็นพวกมากนัก เหลยเชินจึงตั้งใจจะให้จวินอู๋เสียลำบากลำบนสักเล็กน้อยก่อนในระหว่างศึกประลองภูติวิญญาณ เขาจะได้ตระหนักว่าองค์รัชทายาทจะสามารถทำประโยชน์ให้เขาได้มากแค่ไหน
แต่เขาไม่คิดว่า…
ผู้เข้าแข่งขันอีกห้าคนจากสำนักศึกษาเฟิงหัวจะแข็งแกร่งมากขนาดนั้น!
ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินห้าคน เหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
มองอีกมุม ตอนนี้คนทั้งห้านั้นมีคุณค่าเทียบเท่าจวินอู๋เสียแล้ว แม้ว่าทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณจะสำคัญ แต่ศักยภาพในการทะลวงเข้าสู่ขั้นสีม่วงนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยาก! และจู่ๆ สำนักศึกษาเฟิงหัวก็พาพวกเขาทั้งห้าคนมาเข้าร่วมการประลอง!
เหลยเชินรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ตอนแรกเขาเลือกที่จะพยายามทำความสนิทสนมกับสำนักศึกษาเฟิงหัวเพราะจวินอู๋เสีย จากที่ดูในตอนนี้ เขารู้สึกว่ามันจะง่ายขึ้นสำหรับเขาในการชักชวนคนทั้งห้ามาเข้าร่วมกับเขา
แต่ก็มีบางอย่างที่เหลยเชินไม่เข้าใจ ตามข้อมูลที่เขาได้รับมา ผู้เยาว์ทั้งสี่คนเลื่อนขั้นขึ้นมาจากการคัดเลือกของตึกรองสำนักศึกษาเฟิงหัว ส่วนคนที่ห้าเป็นน้องชายของฟ่านจิ่น ไม่ว่าเขาจะมองมุมไหน ทุกคนก็ดูไม่เหมือนว่ามีความสามารถที่จะเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีน้ำเงินได้เลย แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
“สำนักศึกษาเฟิงหัวมีความลับที่พูดไม่ได้อยู่อย่างนั้นหรือ” เหลยเชินถามตัวเองพร้อมกับหรี่ตาลง จากที่เขาได้พูดคุยกับฟ่านจิ่นมาสองสามครั้ง ฟ่านจิ่นดูไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย เห็นได้ชัดว่าฟ่านจิ่นยังไม่คุ้นเคยกับตำแหน่งใหม่ของเขาในฐานะอาจารย์ใหญ่ ในตอนแรกเหลยเชินไม่ได้อยากจะทำอะไรกับสำนักศึกษาเฟิงหัวที่ตกต่ำลงแล้ว และนอกจากสาขาผู้เยียวยาจิตวิญญาณแล้ว สำนักศึกษาเฟิงหัวก็ไม่มีค่าคู่ควรให้เขาสนใจ
แต่ตอนนี้ เขาเปลี่ยนความคิดต่อสถานที่นั้นแล้ว
เมื่อฟ่านจิ่นขึ้นมาที่ชั้นสองเขาก็เห็นจวินอู๋เสียกับคนอื่นๆ จิบชากันอยู่ที่โต๊ะ เขากำลังจะอ้าปากถาม จวินอู๋เสียก็พูดขึ้นว่า “ไปบอกเหลยเชินว่า พวกเราตกลงไปทานอาหารเย็นร่วมกับเขา”
ในตอนที่เหลยเชินเข้ามาในโรงเตี๊ยมตำหนักเซียน พวกเขาก็เห็นรถม้าของตำหนักรัชทายาทจากทางหน้าต่างชั้นสองแล้ว
เหลยเชินมาที่นี่เร็วกว่าที่จวินอู๋เสียคาดเอาไว้เล็กน้อย
ฟ่านจิ่นชะงัก เขาลังเลก่อนที่จะถามขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือ” แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฉลาดเท่ากับฟ่านจัว แต่อย่างน้อยเขาก็เริ่มเดาเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้การกระทำของผู้คนได้ ความหมายเบื้องหลังคำเชิญของเหลยเชินเขาย่อมรู้ และเป็นไปไม่ได้ที่จวินอู๋เสียจะไม่รู้
การยอมรับคำเชิญของเหลยเชินก็หมายความว่า…
จวินอู๋เสียพยักหน้า “จะได้เลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็นไปเสีย”
พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่อเสียงและลาภยศ การที่คนมากมายเข้าๆ ออกๆ โรงเตี๊ยมตำหนักเซียนย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับพวกเขา
ฟ่านจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินลงบันไดไปเพื่อนำคำพูดของจวินอู๋เสียไปบอกกับเหลยเชิน
คำตอบที่มาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้เหลยเชินรู้สึกประหลาดใจมาก เขาไม่ลืมว่าคนของสำนักศึกษาเฟิงหัวไม่ได้ต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น เขาเตรียมตัวถูกปฏิเสธเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่คิดว่า…
เขาจะได้รับคำตอบที่น่าประหลาดใจและน่ายินดีเช่นนี้!
ตอนที่ 798 สำนักศึกษาเฟิงหัวฟื้นคืนชีพอีกครั้ง (7)
แม้ว่าจะประหลาดใจ เหลยเชินก็ยังมีสติที่จะวางท่าให้เหมาะสม เขาไม่ได้ทำเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยการเชิญจวินอู๋เสียและสหายของนางไปที่ตำหนักรัชทายาทพร้อมด้วยขบวนแห่ แต่เขาแค่สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะที่โรงเตี๊ยมตำหนักเซียนนั้นเลย
เฉียวฉู่และคนอื่นๆ กลับไปที่ห้องเพื่อล้างเนื้อล้างตัว ขณะที่เหลยเชินนั่งอยู่ที่โต๊ะในห้องโถงบนชั้นสอง และคนที่นั่งอยู่กับเขาในโต๊ะเดียวกันนั่นก็คือจวินอู๋เสีย!
เหลยเชินได้โอกาสพูดคุยกับจวินอู๋เสีย แม้ว่าเขากำลังคิดที่จะชวนผู้ใช้พลังขั้นสีน้ำเงินมาเป็นพวก แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยผู้ที่มีความสามารถในทักษะการเยียวยารักษาจิตวิญญาณไปด้วยเช่นกัน
“น้องจวินลงประลองพรุ่งนี้ใช่หรือไม่” เหลยเชินถามด้วยรอยยิ้ม
จวินอู๋เสียพยักหน้า แม้ว่าสีหน้าของนางจะยังเย็นชาและเหินห่าง แต่เทียบกับการเมินเฉยโดยสิ้นเชิงเมื่อคราวที่แล้ว เหลยเชินก็ประหลาดใจมากที่นางตอบคำถามของเขา
“ข้าได้ยินว่า…คู่ต่อสู้ของเจ้าพรุ่งนี้คือหลินฉีจากสำนักศึกษาพิชิตมังกรใช่หรือไม่ หลินฉีอาจจะไม่ได้มีอันดับที่สูงในสำนักศึกษาพิชิตมังกร แต่เขาก็ไม่ใช่พวกด้อยฝีมือ น้องจวินระวังตัวด้วย สำนักศึกษาพิชิตมังกรกับสำนักศึกษาเฟิงหัวแข่งขันกันมายาวนาน ศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งสองก็ขัดแย้งกัน ข้าหวังว่าน้องจวินจะระมัดระวังให้มากในวันพรุ่งนี้และไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร” เขามองจวินอู๋เสียด้วยสีหน้าห่วงใย เขาดูเป็นกังวลมากขณะที่พูด
เหลยเชินพูดจบประโยค เฉียวฉู่และคนอื่นๆ ก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและเดินเข้ามาในห้องโถง
“คู่ต่อสู้ของน้องเสียวันพรุ่งนี้เป็นคนของสำนักศึกษาพิชิตมังกรหรือ” เฉียวฉู่ถามพร้อมกับดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง ในดวงตามีแววสนุกสนานขณะที่มองจวินอู๋เสีย
แม้ว่า…พวกเขาจะไม่ได้คาดหวังอะไรกับคู่ต่อสู้จากสามโลกเบื้องล่างอีกต่อไป แต่อย่างไรเสีย สำนักศึกษาพิชิตมังกรก็เป็นสำนักศึกษาชั้นแนวหน้า ศิษย์ของพวกเขาก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าสักเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดก็…คงไม่แพ้ด้วยกระบวนท่าเดียวภายในเสี้ยววินาทีหรอก…ใช่หรือไม่
พูดกันตามจริง ศึกประลองภูติวิญญาณนี้ การประลองของพวกเขามัน…น่าเบื่อมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเฉียวฉู่ เขาไม่ใช่คนที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้โดยนิสัยอยู่แล้ว เยี่ยนปู้กุยเคยห้ามเขาต่อสู้กับคนอื่นอย่างเด็ดขาด และเมื่อเขามีเหตุผลที่จะซ้อมผู้อื่นโดยชอบธรรม กลับพบว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอเสียจนไม่สามารถทนการโจมตีได้แม้แต่ครั้งเดียว เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เลือดลมที่พลุ่งพล่านจึงสงบลงราวกับทะเลสาบที่นิ่งสนิทไม่มีแม้แต่รอยกระเพื่อมบนผิวน้ำเลย
เมื่อเหลยเชินเห็นเฉียวฉู่และคนอื่นๆ นั่งลง ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขารู้สึกว่าครั้งนี้เขาได้หัวข้อที่น่าสนใจในการพูดคุยแล้ว
เมื่อคิดว่าเฉียวฉู่กำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของจวินอู๋เสีย เหลยเชินก็ยิ้มและพูดว่า “เป็นคนจากสำนักศึกษาพิชิตมังกรจริงๆ แต่ข้ารู้จักคนในสำนักศึกษาพิชิตมังกรอยู่บ้าง ในเมื่อน้องจวินเป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุดในศึกประลองครั้งนี้ การต้องประลองกับคู่ต่อสู้เช่นนั้นในรอบแรกก็ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไร ข้าจะไปพูดกับคนของสำนักศึกษาพิชิตมังกรขอให้พวกเขาไม่ทำรุนแรงเกินไปนักในวันพรุ่งนี้”
“ต่อให้พวกเขาอยากรุนแรง…มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกน่า” เฉียวฉู่พึมพำเบาๆ กับตัวเอง ถึงแม้ระดับขั้นพลังวิญญาณของจวินอู๋เสียจะต่ำกว่าพวกเขาหนึ่งขั้น แต่การซ้อมพวกสำนักศึกษาพิชิตมังกรก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรสำหรับนางเลย ต่อให้ทำไม่ได้ในหนึ่งวินาที เจ้าหมอนั่นก็ไม่รอดถึงสามยกหรอก
“อะไรนะ” เหลยเชินถาม เขาได้ยินเฉียวฉู่พูดไม่ชัด
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร” เฉียวฉู่พูดพร้อมกับรีบโบกมือปฏิเสธ
พนักงานของโรงเตี๊ยมตำหนักเซียนยกอาหารที่ดูน่าอร่อยและมีกลิ่นหอมมาวางบนโต๊ะ เหลยเชินพูดคุยล้อเล่นกับพวกเขาตลอดมื้ออาหาร พยายามทำความสนิทสนมกับพวกเขาทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ กระทั่งจวินอู๋เสียที่เงียบๆ ก็ยังพูดกับเขาถึงสองประโยค ทำให้เหลยเชินแอบดีใจและรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่าเขาจะสามารถเอาชนะใจจวินอู๋เสียกับสหายของเขาได้
พวกเขามีช่วงเวลาที่ดี ทุกคนดื่มมากกว่าที่ควรดื่มเล็กน้อย เหลยเชินลอบมองจวินอู๋เสียที่เมาจนฟุบลงกับโต๊ะ ดวงตาของเขาทอประกายยินดี
ตกดึกเหลยเชินที่เมาเล็กน้อยก็ถูกองครักษ์พยุงขึ้นรถม้าออกไปจากโรงเตี๊ยมตำหนักเซียน
ในขณะเดียวกันที่ในโรงเตี๊ยมตำหนักเซียน จวินอู๋เสียก็หยิบโอสถวิเศษที่แก้อาการมึนเมาออกมากิน อาการมึนเมาของนางค่อยๆ ลดลงจนหายไปทั้งหมด