บทที่ 450 เดินทางไปอี้โจว

“ท่านแม่” น้ำเสียงของเว่ยจื่ออี้เต็มไปด้วยความอาวรณ์ ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังจะเดินทางไกล เขาเป็นห่วงพวกท่านจริงๆ

ถังหลี่ตบไหล่เขา แค่พริบตาเดียวเท่านั้น บุตรชายของนางก็สูงเกือบเท่านางแล้ว

“เมื่อพ่อกับแม่ไม่อยู่เจ้าต้องเชื่อฟังพี่ชายของเจ้านะ อย่าเอาแต่เล่น อ่านหนังสือบ้าง กินอาหารให้ดีๆ รู้ไหม?” ถังหลี่พูดเบาๆ

“ข้าทราบแล้วขอรับ” เว่ยจื่ออี้ตอบด้วยเสียงแหบพร่า

“ไม่ต้องห่วง อีกไม่นานพ่อกับแม่ก็กลับมาแล้ว” ถังหลี่พูดปลอบบุตรชาย

“ขอรับ” เว่ยจื่ออี้รับคำเสียงเครือ

เมื่อเห็นบุตรชายเอาแต่กอดมารดา เว่ยฉิงทนต่อไปไม่ไหว เขาดึงบุตรชายออกจากถังหลี่

“ไอ้หนู เจ้าอย่าได้อ้อนมารดานัก” เว่ยฉิงพูดหน้าตาเฉย

เว่ยจื่ออี้เลยเปลี่ยนหันไปกอดบิดาแทน

แต่เว่ยฉิงตัวสูงเกินไป เว่ยจื่ออี้สูงแค่หัวไหล่เขาเท่านั้นจึงได้แต่กอดเอวเขาเอาไว้

“ท่านพ่อ” เว่ยจื่ออี้เรียก น้ำเสียงนุ่มนวลเต็มไปด้วยความรัก เว่ยฉิงทำหน้าเคร่งขรึม

“เจ้าอายุสิบสองปีแล้ว ตอนนี้โตเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว ต้องรู้จักเข้มแข็งกว่านี้รู้ไหม?”

เว่นจื่ออี้พยักหน้า เปลี่ยนไปกอดถังหลี่อีกครั้ง

เว่ยจื่ออั๋งและสวี่เจวี่ยผลัดกันกอดมารดา และบิดา

“จื่ออั๋ง สวี่เจวี่ย เจ้าต้องตั้งใจเรียนนะ หากพ่อกับแม่ไม่อยู่” ถังหลี่กำชับ เด็กทั้งสองพยักหน้ารับ

“แม่เชื่อใจลูก เจ้าทำให้แม่ไว้วางใจได้เสมอ” ถังหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม

เด็กสองคนนี้อายุสิบสามปีเข้าไปแล้ว แต่เขาดูตัวสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกันมาก พวกเขามีแววตาใสกระจ่าง

อีกไม่กี่เดือนจะการสอบเคอจวี่ เมื่อถึงเวลานั้นเด็กทั้งสองคนจะกลายเป็นนกคุนเผิง[1]สยายปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไกลถึงเก้าหมื่นลี้ พวกเขาจะกลายเป็นดาวที่เจิดจรัสส่องแสงสว่างทั้งสองดวง ถังหลี่ภูมิใจในตัวพวกเขามาก

“ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่เป็นหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำที่ข้าได้รวบรวมเอาไว้ให้ท่านขอรับ”

เว่ยจื่ออี้หยิบหนังสืออกมาจากแขนเสื้อส่งให้ถังหลี่

เขาเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือทุกประเภท ชอบฟังนิทาน คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ถูกต้องนัก หากทว่าถังหลี่ไม่เคยห้ามเขา

ในนวนิยาย เด็กๆ เหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว นางจึงได้แต่หวังให้เขาได้ทำแต่สิ่งที่เขาชอบเท่านั้น อีกอย่างการมีความรู้รอบด้านก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีอะไร

ถังหลี่มองหนังสือทั้งสองเล่มอย่างยินดี

“ขอบคุณนะจื่ออี้”

นางกล่าวอย่างอ่อนโยน

“นี่ดึกมากแล้ว พ่อกับแม่ต้องเดินทางกันแต่เช้า ให้ท่านไปพักผ่อนเถอะ”

เว่ยจื่ออั๋งพูดขึ้น

ถังหลี่พยักหน้า

“พวกเจ้าก็เช่นกัน ไปนอนได้แล้ว” เด็กทั้งสามเดินเข้าห้องนอนไป ถังหลี่และเว่ยฉิงกลับไปยังห้องนอนเช่นกัน

ถังหลี่และเว่ยฉิงทำรายการสิ่งของที่จะต้องนำติดตัวไปด้วยให้บ่าวรับใช้จัดการให้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงได้แต่เก็บข้าวของใช้ของตนเอง

จากนั้นจึงได้รีบเข้านอนกอดกันแล้วหลับไป

รุ่งเช้าเมื่อพวกเขาตื่นขึ้น หลังจากอาบน้ำแล้วกินอาหารเช้าจึงได้ออกไปขึ้นรถม้า

รถม้าแล่นไปตามท้องถนนในเมืองหลวงตอนเช้าตรู่ ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เว่ยฉิงกอดภรรยาไว้ในวแขน

“ภรรยาเจ้านอนต่ออีกสักหน่อยเถอะ”จู่ๆ ถังหลี่ก็เบิกตากว้างขึ้นมา

“สามี ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าม้า” ถังหลี่เลิกผ้าหน้าต่างชะโงกหน้าออกไป เห็นชายสองคนขี่ม้าขนาบอยู่ด้านนอก

เป็นพี่ใหญ่และพี่สามของนางนั่นเอง

“พี่ใหญ่ พี่สาม!” ถังหลี่ตะโกนเรียก

กู้หวนเนี่ยนมองนางอย่างอ่อนโยน กู้หวนจิ่นยิ้มให้น้องสาว

“พี่มาส่งเจ้า”

ถังหลี่เลิกผ้าม่านมองพี่ชายทั้งสองคน นางเพิ่งมายังจวนสกุลกู้ได้ไม่นานนัก แต่ด้วยความสัมพันธ์ทางสายเลือด และความรู้สึกที่นางมีต่อพี่น้องกล่าวได้ว่าคุ้นเคยสนิทกันมาก ถังหลี่เป็นคนที่สัมผัสได้อย่างว่องไวถึงความจริงใจของผู้อื่น

เมื่อใครให้ความจริงใจกับนาง ถังหลี่จะรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว นางรู้สึกได้ว่าพี่ชายรักนางมาก กู้หวนเนี่ยนและกู้หวนจิ่นยังคงขี่ม้ามาด้านข้างจนกระทั่งรถม้าหยุดลง ถังหลี่จึงได้กระโดดลงจากรถ

“พี่ใหญ่ พี่สาม ต่อให้ส่งไปไกลหลายพันลี้ อย่างไรก็ต้องกล่าวลา พี่ส่งข้าแค่นี้ก็พอแล้วเจ้าค่ะ” กู้หวนเนี่ยนและกู้หวนจิ่นต่างลงจากรถม้า กู้หวนเนี่ยนยื่นกระดาษให้นางหนึ่งแผ่น

“รายชื่อที่อยู่บนนั้นเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของพี่ในอี้โจว หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือสามารถไปหาพวกเขาได้” นี่คือเครือข่ายของการติดต่อซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ถังหลี่ิ้ม

“น้องสาว พี่ให้เจ้า” กู้หวนจิ่นมอบถุงใบหนึ่งให้ถังหลี่ เมื่อนางหยิบออกมาดูเห็นว่าเป็นตั๋วเงินและเงินมากมาย

“นี่เป็นเงินส่วนตัวของพี่สามที่เก็บเอาไว้” กู้หวนจิ่นโน้มตัวมากระซิบกับถังหลี่ เขานำเงินที่เก็บมาหลายปีและเงินก้นถุงของเขาออกมาให้นาง

“มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้[2]เมื่อเจ้าออกไปข้างนอก อย่างไรเสียก็ต้องใช้เงิน”

ถังหลี่อึ้งไป “แต่ว่า…พี่สามข้ามีเงิน”

“เสี่ยวหลี่ เจ้าเก็บเอาไว้เถอะ ไม่เช่นนั้นเขาคงได้เอาไปลงขวดสุราเสียหมด” กู้หวนเนี่ยนย้ำอย่างไม่คิดว่าน้องสามของเขาจะเสียหน้าแต่อย่างใด

ถังหลี่จึงรับเงินมา

“ไปเถอะ อย่ามัวชักช้าอยู่เลย”

กู้หวนเนี่ยนเตือน ในที่สุดถังหลี่จึงได้ขึ้นรถม้าเดินทางต่อไป

รถม้าแล่นออกจากประตูเมือง ถังหลี่ยังเลิกม่านหน้าต่างดูพี่ชายทั้งสองคนจนลับหายไปในสายตา ร่างของคนผู้หนึ่งแว่บเข้ามาในสายตา แต่เมื่อถังหลี่กวาดตามองอีกทีก็หายไปเสียแล้ว

นางกลับมานั่งเอนหลังพิงพนักอีกครั้ง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

เว่ยฉิงสังเกตเห็นอาการของภรรยาทันที

“เหมือนว่าข้าจะเห็นมารดา แต่พอมองอีกทีก็หายไปเสียแล้ว ข้าอาจตาฝาดไปก็เป็นได้”

ที่ตลาด

แม่นมจ้าวพยุงฮูหยินกู้ยืนอยูตรงนั้น เมื่อประตูเมืองปิด นางจึงมองไม่เห็นรถม้าของบุตรสาวอีกต่อไป

“ฮูหยิน …คุณหนูและท่านเขยจะกลับมาอย่างปลอดภัยเจ้าค่ะ” ฮูหยินกู้พยักหน้า

”พรุ่งนี้ไปวัดกานเฉวียนกันเถอะ”

รถม้ามุ่งไปทางใต้ ในฐานะทูตของราชสำนัก เว่ยฉิงได้นำเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องน้ำและช่างฝีมืออีกห้าสิบคนไปในการเดินทางครั้งนี้ด้วย องครักษ์ลับทั้งห้าคนแต่งกายเป็นบ่าวรับใช้ปะปนอยู่กับผู้ที่ตามด้วย

บนรถม้า เว่ยฉิงและถังหลี่ไม่ได้พักผ่อนเช่นกัน พวกเขาพากันดูแผนที่เมืองอี้โจวและแผนแก้ปัญหาน้ำ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้าโจวส่งเจ้าหน้าที่ไปที่อี้โจวหลายคนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วม พวกเขาวาดรูปวิธีแก้ปัญหาเอาไว้มากมาย

ในบรรดางานเหล่านี้ถูกทิ้งไว้โดยใต้เท้าซ่งเป็นส่วนใหญ่ น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนหน้านี้ เขาจึงไม่ได้เห็นอี้โจวพ้นจากอุทกภัย

ถังหลี่มองหนังสือที่จื่ออี้ให้มา นางไม่รู้วิธีควบคุมน้ำ นางจึงจำเป็นที่จะเรียนรู้ให้มากที่สุดเพื่อจะได้ช่วยสามีได้ เรื่องน้ำท่วมในอี้โจวจะรอช้าไม่ได้อีกต่อไป

ตลอดการเดินทาง รถม้าไม่ได้หยุดพักเลย ถังหลี่รู้สึกเหนื่อยจึงได้ซุกอ้อมกอดของสามีหลับไป นางมีพลังของปีศาจร่างกายจึงได้แข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป ส่วนเว่ยฉิงเขามีร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้วจึงไม่รู้สึกเหนื่อยมากนัก ตรงกันข้ามกับผู้ที่ตามมา พวกเขาพากันล้มป่วย เว่ยฉิงจึงได้ให้พวกเขาตามไปช้าๆ ในขณะที่เขาเดินทางต่อไป

[1] ณ ทะเลลึกแดนเหนือ มีพญามัจฉาชื่อ ‘คุน’ ร่างใหญ่โตไม่รู้กี่พันลี้ เมื่อผ่านไป10,000ปี คุนก็กลายร่างเป็นพญาปักษาชื่อ ‘เผิง’ เรียกรวมว่า’ คุนเผิง’ แผ่นหลังของเผิงมโหฬารไม่รู้กี่พันลี้ ร่างกายเป็นนกแต่ปกคคลุมด้วยเกล็ดเหมือนปลา ยามกระพือสะบัดปีกเหินสู่เวหา ปีกแผ่กว้างราวแผ่นเมฆปกคลุมฟ้า

[2] สำนวน มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้ หมายถึง หากใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจ ก็สามารถว่าจ้างคนทุกคนให้ทำงานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้างได้ ไม่ว่าผู้รับจ้างจะเต็มใจหรือรู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม