นิ้วของเหล่าฮูหยินอี๋หนิงโหวผอมซูบราวกับกิ่งไม้แห้ง เล็บมือค่อนข้างหนา มีสีขาวเทาที่ดูไม่แข็งแรง
สิ่งที่สร้างความสนใจให้เจียงซื่อไม่ใช่สิ่งนี้ แต่เป็นเส้นสีแดงสามเส้นตรงเล็บมือของเหล่าฮูหยิน
ในสายตาของเจียงซื่อ สีแดงสามเส้นนั้นมันน่าตะลึงตกใจมาก
นางจ้องมองและเกิดความคิด
เจียงอีสัมผัสถึงความเหม่อลอยของเจียงซื่อ จึงก้มหน้ามองดู นางเห็นสีแดงสามเส้นตรงเล็บมือของเหล่าฮูหยินแล้วตะลึงตาม
เหล่าฮูหยินขยับนิ้วมือแล้วเอ่ยถามเจียงอี “อีเอ๋อร์ พวกเจ้าอยู่ที่จวนปั๋วสบายดีหรือไม่”
เจียงอีดึงสายตากลับมาโดยเร็วและยิ้มให้เหล่าฮูหยิน “ท่านยายวางใจได้ หลานกลับมาอยู่ที่เรือนสบายดีเจ้าค่ะ เยียนเยียนก็ปรับตัวได้ดี…”
“ท่านยายไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อเอ่ยถาม
เหล่าฮูหยินพักหายใจแล้วยิ้มให้เจียงซื่อ “ข้าอายุมากแล้ว ทั้งเนื้อตัวไม่มีแรง พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า…”
ลุงใหญ่ซูกล่าว “ให้เหล่าฮูหยินพักเถอะ”
เจียงอีเห็นสภาพเหล่าฮูหยินอ่อนแรงจริงๆ จึงดึงเจียงซื่อให้ลุกขึ้น “ถ้าเช่นนั้นท่านยายพักผ่อนนะเจ้าคะ ไว้พวกเรามาเยี่ยมท่านใหม่”
สามพี่น้องเดินตามลุงใหญ่ซูไปยังห้องบุปผา สภาพจิตใจหนักหน่วงพอควร
อาการอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินทำให้คนอดคิดถึงตัวอักษรคำว่าไม้ใกล้ฝั่งเหล่านี้ไม่ได้
ไฟแห่งชีวิตนี้ ดูเหมือนลมพัดอันแผ่วเบาพัดผ่านจนใกล้จะดับลงแล้ว
“ลุงใหญ่เจ้าคะ ท่านยายป่วยเป็นโรคอะไรหรือเจ้าคะ” เจียงจั้นเป็นคนใจร้อน เขาเอ่ยถามทันทีที่เดินเข้ามาที่ห้องบุปผา
“หมอที่เชิญมาบอกว่าเหล่าฮูหยินมีอาการโรคหัวใจล้มเหลว” ลุงใหญ่ซูสีหน้าคร่ำเครียด “หัวใจเริ่มอ่อนเพลียลงกะทันหัน ยาน้ำช่วยได้เพียงหล่อเลี้ยงระยะเวลา แต่ไม่สามารถหยุดอาการไม่ให้แย่ลงได้…”
“ลุงใหญ่หมายความว่า…อาการของท่านยายไม่ดีเลย?” เจียงจั้นถาม
ลุงใหญ่ซูมองประตูแล้วพยักหน้าช้าๆ “หมอบอกว่าคนที่มีอาการนี้ มีโอกาสที่หัวใจหยุดเต้นทันที ตอนนี้ คงทำได้เพียงขอพรต่อเทพ…”
เจียงอีพลันตาแดงก่ำ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตา
เจียงจั้นส่งสายตาให้เจียงซื่อ อยากให้นางกล่อมเจียงอี แต่กลับเห็นท่าทีใจลอยของเจียงซื่อแทน
เขาจึงจำต้องเอ่ยปากกล่อมเอง “พี่ใหญ่อย่าร้องไห้อีกเลย ท่านยายเป็นคนดี จะได้รับการช่วยเหลือจากสวรรค์เบื้องบน…”
คำเกลี้ยมกล่อมด้านหลังถูกคำพูดอันไร้ที่ไปที่มาของเจียงอีสกัด
“ท่านแม่ก็เป็นเช่นนี้”
“พี่ใหญ่ พี่พูดอะไรออกมา” เจียงซื่อได้สติและจ้องเจียงอีนิ่ง
เจียงอีไม่ได้หันมองเจียงซื่อ แต่มองลุงใหญ่ซู “ลุงใหญ่ยังจำได้หรือไม่ ตอนนั้น ท่านแม่ก็เสียเพราะอาการหัวใจล้มเหลว…”
ลุงใหญ่ซูพยักหน้าเบาๆ
เจียงซื่อจับมือเจียงอี “พี่ใหญ่ พี่ยังจำภาพเหตุการณ์ที่ท่านแม่เสียชีวิตได้?”
“ตอนนั้น ข้าจำความได้แล้ว ก็พอจำได้บ้าง”
สำหรับเด็กอายุน้อยคนหนึ่ง คนสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือบุพาการี
ตอนที่ซูซื่อเสีย แม้เจียงอีอายุยังน้อย กลับมีความทรงจำที่ไม่อาจลบมันออกได้อีก
“อย่าบอกนะว่าอาการหัวใจล้มเหลวยังสามารถส่งต่อจากแม่สู่บุตรสาวได้…” เจียงอีกล่าวพึมพำ
ลุงใหญ่ซูทำหน้าขรึม “อีเอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดเรื่อยเปื่อย น้องๆ ตกใจหมดแล้ว”
เจียงจั้นตะโกนขึ้น “ลุงใหญ่ ต้องทำความเข้าใจถึงจะดีนะขอรับ ทำไมถึงต้องเป็นการส่งต่อจากแม่สู่บุตรสาวล่ะขอรับ พี่ใหญ่กับน้องสี่ร่างกายบอบบาง ไม่เหมือนข้าที่ทนได้…”
ท่าทางเกลียดชังที่ไม่ใช่การส่งต่อจากแม่สู่บุตรชาย ลุงใหญ่ซูกับน้ารองแซ่ซูมองจนริมฝีปากกระตุก
หลานชายคนนี้ไม่ฉลาดเฉลียวเลยจริงๆ คาดหวังให้การส่งต่อเป็นแม่สู่บุตรชาย ก็เท่ากับสาปแช่งให้พวกเขามีอาการโรคหัวใจล้มเหลวมิใช่รึไง
นอกเหนือจากความไม่พอใจถูกใส่ร้าย อีกใจหนึ่งก็รู้สึกซาบซึ้งในความรักของเจียงจั้นที่มีต่อพี่สาวน้องสาว
เจียงอียกมือขึ้นตีเจียงจั้นหนึ่งทีพร้อมกล่าวตำหนิ “น้องรอง อย่าพูดเรื่อยเปื่อย”
อาการป่วยของท่านยาย หากเป็นโรคกรรมพันธุ์จริง ถ้าเช่นนั้น นางยอมรับไว้เองดีกว่าให้น้องชายมารับ
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย อยากพักสักหน่อย” เจียงซื่อจับหน้าผากพร้อมกล่าวขึ้นกะทันหัน
เมื่อก่อน เวลาเจียงซื่อไม่สบาย อย่างมากก็พูดให้ฟังเป็นการส่วนตัว ไม่มีทางพูดออกมาอย่างเปิดเผยต่อหน้าลุงใหญ่หรือเหล่าผู้อาวุโสแน่
ในฐานะที่เป็นคนรุ่นหลัง นางกล่าวเช่นนี้ทำให้ดูไม่สุภาพ แต่ในฐานะพระชายาเยี่ยนอ๋อง เวลาพูดเช่นนี้ไม่มีใครกล้าวิจารณ์
เมื่อตำแหน่งสูงขึ้น ความสะดวกที่ได้มา ไม่ต้องพูดก็เห็นได้ชัด
ต้าไท่ไท่โหยวซื่อ จัดแจงสาวรับใช้ให้พาเจียงซื่อไปพักห้องพักแขก
เจียงอีไม่วางใจจึงตามไป
“น้องสี่เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เมื่อเห็นเจียงซื่อหน้าซีด เจียงอีรีบถาม
น้องสี่ใจกล้ากว่านาง คงไม่ตกใจเพราะคำพูดของนางเมื่อครู่นี้กระมัง
เจียงซื่อมิได้ตอบเจียงอีทันที แต่สั่งอาหมาน “เจ้าไปเฝ้าหน้าประตูไว้ ถ้ามีคนเดินผ่านก็รีบส่งเสียง”
เจียงอีมองอาหมาน แล้วหันมองเจียงซื่อ พลางรู้สึกว่าไม่ปกติ
“ทำไมหรือ น้องสี่”
เจียงซื่อกัดริมฝีปาก กำมือแน่น ข้อต่อนิ้วเริ่มเป็นสีขาวจางๆ
“พี่ใหญ่ อาการของท่านแม่ในเวลานั้นเหมือนกับท่านยายจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ที่แท้น้องสี่อยากรู้เรื่องของมารดา
เจียงอีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย “อืม ในตอนนั้น ท่านแม่อ่อนแอลงทุกวัน ข้ากลัวมาก ข้าอยู่เฝ้าไข้ท่านแม่ทุกวัน มีครั้งหนึ่ง ข้าได้ยินหมอพูดกับท่านพ่อว่าท่านแม่ป่วยเป็นโรคหัวใจล้มเหลว ยาน้ำทำได้เพียงหล่อเลี้ยงเวลาได้พักหนึ่ง แต่ไม่สามารถรักษาชีวิตท่านแม่ได้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ตรงหน้าเจียงอีก็ปรากฏสภาพซูซื่อก่อนจากไปขึ้นมา
หญิงสาวสวยราวกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา มองดูนางเงียบๆ ด้วยรอยยิ้ม แต่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าที่คิดไม่ตก เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจจะแยกจากและความห่วงใยที่มีต่อลูกๆ
นั่นเป็นสายตาที่ทำให้ใจคนแหลกสลายมากที่สุดเท่าที่นางเคยพบ และปรากฏขึ้นในฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายปี ทำให้นางต้องร้องไห้ตื่นขึ้นมาหามารดา
มารดาของนางจากไปด้วยอายุน้อยเพียงนั้น ทิ้งนาง ทิ้งน้องชาย ทิ้งน้องสาว และยังทิ้งบิดาไว้
“ท่าทางของท่านแม่ดูแล้วเหมือนกับท่านยาย”
เจียงซื่อยื่นมือตรงหน้าเจียงอีแล้วเอ่ยถามชัดถ้อยชัดคำ “แล้วเล็บกลางข้างซ้ายล่ะ เส้นเลือดสีแดงสามเส้นนั้นก็เหมือนกันหรือ”
ตอนนางถาม น้ำเสียงสั่นสะเทือนอันแฝงไว้ด้วยความกดดัน
เจียงอีมองเจียงซื่ออย่างสงสัย “น้องสี่ เหตุใดเจ้าถึงถามเช่น…”
“พี่ใหญ่ พี่ลองนึกทวนดูดีๆ ก่อนท่านแม่เสีย นิ้วที่สามมือข้างซ้ายมีเส้นเลือดสามเส้นเฉกเช่นท่านยายหรือไม่”
เจียงซื่อหวั่นเกร็งจนลุกขึ้นมา นางใช้ความคิดทบทวนอย่างหนักภายใต้การคะยั้นคะยอของน้องสาวจนหลอมรวมความคิดได้คำๆ หนึ่งว่า “มี!”
เจียงซื่อเอามือดันเตียง สีหน้าแย่มากที่สุด
“น้องสี่ สรุปว่าเป็นอย่างไรกันแน่” เจียงอีกุมมือเจียงซื่อ ราวกับกุมน้ำแข็งหนึ่งก้อน
ใบหน้าเจียงซื่อไม่แสดงอาการใด แต่ดวงตากลับเย็นเยือกราวบ่อน้ำเย็น มันลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ
“ท่านแม่ไม่ได้ป่วยตาย!” เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ นางถึงกล่าวขึ้นทีละคำ
เลือดบนใบหน้าเจียงอีซีดลงทันใด นางจ้องเจียงซื่อไม่ขยับ พร้อมเอ่ยถามเสียงสั่น “ถ้า ถ้าเช่นนั้น ท่านแม่ตายอย่างไร”
เจียงซื่อหลับตาแล้วลืมตาขึ้น ดวงตาก้มมองนิ้วมือตัวเองนิ่งไม่ขยับ
นิ้วของหญิงสาวมีสีขาวนวลเหมือนต้นหอม ส่วนเล็บแข็งแรงที่ตกแต่งอย่างสวยงามและกลมมนจะมีสีชมพูอ่อน
“ตายด้วยยาพิษ” นางกล่าวเสียงเบา
จะว่าไป นั่นไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นพิษกู่
และลักษณะที่ชัดเจนของพิษกู่ชนิดนี้ก็คือ บนเล็บนิ้วที่สามของมือซ้ายจะมีสีแดงจางๆ ขึ้นสามเส้น
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง