ตอนที่ 450 กราบอาจารย์

ถังอี๋จดๆ จ้องๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “หลายปีมานี้ได้รับความเมตตาและเอาใจใส่จากคุณชายใหญ่ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่กินเปล่าๆ ไร้ผลงานช่างน่าละอาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่มีหน้าไปพบบรรพจารย์รุ่นก่อนๆ ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ ละอายใจต่อคุณชายใหญ่…”

สีหน้าสงบราบเรียบ แต่ภายในใจกลับค่อนข้างประหม่า หลายปีมานี้ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างนางถึงได้ค่อนข้างหวาดหวั่นในตัวเซ่าผิงปอที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง นางกังวลใจมาตลอดว่าหากเซ่าผิงปอไม่ยอมปล่อยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปล่ะก็ นางสมควรจะทำอย่างไรดี

แววตาเซ่าผิงปอวูบไหว ตระหนักได้ทันทีว่านางกำลังจะพูดอะไร จึงยิ้มแล้วเอ่ยตัดบททันที “ขอเพียงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังอยู่ ก็เป็นการตอบแทนที่ดีที่สำหรับข้าแล้ว ตอนนี้ทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต้องลำบาก แต่ข้ายังมีแผนการในระยะยาวอยู่ วันหน้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องการกำลังของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เมื่อถึงเวลานั้นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่ขาดแคลนทรัพยากรบำเพ็ญเพียรอีก ข้ารับประกันกับท่านได้!”

ถึงแม้สถานการณ์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในยามนี้จะมีผลมาจากสำนักเขามหายาน แต่ก็เป็นเพราะมีเขาคอยกดดันด้วย เดิมทีเขาคิดจะค่อยๆ ต้อนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ให้เข้าสู่ทางตันอย่างช้าๆ ตั้งใจบีบให้ท้ายที่สุดถังอี๋ยอมประนีประนอมด้วยการแต่งงานด้วย เพียงแต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์รับรู้ไม่ได้ถึงความชั่วร้ายของเขา คิดเพียงแต่ว่าเป็นเพราะสำนักเขามหายานเท่านั้น เขาเองก็ไม่มีทางเผยความเลวร้ายอันใดที่จะทำให้ถังอี๋รังเกียจออกมา โยนความผิดบาปทั้งหมดให้สำนักเขามหายานไป

เขาไม่มีทางปล่อยให้ถังอี๋และสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จากไป เขามั่นใจว่าจ้าวสยงเกอยังมีไมตรีกับทางนี้อยู่

ถังอี๋เงียบไปเล็กน้อย หากว่าได้ยินประโยคนี้เร็วกว่านี้สักหน่อย บางทีตัวนางที่กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ควรจะเดินไปทางไหนดีก็อาจจะลองสอบถามดูว่าหลังจากนี้มีแผนการใดที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์บ้าง แต่การที่จ้าวสยงเกอตั้งใจปรากฏตัวขึ้นเพื่อชี้แนะได้ชี้เส้นทางให้แก่ทางนี้แล้ว ตัวนางก็ตัดสินใจไปแล้วเช่นกัน ไม่มีทางคิดจะเสียเวลาอยู่ต่อเพื่อรอคอยอนาคตที่ไม่ทราบแน่ชัดอีกต่อไป

ถังอี๋เอ่ยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม “น้ำใจของคุณชายใหญ่ข้ารับไว้ด้วยใจ นี่คือการตัดสินใจของทุกคนในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มาครั้งนี้ก็เพื่อมาอำลาคุณชายใหญ่”

เซ่าผิงปอไม่ยอมรับเรื่องกล่าวอำลา เขายิ้มน้อยๆ เอ่ยไปว่า “ในเมื่อเป็นการตัดสินใจของทุกคนในสำนัก เช่นนั้นข้าจะไปพบกับฝ่าซือทุกท่าน เรื่องพูดโน้มน้าวยกให้เป็นหน้าที่ให้ข้าเถิด ไม่มีทางปล่อยให้ท่านลำบากใจแน่” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืน ผายมือเชิญถังอี๋ให้กลับไปที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์พร้อมกัน

ถังอี๋ก็ลุกตามขึ้น เอ่ยอย่างค่อนข้างลำบากใจ “คุณชายใหญ่…”

ขณะเพิ่งจะเอ่ยปากก็มีเสียงเรียก “คุณชายใหญ่” แว่วเข้ามาพร้อมกัน เซ่าซานเสิ่งเดินกระวีกระวาดเข้ามา ยืนอยู่นอกศาลาแล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย

“รอสักครู่” เซ่าผิงปอเอ่ยอย่างสุภาพ รู้ดีว่าเซ่าซานเสิ่งไม่มีทางเข้ามารบกวนอย่างไร้เหตุผลในสถานการณ์เช่นนี้ เขาหันหลังเดินออกไปภายใต้สายตาของถังอี๋

สองนายบ่าวเลี่ยงออกไปพบกันด้านข้าง เซ่าซานเสิ่งกระซิบกระซาบอยู่ข้างหูเซ่าผิงปอครู่หนึ่ง

พอได้ฟังรายงาน สีหน้าเซ่าผิงปอแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหลือบตามองร่างอ้อนแอ้นเพรียวบางที่อยู่ในศาลาทันที มุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

ข่าวที่เซ่าซานเสิ่งมารายงายเป็นรายงานด่วนจากกองทัพนอกเมือง บอกว่ามีทหารอยู่ในป่าที่อยู่ในละแวกใกล้ๆ เจอสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง สัตว์ร้ายบุกเข้ามาในค่ายทหาร อาวุธฟันแทงไม่เข้า ทำให้ทหารบาดเจ็บไปไม่น้อย ศิษย์สำนักเขามหายานที่มุ่งหน้าไปจัดการก็ทำได้เพียงขับไล่สัตว์ร้ายออกไปเท่านั้น ไม่กล้าทำอะไรสัตว์ร้าย บอกเพียงว่าสัตว์ร้ายตัวนี้คือโห่วขนทอง เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังไม่ธรรมดา ไม่สมควรล่วงเกิน!

พอได้ยินว่าโห่วขนทอง เซ่าผิงปอก็นึกเชื่อมโยงไปถึงใครบางคนทันที เขาให้ความสนใจจ้าวสยงเกอ จะไม่ทราบได้อย่างไรว่าสัตว์พาหนะของจ้าวสยงเกอคือโห่วขนทอง

……

ณ ประตูตะวันออกของเมืองเป่ยโจว ขบวนคนหลายร้อยชีวิตมุ่งหน้าออกจากเมือง เดินทางจากไป

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จากไปแล้ว ในที่สุดก็ได้ออกจากเมืองเป่ยโจวที่ติดอยู่มานานหลายปี

หลังบานหน้าต่างของหอคอยบนกำแพงเมืองที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เซ่าผิงปอที่สวมเสื้อคลุมกันลมเฝ้ามองคณะเดินทางอย่างเงียบๆ

ไม่ใช่ว่าเขาอยากปล่อยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป แล้วก็มิใช่เพราะเขาไม่มีวิธีรั้งถังอี๋ไว้ หากแต่เป็นเพราะเขาไม่กล้าหน่วงเหนี่ยวไว้ แล้วก็ไม่กล้ายื้อให้อยู่ต่อ

ขณะที่ถังอี๋มากล่าวอำลาในจวนผู้ว่าการมณฑล โห่วขนทองของจ้าวสยงเกอก็ปรากฏตัวขึ้นนอกเมือง นี่จะใช่เรื่องบังเอิญหรือ? โห่วขนทองบุกเข้าไปในค่ายทหารทำร้ายไพร่พลในสังกัดเขา นี่ไม่ใช่เจตนาดีแน่นอน เขารับรู้ได้ถึงคำเตือนที่แฝงอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

จ้าวสยงเกอมิใช่ถังอี๋ แล้วก็ไม่ใช่คนที่เขาจะจัดการได้ด้วยกำลังที่มีอยู่ในขณะนี้ แม้แต่สำนักเขามหายานก็ยังไม่กล้าล่วงเกินจ้าวสยงเกอ แผนการที่วางมานานหลายปีเมื่อเผชิญกับพลังที่แข็งแกร่งก็สลายหายวับไปในชั่วพริบตา

“แค่กๆ…” เซ่าผิงปอที่ทอดตามองออกไปไกลพลันไอแค่กๆ ขึ้นมา กำมือป้องปากไว้

เซ่าซานเสิ่งก้าวเข้ามาลูบหลังให้เขาทันที

หลังจากลมหายใจปลอดโปร่งแล้ว เซ่าผิงปอที่โก่งหลังไออยู่ก็เหยียดเอวขึ้นมา เอ่ยว่า “ส่งลู่เซิ่งจงไปจับตามอง ดูว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไปที่ใด”

เขาอยากรู้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังจะไปไหนได้ จ้าวสยงเกอที่มีสถานะชวนกระอักกระอ่วนเช่นนั้นจะช่วยสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปที่ไหนได้

“ขอรับ” เซ่าซานเสิ่งตอบรับ

ฝุ่นฟุ้งตลบไปตลอดเส้นทางหลวง ถังอี๋ที่ควบม้านำหน้าอยู่รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็รอดพ้นจากสถานที่ที่ทำให้นางรู้สึกอับจนหนทางแห่งนี้แล้ว ราวกับหลุดพ้นออกมาจากบึงโคลน แม้เส้นทางเบื้องหน้าจะยังพร่ามัว แต่กลับสบายตัวขึ้นมาก

เรื่องค่ายทหารนอกเมืองถูกสัตว์ร้ายเข้าโจมตีตัวนางก็ได้ทราบในภายหลังเช่นกัน หลังจากทราบว่าเป็นโห่วขนทอง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเมื่อวานจู่ๆ เซ่าผิงปอก็เปลี่ยนท่าทีไปอย่างกะทันหัน ไม่ฝืนรั้งตัวนางไว้อีก ที่แท้อาจารย์อาออกโรงแล้ว!

เรื่องนี้ทำให้นางค่อนข้างตื่นเต้นอยู่ภายในใจ ศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในกาลก่อนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่ทอดทิ้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไป หาได้ปล่อยให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังโดยไม่เหลียวแล

ในอดีตสำนักเซียนสถิตบุกโจมตีกะทันหัน ขณะที่สำนักกำลังจะถูกกวาดล้าง โห่วขนทองก็ปรากฏตัวขึ้นข่มขวัญศัตรูให้ล่าถอยไป!

ยามนี้ก็ใช้โห่วขนทองดึงดูดนางไปพบเพื่อชี้ทางให้นาง!

หลังจากนั้นก็ส่งโห่วขนทองไปปรากฏตัวข่มขวัญเซ่าผิงปอ!

เมื่อตระหนักได้ว่าเบื้องหลังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมีที่พึ่งอันยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่ จิตใจถังอี๋จึงเปี่ยมด้วยความฮึกเหิม มีความมั่นใจพร้อมจะเผชิญหน้ากับปัญหายากลำบากทุกอย่าง!

….

บนภูเขาที่มีเมฆหมอกลอยอบอวล คนกลุ่มหนึ่งทะยานลงสู่เส้นทางเลียบตีนเขา ผู้มาคือเผิงโย่วไจ้ที่นำกลุ่มผู้อาวุโสสำนักหยกสวรรค์มุ่งหน้ามา

มีรถม้าหลายคันจอดอยู่บนถนน บนรถม้าเต็มไปด้วยกล่องมากมาย

เฟิงเอินไท่ที่เดินทางมาคุ้มกันขบวนรถม้าเปิดกล่องใบหนึ่งออก เผยให้เห็นขวดสุรากระเบื้องเคลือบสีขาวที่จัดเรียงไว้ด้านในอย่างเป็นระเบียบ เผิงโย่วไจ้หยิบสุราขวดหนึ่งออกมาเปิดฝาขวดดมเล็กน้อย กลิ่นสุราหอมฟุ้ง

เผิงโย่วไจ้วางขวดสุรากลับไป รับจดหมายไปเปิดอ่านดู

สุราเป็นสุราที่ทางหนิวโหย่วเต้าผลิตขึ้นจากนั้นก็ส่งจดหมายมาหาเฟิงเอินไท่ ระบุพิกัดให้พี่ใหญ่ร่วมสาบานคนนี้ไปรับของ จดหมายก็เป็นจดหมายจากหนิวโหย่วเต้า เมื่อเฟิงเอินไท่ไปถึงจุดหมายตามที่ระบุไว้เพื่อรับสินค้าก็ได้รับจดหมายฉบับนี้มาด้วย

ในจดหมายมีเนื้อความสั้นๆ ว่า กฎเกณฑ์คงเดิม หวังว่าจะดำเนินด้วยดีไม่มีปัญหา!

เผิงโย่วไจ้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เนื้อความในจดหมายสื่อให้เห็นถึงเจตนาข่มขู่ที่แฝงมา คล้ายจะเตือนสำนักหยกสวรรค์ว่าให้อยู่เฉยๆ อย่าก่อปัญหา เรื่องนี้ทำให้เพลิงโทสะลุกโหมในใจเผิงโย่วไจ้เล็กน้อย แต่จนถึงตอนนี้ทางนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงบงการวังสวรรค์หมื่นวิมานได้ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ อีกสารพัด ทำให้สำนักหยกสวรรค์ไม่กล้าผลีผลามลงมือกับหนิวโหย่วเต้าจริงๆ

ในขณะเดียวกัน ถ้อยคำที่ว่า ‘กฎเกณฑ์คงเดิม’ รวมถึงสุราที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ายอมประนีประนอมอ่อนข้อให้ กำไรจากการค้าสุรายังมอบให้สำนักหยกสวรรค์ต่อไป เพื่อที่สำนักหยกสวรรค์จะได้ไม่ออกตามหาเขาไปทุกแห่งหน หาเรื่องกัดเขาไม่ยอมปล่อย

จดหมายในมือสลายเป็นเถ้าปลิดปลิวไป เผิงโย่วไจ้หันไปหาผู้อาวุโสคนหนึ่งแล้วส่งสายตาไปยังสุราเบื้องหน้า “นำไปจัดจำหน่ายซะ!”

ทั้งคณะหันหลังเดินทางขึ้นเขา

ทั้งคณะเพิ่งกลับมาถึงนอกโถงหลักบนยอดเขา ศิษย์คนหนึ่งก็นำจดหมายลับที่ผ่านการถอดความแล้วมาส่งให้อีกครั้ง เผิงโย่วไจ้รับไปอ่านดู ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งจดหมายให้คนอื่นๆ อ่านต่อ

หลังจากผู้อาวุโสทั้งหลายได้อ่านจดหมายต่างก็มีสีหน้าแปลกใจ ผู้อาวุโสหลีอู๋ฮวาของวังสวรรค์หมื่นวิมานจะแต่งงานกับไห่หรูเยวี่ย!

….

ณ จวนผู้ว่าการมณฑลหนานโจว ซางเฉาจงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานก็ได้รับข่าวเรื่องเดียวกัน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” หลังจากซางเฉาจงได้ยินรายงานข่าวก็งงงวยยากจะเข้าใจได้ เอ่ยถามไปว่า “แล้วปฏิกิริยาของคนในจินโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลานรั่วถิงกล่าวว่า “หากเป็นแต่ก่อนอาจจะก่อให้กองกำลังบางส่วนในสายตระกูลเซียวไม่พอใจแล้วก่อจลาจลขึ้นมา แต่หลังจากการลงมือก่อนหน้านี้ของวังสวรรค์หมื่นวิมานที่มีทั้งสังหารหรือเปลี่ยนตัวคนบางส่วนไป ทำให้กองกำลังในสายตระกูลเซียวรู้สึกได้ถึงวิกฤตอันตราย การแต่งงานใหม่ของไห่หรูเยวี่ยในครั้งนี้จึงได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังในสายตระกูลเซียวเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะรักษากองกำลังตระกูลเซียวให้ปลอดภัยได้ สตรีอย่างไหjหรูเยวี่ยคนนี้ก็ร้ายกาจมากจริงๆ อาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนกองกำลังตระกูลเซียวให้กลายเป็นกองกำลังตระกูลไห่ได้ในชั่วพริบตา เกรงว่าภายหน้าจินโจวคงมิได้ขึ้นอยู่กับตระกูลเซียวอันใดอีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”

“เฮ้อ!” เหมิงซานหมิงที่นั่งบนรถเข็นด้านข้างถอนหายใจออกมา “สตรีนางนี้ก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่ง ในอดีตยามที่มีพายุหิมะตกหนัก นางหลบหนีไปซ่อนตัวในหุบเขาเพียงลำพัง สภาพที่หนาวจนเกือบแข็งตายนั้นข้ายังจดจำได้ดี! เรื่องราวในโลกพลิกผันไม่จีรัง ไม่คิดเลยว่าหญิงสาวใสซื่อคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วจะต้องเดินอยู่บนเส้นทางการแย่งชิงอำนาจ!”

สำหรับเรื่องนี้ ซางเฉาจงและซางซูชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้แต่นิ่งเงียบเท่านั้น สองพี่น้องไม่สะดวกจะกล่าวอะไรถึงความสัมพันธ์ระหว่างไห่หรูเยวี่ยและบิดาของตน

องครักษ์คนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พี่สะใภ้หลี่พาบุตรชายทั้งสองมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

พี่สะใภ้หลี่ที่กล่าวถึงมีชื่อเต็มว่าหลี่หงฮวา เป็นภรรยาของหลัวอัน ก่อนหน้านี้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านลับในป่าเขาลึกลับแห่งนั้นมาตลอด เพิ่งถูกรับตัวมาในครั้งนี้

เหมิงซานหมิงเม้มปากขึ้นมา

ซางเฉาจงเอ่ยไปทันที “รีบเชิญเข้ามา!”

ผ่านไปครู่หนึ่ง หญิงวัยกลางคนที่แต่งกายแบบหญิงชาวบ้านทั่วไปก็เข้ามาพร้อมกับเด็กชายสองคนที่อายุห่างกันไม่มากนัก พอเห็นซางเฉาจงก็ทำความเคารพ

ซางเฉาจงรุดเดินเข้าไปหา ยื่นมือออกไปปรามไว้ “พี่สะใภ้หลี่ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี!”

หลี่หงฮวาไม่เคยพบซางเฉาจงมาก่อน จึงค่อนข้างประหม่า สุดท้ายเป็นเหมิงซานหมิงที่เอ่ยปากขึ้นว่า “หงฮวา ทำตามที่ท่านอ๋องบอกเถอะ หงฮวา ที่ให้เจ้าพาบุตรชายมาครานี้เพราะอยากถามว่าเจ้าวางแผนอนาคตของเด็กสองคนนี้ไว้อย่างไร”

พอเอ่ยมาถึงตรงนี้ ขอบตาของหลี่หงฮวาก็แดงเรื่อขึ้นมา น้ำตารื้นทันที นางย่อมทราบข่าวที่หลัวอันสิ้นใจในการต่อสู้แล้ว ถึงแม้จะผ่านช่วงเวลาที่เสียใจที่สุดไปแล้ว แต่ยามนี้พอนึกถึงขึ้นมาก็อดไม่ได้ที่โศกเศร้าเสียใจ

เด็กชายทั้งสองกำลังเช็ดน้ำตาเช่นกัน

เมื่ออยู่ต่อหน้าซางเฉาจง หลี่หงฮวาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี

สุดท้ายก็เป็นเหมิงซานหมิงที่เอ่ยจัดแจงให้ “เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าเองก็มองเด็กสองคนนี้เติบใหญ่ขึ้นมา พอจะเข้าใจอุปนิสัยอยู่บ้าง เดี๋ยวข้าจะช่วยตัดสินใจเรื่องของเด็กๆ แทนหลัวอันเอง เจ้าใหญ่ให้มาติดตามข้า ส่วนเจ้ารองให้กราบหลานรั่วถิงเป็นอาจารย์ ภายหน้าให้ติดตามเสี่ยวหลาน เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”

หลี่หงฮวาพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลากตัวบุตรชายทั้งสองเข้ามา สามแม่ลูกคุกเข่าลงตรงหน้าเหมิงซานหมิง คารวะขอบคุณพร้อมกัน

เหมิงซานหมิงก็ไม่ได้ห้ามปราม เพียงยกมือส่งสัญญาณให้เจ้ารองที่คุกเข่าอยู่เล็กน้อย ชี้ไปยังหลานรั่วถิงพลางเอ่ยว่า “ไปกราบอาจารย์สิ!”

เจ้ารองลุกขึ้นมา เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าหลานรั่วถิงที่แปลกหน้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็คุกเข่าลงอีกครั้ง…

กระทั่งสามแม่ลูกถูกคนนำทางพาไปพักผ่อนแล้ว ซางเฉาจงที่นิ่งเงียบอยู่ในห้องโถงพักหนึ่งก็นึกถึงหนิวโหย่วเต้เพราะเรื่องของสามแม่ลูก

จู่ๆ คณะสงฆ์กลุ่มนั้นของวัดหนานซานรวมถึงผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านลับกลางเขาแห่งนั้น เป็นหนิวโหย่วเต้าที่ส่งตัวไป แต่ไม่เห็นพวกหนิวโหย่วเต้าเลยแม้แต่คนเดียว

พอนึกถึงเรื่องนี้ ซางเฉาจงถอนหายใจเอ่ยไปว่า “จนถึงตอนนี้เต้าเหยี่ยก็ไม่ปรากฏตัวเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าไปอยู่ที่ไหน”

เหมิงซานหมิงเอ่ยว่า “คนผู้นั้นแต่ไหนแต่ไรทำอะไรลึกลับไม่เปิดเผย ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องคิดมากไปพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นคนฉลาด ไม่มีทางกระทำการใดโดยไม่วางแผนก่อน พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ”

…………………………………………………………….