บทที่ 451 แก้ปัญหาปากท้อง

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 451 : แก้ปัญหาปากท้อง

บทที่ 451 : แก้ปัญหาปากท้อง

“นี่แหละของขวัญจากพระเจ้า” ชายชุดคลุมดำกล่าวกับหลินเจี๋ย

เขาถือหนังสือ ‘นิมิตโกลาหล’ เล่มหนึ่งไว้ในมือ

มลภาวะและการกลายพันธุ์มาถึงขึดจำกัดของมนุษย์ตั้งแต่ที่ชั้นสี่ และชั้นที่สามารถทำเหมืองได้ ที่จริงแล้วมีเพียงชั้นหกและเจ็ดที่เร้ดอยู่

ชั้นสี่จะกลายสภาพเพียงรูปลักษณ์ของมนุษย์ ในขณะที่ชั้นสามเปลี่ยนความคิดของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง

ดังนั้นคนในชั้นสามจึงไม่ถือว่าตนเองเป็นมนุษย์อีกต่อไป…

เร้ดขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำว่า ‘ของขวัญจากพระเจ้า’ จากชายชุดคลุมดำ…เพราะมีการปกป้องของหลินเจี๋ยอยู่ เธอจึงไม่ได้ประสบการปนเปื้อนมากนัก

อันที่จริง เธอไม่เห็นด้วยเรื่องที่การกลายพันธุ์คือของขวัญจากพระเจ้า เธอคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์…

มนุษย์ควรดูเหมือนมนุษย์ อย่างน้อยก็คนอย่างหลินเจี๋ย

และในเมื่อเขากลายเป็นอย่างที่เขาเป็นตอนนี้ไปแล้ว แปลว่าต้องเป็นผลมาจากหมอกสีเทาอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณลุง เราขุดแร่ที่นี่แล้วไปได้ไหม?” เร้ดประสานมือด้วยดวงตากลมโตทอประกาย ถามอย่างน่ารัก

“แน่นอนสิ” ชายคนนั้นยิ้ม

เร้ดแทบกระโดดโลดเต้น คว้ามือหลินเจี๋ยเขย่าอย่างดีอกดีใจ

“แร่พวกนี้คือของขวัญจากพระเจ้าแก่เรา หนึ่งในของขวัญที่ทรงประทานแก่ผู้ศรัทธาในพระองค์” ชายคนนั้นพูดต่อ “หากพวกคุณต้องการแร่นี้ ก็ต้องเข้าร่วมกับโบสถ์แห่งโรคระบาด เผยแพร่พระกรุณาของพระเจ้าด้วยกัน”

คำพูดอย่างนักบวชทำให้เร้ดหยุดยิ้มกะทันหัน

“ฉัน…”

หลินเจี๋ยปล่อยมือเร้ด มองอุโมงค์ชั้นสามซึ่งเต็มไปด้วยแร่ทอประกายฝังอยู่ทุกที่

และต่างจากคนที่ชั้นหกและเจ็ด คนที่นี่จะสวมชุดคลุมสีดำเหมือนกัน แต่พวกเขาทุกคนอยู่ในโซนแข็งแกร่ง และดวงตาของทุกคนเหมือนสัตว์ร้ายบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์ แถมยังมีพลังเหนือธรรมชาติด้วย

กลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเหล่านี้ดูราวกับเป็นกองทัพ

ดวงตาของหลินเจี๋ยมองไปที่ปากบ่อน้ำอันมืดสนิท เขากำลังจะกลับสู่ร่างของเขาจริง ๆ เสียที

ร่างของเขาเป็นเพียงร่างกายไร้สติ และเขาก็คือเจตจำนงที่แท้จริง ทำไมคนพวกนี้ถึงถูกสิ่งไม่มีสติทำให้แปดเปื้อนเอาได้ล่ะ?

ในขณะที่หลินเจี๋ยเริ่มใช้พลังส่วนหนึ่งสัมผัสหาร่างที่ไร้สติของเขาอยู่นั้นเอง เสียงร้องขอความช่วยเหลืออันคุ้นหูก็ดังในใจเขาอีกครั้ง

“…โดริส?” หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว แต่เขาได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้จริง ๆ

กล่าวตามตรงก็คือ มันเป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากอดีต

ม่านตาของหลินเจี๋ยสั่นไหวราวเข้าใจบางอย่าง เอลฟ์ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยบอกว่าเธอจะมาหาเขา ดูจะร้องขอความช่วยเหลือจากที่นี่

“สาวน้อย ตัดสินใจได้หรือยัง?” ชายคนนั้นยังคงยิ้ม ใบหน้าของเขาดูไม่ได้ เส้นหนวดสีดำดูราวเส้นผมของเมดูซ่า ชวนตะขิดตะขวงใจและเต็มไปด้วยการเชื้อเชิญ

“เอ่อ…ฉันจะเข้าร่วมโบสถ์แห่งโรคระบาดอย่างไรเหรอคะ?” เร้ดถามอย่างลังเล

“ในอดีต เธอก็แค่สาบานต่อหุบเหวอันนำไปสู่พระเจ้าเท่านั้น แต่ตอนนี้จากการชี้นำของพระเจ้า เธอต้องสาบานตนโดยแตะหนังสือเล่มนี้แล้วอ่านมันอย่างตั้งใจ”

เร้ดกลืนน้ำลายมองหนังสือ…

หนังสือประหลาดเล่มนี้ก็แค่ความฝันอันวุ่นวายที่หลินเจี๋ยฝันขณะร่างกายยังไร้สติ แต่ในสายตาของคนทั่วไป มันคือการปนเปื้อนทางจิตใจที่เข้มข้นสุด ๆ

หน้าปกสีดำดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับหุบเหว เหมือนวังวนไม่รู้จบซึ่งดูดกลืนทุกเหตุผลของมนุษย์

“ไม่…ไม่ ไม่เอาแล้ว” เร้ดรีบยกมือขึ้น เงยหน้าพูดกับหลินเจี๋ย “เจ้าของร้านหลิน รีบ ๆ กลับขึ้นไปกันเถอะ เราไม่ต้องการแร่แล้ว”

ชายคนนั้นแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย และกล่าวว่า “พวกแกสมัครใจทำแบบนี้เองนะ พวกคนเบื้องบนไม่รู้เรื่องราว ถ้าไม่มีการคุ้มครองจากพระเจ้า พวกแกจะผ่านชั้นสี่อีกคงทำไม่ได้แล้วล่ะ”

เร้ดตกใจกลัว กำเสื้อของหลินเจี๋ยแรงขึ้น

และหลินเจี๋ยก็ไม่ได้ฟังคำพล่ามของคน ๆ นี้เลย

“ถามหน่อย พวกคุณเคยจับกุมเอลฟ์มาได้หรือเปล่า?” หลินเจี๋ยโพล่งถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความแน่ใจ ราวกับไม่ได้มาถาม แต่มาไต่สวน

เสียงของเขาดังเสียจนสมาชิกโบสถ์แห่งโรคระบาดคนอื่น ๆ ยังหันมามองเขาด้วยสายตาตื่นตะลึง

“อยากให้ผมถามอีกครั้งไหม?” หลินเจี๋ยถาม

“…นี่แกพล่ามบ้าอะไรอยู่เนี่ย?”

“สาบานกับหุบเหวอะไรนั่นของพวกคุณสิ” หลินเจี๋ยชี้ก้นบ่อน้ำอันมืดดำอย่างไร้อารมณ์ ดวงตาสีดำมืดดั่งบ่อน้ำ

ท่าทีเหมือนไต่สวนของหลินเจี๋ยทำให้คนจากโบสถ์แห่งโรคระบาดรีบล้อมพวกเขาไว้ทันที

เร้ดแสดงสีหน้ากระวนกระวาย ดึงเสื้อของหลินเจี๋ยแรง ๆ เพื่อเรียกสติเขาหันมามองเร้ดอย่างไม่รู้ตัว

แววตาของเด็กหญิงแสดงถึงความกังวลและความกลัว ในความเข้าใจของหลินเจี๋ย เด็กคนนี้ไม่เคยมีอะไรให้กังวล เป็นแค่เด็กอายุเก้าขวบที่น่าสงสารจริง ๆ

น่าสงสาร…หลังจากคำนี้เด้งขึ้นมาในใจหลินเจี๋ย เขาก็ดูเหมือนได้รับความเป็นมนุษย์คืน คว้ามือเร้ดและกล่าวว่า “ขอโทษครับ เรารีบไปกันดีกว่า”

เร้ดพยักหน้าหงึกหงัก…

ผู้คนที่รายล้อมไม่ได้หยุดเขา มีเพียงการถือหนังสือ ‘นิมิตโกลาหล’ ไปด้วยเท่านั้น จึงจะทำให้สัตว์ประหลาดที่ชั้นสี่ไม่เข้ามาทำร้าย ไม่อย่างนั้น พวกเขาก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัตว์ประหลาดอย่างเลี่ยงไม่ได้

“เจ้าของร้านหลิน? นายกลัวไหม?” เร้ดถามเสียงต่ำ

หลินเจี๋ยแปลกใจเล็กน้อยและตอบ “ไม่เป็นไรหรอกครับ”

“อย่ากลัวนะ ใช้นี่จัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเลย” เร้ดถอดสร้อยมรกตในมือ และยกมันขึ้นตรงหน้าหลินเจี๋ย

ช่างน่าเสียดายที่สร้อยถูก ๆ นี่หยาบมาก

แต่หลินเจี๋ยก็ยังพยักหน้าราวกับฝืนความกลัวได้เพราะคำให้กำลังใจของเร้ด

คนจากโบสถ์แห่งโรคระบาดมองพวกเขาด้วยแววตาเย็นชา มองเร้ดปีนบันไดช้า ๆ และหลินเจี๋ยก็ไต่บันใดตามเธอไปช้า ๆ แต่กระชั้นชิดภายใต้ทุกสายตา

เร้ดกัดฟัน กำสร้อยในมือและพุ่งขึ้นสู่ชั้นสี่

พื้นผิวชั้นสี่เริ่มเคลื่อนไหว เนื้อหนังของทุกคนที่หลอมรวมกันดูราวกับพรมผืนเดียว

ทันทีที่หลินเจี๋ยเข้าใกล้เจ้าสัตว์ประหลาด เขาก็ปลดปล่อยพลังที่ทำให้สัตว์ประหลาดอึ้งไปทันที และในขณะเดียวกันก็ทำให้สร้อยเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นอีก

เร้ดปีนขึ้นจากบ่อน้ำ เธอหอบราวกับเพิ่งหนีจากมหันตภัยได้ และทรุดลงกับพื้นอย่างไม่รักษาภาพลักษณ์ อกน้อย ๆ ของเธอกระเพื่อมขึ้นลง แผ่สองสลึงกับพื้น

และหลินเจี๋ยก็ค่อย ๆ ปีนออกมาจากบ่อน้ำ

“ดีจัง ดีจังเลย” เร้ดพูดพลางปิดปากตัวเอง “อย่างน้อยก็รอดกลับมาได้ เทียบกับชั้นล่าง ๆ ฉันคิดว่าอากาศที่ชั้นหกเราดีกว่าเยอะเลย”

หลินเจี๋ยมองลงไปที่พื้น

ครืน…!

เสียงเหมือนเครื่องยนต์ของรถดังเข้าสู่โสตประสาทคนทั้งสอง

นี่คือครั้งแรกที่หลินเจี๋ยได้ยินท้องของใครสักคนส่งเสียงได้ยาวขนาดนี้

“ถึงเราจะวนเวียนอยู่ใต้ดินทั้งวัน ผมยังแก้ปัญหาหนึ่งไม่ได้เลย”

หลินเจี๋ยเอียงคอ แม้จะพูดอย่างเสียดาย แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าใด ๆ ราวกับแค่พูดความจริง “ปัญหาแร่แก้ไม่ได้ แปลว่าปัญหาปากท้องก็แก้ไม่ได้ด้วย”

“ใครบอก!” เร้ดลุกพรวดขึ้นมาและแสดงก้อนหินในมือ

“ดูนี่! หินแร่นี้ฉันเอามาจากร่างของมนุษย์เนื้อที่ชั้นสี่ ถึงจะน่าสะอิดสะเอียนไปหน่อย แต่นี่คือแร่ที่หมดไปจากชั้นหกแล้ว แลกอาหารได้เยอะเลยล่ะ”

เร้ดยิ้มยิงฟันขาว…