บทที่ 417 นามของบุตรสาว

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 417 นามของบุตรสาว

บทที่ 417 นามของบุตรสาว

เหล่านางสนมของไป๋ลี่อยู่ในหมู่บ้านชิงสือนานกว่าหนึ่งเดือน

ในเดือนที่ผ่านมา… ไป๋ชิวหรานไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์ของเขา เห็นเพียงว่าร่างกายอีกฝ่ายซูบผอม ปราณหยางบริสุทธิ์ที่มีอยู่ในร่างกายก็สูญสลายไปเช่นกัน

นางสนมของไป๋ลี่นำน้ำอมฤตและโอสถอายุวัฒนะอันหาได้ยากยิ่งในโลกมาด้วย… ซึ่งบางสิ่งแม้แต่ไป๋ชิวหรานกับหลีจิ่นเหยาก็ยังไม่เคยเห็น พวกนางใช้มันปรุงเป็นอาหารบำรุงให้ไป๋ลี่กินในทุกวัน แม้แต่ไป๋ชิวหรานยังมีบ้างที่เดินไปรับประทานด้วย

ช่วงเดือนนี้ ไป๋ชิวหรานและเล่อเจิ้นเทียนยุ่งอยู่กับภารกิจ…

เล่อเจิ้นเทียนนำเหล่าเซียนทั้งหมดที่ผ่านการทดสอบและเป็นชนชั้นสูงของผู้ฝึกฝนวิธีการแบ่งแยกวิญญาณมาให้แล้ว ไป๋ชิวหรานจึงนำพาพวกเขาสู่เขตแดนจิตสำนึกของโลกนี้ และช่วยให้สร้างอาจารย์อสูรของตนเองขึ้นมา

ด้วยความช่วยเหลือของไป๋ชิวหราน เหล่าเซียนทั้งหมดค่อย ๆ สร้างร่างอวตารอสูรของตนเองทีละคน เนื่องด้วยความคิดที่แตกต่าง ร่างอวตารอสูรเหล่านี้จึงมีความสามารถพิเศษแตกต่างกันออกไป เช่น ลอบวางเพลิง ความเป็นอิสระ ทักษะการจัดการเรื่องต่าง ๆ แม้แต่อสูรบางตนก็ยังมีความสามารถอันคาดไม่ถึง

ตัวอย่างเช่น มันสามารถลากมนุษย์เข้าสู่มิติลี้ลับ หรือดึงมนุษย์เข้าสู่โลกคันฉ่องก็ได้

แม้สิ่งเหล่านี้จะสามารถกระทำได้โดยอาศัยพลังเหนือธรรมชาติ และทักษะเซียน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่อาจารย์อสูรเหล่านี้ใช้ได้โดยสัญชาตญาณ จึงทำให้อำนาจของพวกมันมีอิสระ และทรงพลังเหนือธรรมชาติ

“ความสามารถนี้ยอดเยี่ยม… สามารถวิวัฒนาการอย่างอิสระได้”

เล่อเจิ้นเทียนและไป๋ชิวหรานนั่งยอง ๆ อยู่ใต้ต้นไม้คดเคี้ยวในหมู่บ้านชิงสือด้วยกัน

เขามองอาจารย์อสูรที่ปรากฏขึ้นด้านหลัง มันดูสง่างามประหนึ่งจักรพรรดิ จนอดกล่าวชื่นชมไม่ได้

“เป็นไปตามที่ท่านอาจารย์คาดหวัง คงจะไม่ยากเกินไปที่จะวิวัฒนาการ ทำให้ข้านึกถึงท่านพี่ใหญ่…”

“ท่านพี่ใหญ่งั้นหรือ… ข้ายังไม่พบเจอเขาเลย”

ไป๋ชิวหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถาม

“เจ้านับถือเขาหรือไม่?”

“แน่นอน ไม่ว่าด้านพรสวรรค์หรือขั้นการฝึกฝน ท่านพี่ใหญ่เหนือกว่าข้ามาก และเขาปฏิบัติต่อพวกเราราวกับตนเป็นพี่ชายคนโต ข้าจึงเคารพเขายิ่งนัก”

เล่อเจิ้นเทียนคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวกระซิบ

“บางทีเขาน่านับถือยิ่งกว่าอาจารย์เสียอีก… เพราะท่านพี่ใหญ่ไม่เคยมีเรื่องชายหญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเลย”

“อืม มันย่อมสมเหตุสมผล เขาคือหมาป่าเดียวดาย”

ไป๋ชิวหรานเห็นด้วย

“ข้ายังไม่เคยพบเจอศิษย์ผู้นั้นเลย ได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าชักอยากจะพบเจอเขาเสียจริง น่าเสียดายนัก”

“ตามที่อาจารย์กล่าว ท่านพี่ใหญ่ได้หายไปในเขตแดนแห่งจิตสำนึกของอาจารย์อสูรคราวนั้น”

เล่อเจิ้นเทียนมองขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องมันน่าขันนัก ในสายตาของมนุษย์ปุถุชน ข้าเป็นถึงจักรพรรดิเซียน! ทรงอำนาจราวกับสวรรค์ แต่ตอนนี้ยังอดไม่ได้ที่จะอธิษฐานอ้อนวอนต่อพระเจ้าให้ท่านพี่ใหญ่รอดพ้นจากความตาย ข้ายังแอบหวังว่าอีกด้านหนึ่งของเขตแดนแห่งจิตสำนึกคงมีโลกวัตถุนับไม่ถ้วนที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ บางทีท่านพี่ใหญ่อาจจะสามารถหลบหนีการถูกไล่ล่าของอาจารย์อสูรเหล่านั้น และซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลก… แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของข้าเท่านั้น”

“ต่อไปเจ้าควรจะทำงานให้มากเพื่อดำเนินภารกิจนี้ให้ลุล่วง และปล่อยให้อาจารย์อสูรของพวกเราเติบโตจนถึงขั้นต่อสู้กับเหล่าจอมมารของฝั่งตรงข้ามได้ ในเวลานั้นเราจะบุกโจมตีเขตแดนแห่งจิตสำนึก และหากศิษย์ท่านพี่ใหญ่ผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ ย่อมมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแน่นอน”

ไป๋ชิวหรานกล่าวกับเขา

“ขอรับ”

เล่อเจิ้นเทียนพยักหน้าพร้อมเผยรอยยิ้ม

“กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ท่านบรรพชนกระบี่… ข้าถือครองอาจารย์อสูรแห่งความรู้เอาไว้ ท่านคิดว่าอาจารย์อสูรตนนี้ควรมีนามว่าอะไรหรือ?”

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“อาจารย์อสูรแห่งความรู้ของเจ้าน่าจะเป็นเส้นทางแห่งราชา อีกทั้งเจ้าสามารถใช้พลังในตำนานของมันได้ และมันก็เข้ากับเจ้าดีด้วย อืม… จักรพรรดิผู้ฝึกตนในตำนาน”

เล่อเจิ้นเทียนลังเลที่จะกล่าว แต่ก็ไม่สามารถหักล้างความคิดเห็นของไป๋ชิวหรานได้ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน

“เอาล่ะ ผู้ฝึกตนในตำนานก็ผู้ฝึกตนในตำนาน… อย่างไรแล้วพลังของมันก็เป็นเช่นนั้น”

จากความรู้สึกของเขา ไป๋ลี่กับท่านอาจารย์นั้นเหมือนกันราวกับแกะ

หลังจากผ่านไปสิบวัน นางสนมของไป๋ลี่ยังไม่เต็มใจจะปล่อยไป๋ลี่และกลับสู่แดนเซียน แม้เขาแทบจะกลับกลายเป็นมนุษย์เต็มที

สำหรับไป๋ลี่นั้น… กล่าวได้ว่าชายผู้นี้น่าอนาถสักหน่อย เขาเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง คราวแรกเขาอยู่ในจุดสูงสุดของหมู่บ้านชิงสือ แต่วันนี้กลายเป็นจุดต่ำสุด สูญเสียขั้นการฝึกฝน และปราณหยางบริสุทธิ์พลันมลายหายหมดสิ้น จนตอนนี้ไม่สามารถฝึกฝนได้อีกต่อไป

“ตอนนี้เจ้าสามารถสร้างเรื่องตลกเกี่ยวกับการ ‘อย่ารังแกคนยากไร้’ ที่มีตัวเอกเป็นตัวเจ้าเองได้แล้ว”

หลังจากส่งปราณแก่นแท้เข้าไปช่วยเหลือไป๋ลี่แล้ว ไป๋ชิวหรานก็มองจักรพรรดิเซียนองค์แรกที่นอนป่วยอยู่บนเตียง ก่อนจะส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้

“เมื่อเห็นเจ้าเช่นนี้แล้ว มันทำให้ข้านึกถึงวันที่ข้าเดินไปรอบ ๆ และได้พบเจอแต่สตรีของเจ้าเต็มไปหมด”

ไป๋ลี่ถอนหายใจและไม่กล่าวคำใด แน่นอนว่าตอนนี้เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงเกินกว่าจะโต้ตอบ

ในทางกลับกัน ไป๋ชิวหรานมองลิ่วเยว่เอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้าง ก่อนจะกล่าวกับนาง

“รายการอาหารและโอสถที่จิ่นเหยาบอกกับเจ้า ตามปริมาณของมันแล้วควรจะเป็นสามมื้อต่อวัน ให้เขาทานอาหารเช่นนี้ต่อไปหนึ่งเดือนจะฟื้นฟูสภาพร่างกายกลับมาดีดังเดิมได้ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวเล็กน้อยก่อนหน้า อ่า… ด้วยขั้นการฝึกฝนที่น้อยนิดของเขา เด็กคนนี้จะสามารถกลับมาฝึกฝนได้อีกครั้งภายในสองหรือสามปี”

“อืม…”

แม้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะอายุเพียงสิบสี่ปี แต่ผิวพรรณของนางก็ดูดีมีเสน่ห์ ทรวดทรงเริ่มเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋ชิวหรานจึงกล่าวเตือนอีกครั้ง

“แน่นอน ในช่วงนี้เจ้าต้องอดใจรอไปก่อน… หากไม่อยากเป็นม่าย”

ใบหน้าของลิ่วเยว่เอ๋อร์แดงก่ำเมื่อได้ยินเช่นนั้น มือกำกระโปรงไว้แน่นก่อนจะกล่าวอย่างกระตือรือร้น

“ไม่! ข้าไม่สามารถ”

“มันย่อมไม่ส่งผลดี!” ไป๋ชิวหรานเหลือบมองนาง “ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะไปนั่งตัดสินเขาที่ยมโลก รู้ไหมว่าต้องใช้เวลามากมายกับเรื่องนี้ สิบปีก็ไม่เพียงพอ!” ไป๋ชิวหรานบ่นเสร็จก็ลุกขึ้นก่อนจะกล่าวว่า “หากเข้าใจแล้ว… ข้าขอตัวก่อน”

“ท่านอาจารย์ เดินทางโดยปลอดภัย… แล้วเมื่อข้าลุกขึ้นได้… ข้าจะไปพบท่าน”

ไป๋ลี่ยกมือแสดงความเคารพอย่างอ่อนแรงอยู่บนเตียงราวกับผีตายซาก

“อย่างไรเสีย… แม่นางเจียงหลานจะคลอดบุตรหรือยัง?”

“โอ้ใช่! คราวที่แล้วที่ข้ากลับไป หลานเอ๋อร์บอกว่านางรู้สึกว่ากำลังจะคลอด!”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋ชิวหราน

“หลังจากมีชีวิตมาเนิ่นนาน ในที่สุดข้าก็ได้เป็นบิดา!!”

“เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะให้เจิ้นเทียนพาเจ้าไปรับขวัญลูกข้า”

ไป๋ลี่ยิ้มและยกมือขึ้น

“ตอนแรกข้าคิดว่า… อ้อ ลืมไปเสียเถิด ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องนั้นหรอก อย่างไรข้าก็ต้องดูแลร่างกายของตนให้ดีเสียก่อน”

หลังจากหยุดชั่วขณะ ไป๋ลี่จึงกล่าวถามอีกครั้ง

“เช่นนั้น ท่านอาจารย์ นายน้อยหรือนายหญิงผู้นี้… ท่านตั้งชื่อไว้แล้วหรือยัง?”

“เป็นสตรี…”

ไป๋ชิวหรานหยุดชั่วขณะก่อนจะให้คำตอบ

“ข้าเตรียมไว้แล้ว นางมีนามว่า ไป๋ซวี่เซียง!”