โหยวซื่อจดจ้องไปที่มือของตนเองพลางบอก “ได้มาจากคนหนานเจียง มีอยู่วันหนึ่งตอนที่ข้าไปตลาด ข้าบังเอิญไปเจอสตรีหนานเจียงเปิดร้ายขายสัตว์แปลก ข้าจึงลองถามหาหนอนพิษกู่ ไม่คิดว่านางจะมี…”
เรื่องหนอนพิษกู่ที่ดูดเลือดมนุษย์ฝังอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของนาง
เรียกได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เรื่องหนอนพิษกู่วนเวียนอยู่ในความคิดของนางเสมอมา
“แล้วไปเจอสตรีนางนั้นที่ไหน” เจียงซื่อรุกคืบ
“ที่ถนนซีซื่อ เดินเข้าไปด้านในสุดจะพบร้านค้าเล็กๆ ที่ไม่มีป้ายร้านตราชื่อกำกับ”
เจียงซื่อพยายามจำรายละเอียดก่อนจะหันไปกล่าวแก่เหล่าฮูหยิน “ท่านยาย หลานกับพี่ใหญ่จะพากลับห้อง ช่วงนี้ท่านยายต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้คงที่นะเจ้าคะ”
เหล่าฮูหยินพยักหน้าแช่มช้า
เจียงซื่อและเจียงอีพยุงเหล่าฮูหยินสองข้างซ้ายขวาและเดินออกประตูไป
โหยวซื่อจ้องไปที่แผ่นหลังของทั้งสามก่อนจะตะโกนขึ้นว่า “เหล่าฮูหยิน หากข้าไม่อยู่แล้ว ต้องให้สวินเอ๋อร์และชิงซวงไว้ทุกข์ให้ข้าด้วย!”
เหล่าฮูหยินชะงักฝีเท้าทว่าไม่ได้หันกลับมามอง หญิงชรากล่าวเสียงเรียบ “การไว้ทุกข์ให้มารดาผู้ล่วงลับถือเป็นหน้าที่ของบุตร”
“แต่อายุชิงซวงก็ปาเข้าไปสิบเจ็ดปีแล้ว หากต้องรออีกสามปีการแต่งงานก็ต้องล่าช้าออกไป…”
“ชีวิตสมรสที่ดีมิได้ตัดสินกันที่แต่งช้าหรือแต่งเร็ว ดีเสียอีก ยิ่งนางโตขึ้น นางก็จะเข้าใจอะไรมากขึ้น จะได้ไม่ต้องหลงไปผิดลู่ผิดทาง” เหล่าฮูหยินก้าวเท้าออกไปจากห้อง
ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมทั่วห้อง
น้ารองซูกล่าวเป็นคนแรก “ท่านพ่อ เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นเหล่าอี๋หนิงโหวผงกศีรษะ น้ารองซูก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะดึงสวี่ซื่อออกไป
ในขณะนั้น ในห้องเหลือแต่ผู้แทนจากสามฝ่ายได้แก่ เหล่าอี๋หนิงโหว ลุงใหญ่ซู และเจียงจั้น รวมถึงโหยวซื่อในสภาพสติล่องลอย
“แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ไปอีกล่ะ” เหล่าอี๋หนิงโหวขมวดคิ้วมองหลานชาย
เจียงจั้นกล่าวตอบฉะฉาน “ข้าจะรอฟังว่าท่านตาและท่านลุงใหญ่จะจัดการฆาตกรที่สังหารมารดาของข้าอย่างไรก่อนแล้วข้าถึงจะไปได้”
เหล่าอี๋หนิงโหววางกล้องยาสูบลงบนโต๊ะพร้อมกล่าวเย็นชา “ก็เอาตามที่ยายเจ้าว่านั่นแหละ”
โหยวซื่อจ้องไปที่ลุงใหญ่แซ่ซูด้วยสายตาว่างเปล่า
ลุงใหญ่ซูมองด้วยสายตานิ่งเรียบดุจกัน
มนุษย์มิใช่ต้นหญ้าตอไม้ หากจะบอกว่าหลายปีที่ผ่านมาไม่มีความรู้สึกฉันสามีภรรยาเลยคงไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นความรู้สึกที่มีก็ไม่อาจเทียบกับความผิดที่นางวางยาพิษท่านแม่และน้องสาวได้เช่นกัน
ชีวิตย่อมแลกด้วยชีวิต นี่คือความหมายที่ท่านแม่ต้องการสื่อ อีกทั้งยังเป็นวิถีแห่งความยุติธรรม
ลุงใหญ่ซูเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง บนฟ้ามีห่านป่าตัวหนึ่งโบยบินผ่านไป
เขาถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
เจียงซื่อประคองเหล่าฮูหยินเข้ามาในห้องแล้ว นางก็เดินไปเปิดหน้าต่าง
ลมเย็นสบายไหลรินเข้ามาแทนที่กลิ่นยาจางๆ
เหล่าฮูหยินค่อยๆ นั่งลงบนเตียง ฝ่ายเจียงอีหยิบหมอนมารองที่หลังของหญิงชรา
“ท่านยาย พักเสียหน่อยเถิด หากไม่แล้วร่างกายจะแย่เอานะเจ้าคะ”
ได้ฟังคำของเจียงอีแล้ว เหล่าฮูหยินก็คลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโหยวซื่อจะเปลี่ยนไปได้เพียงนี้!”
เจียงซื่อเม้มปากสนิท
เรื่องบางเรื่องหากลงมือแล้วก็ไม่มีหนทางให้ย้อนกลับ
ตอนแรกโหยวซื่อได้รับคำสั่งจากองค์หญิงใหญ่หรงหยางให้สังหารท่านแม่ นางลงมือได้อย่างง่ายดาย วันเวลาเคลื่อนผ่าน มิทันได้รู้ตัว เมื่อการมีอยู่ของใครอีกคนคุกคามชีวิตนาง นางจึงกลับไปเลือกวิธีที่ง่ายดายที่สุดนั้นอีกครั้ง เพียงเพื่อกำจัดคนผู้นั้นออกไปจากชีวิต
เดิมทีนางมิได้เป็นคนเช่นนั้น แต่ครั้นได้ลิ้มรสชาติของการแก้แค้น นางก็ไม่อาจทนดูคนเหล่านั้นลอยหน้าลอยตาได้อีกต่อไป
สุดท้ายนางก็หาข้ออ้างหลอกตัวเอง และหลอกคนอื่นไปอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้ว นางทำไปเพราะความแค้นอาฆาตส่วนตัวล้วนๆ
“มารดาของพวกเจ้าชีวิตอาภัพยิ่งนัก…” เหล่าฮูหยินขอบตาเปียกชื้น
เจียงอีเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้หญิงชรา
เหล่าฮูหยินมองไปที่เจียงซื่อ
ในสายตาของนาง หลานสาวคนนี้ดูติดจะเย็นชาไปเสียหน่อย เย็นชาจนขนาดที่นางเองก็ดูไม่ออก
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้าบอกข้ามาตามจริงว่า งานวันเกิดข้าเมื่อปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เจียงซื่อนิ่งเงียบชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “น้องชิงอี้รั้งข้าไว้ เพราะตอนนั้นน้องชิงเสวี่ยจงใจพาเขามาที่ศาลา น้องชิงเสวี่ยทำตามคำสั่งของโหยวซื่อ เพราะนางต้องการให้ข้าแต่งงานกับชิงอี้…”
“นางอสรพิษ ตายไปได้ก็ดี!” เหล่าฮูหยินโกรธเกรี้ยวจนหายใจติดขัด
เจียงอีรีบลูบหลังให้นาง
เจียงซื่อพยักหน้าเล็กน้อย “ท่านยายพูดถูก อสรพิษร้ายกาจอย่างนางตายไปได้ก็ดีเจ้าค่ะ!”
“น้องสี่ เจ้ามิต้องพูดแล้ว” เจียงอีเป็นห่วงสุขภาพของเหล่าฮูหยินจึงส่งสายตาปรามน้องสาว
เจียงซื่อเอื้อมมือไปจับแขนเหล่าฮูหยิน แล้วเอาคางวางไว้บนมือตัวเอง
เมื่อครู่ยังดูเป็นหญิงแกร่งอยู่แท้ๆ บัดนี้เปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยนในชั่วพริบตาเสียอย่างนั้น
น้ำเสียงของนางนุ่มนวลยิ่งกว่า “ท่านยาย หากท่านปล่อยให้เรื่องของโหยวซื่อมาบั่นทอนสุขภาพของตัวเอง ไม่คุ้มกันเลยเจ้าค่ะ ท่านยายควรจะรู้สึกยินดีมากกว่า”
“ยินดี?”
“ใช่สิเจ้าคะ แม้ว่าโหยวซื่อจะทำให้ท่านโกรธเคือง แต่ถ้าหากไม่มีเรื่องนี้ ท่านแม่ของข้าคงนอนตายตาไม่หลับ ความชั่วร้าย ต่อให้ไม่มีคนพบ ก็ใช่ว่าไม่มี มันดำรงอยู่แต่เริ่ม ต้องมีคนรู้จึงจะสามารถเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษและคืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ท่านยายว่าจริงไหมเจ้าคะ”
เหล่าฮูหยินพยักหน้าน้ำตานอง “ก็จริงของเจ้า”
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ฉะนั้น คนที่ทำร้ายท่านแม่ได้รับกรรมในสิ่งที่ก่อ ท่านยายว่ามิควรยินดีหรือเจ้าคะ”
“แน่นอนว่าต้องยินดีซิ!” เมื่อเจียงซื่อโน้มน้าวเช่นนี้แล้ว ปมในใจของเหล่าฮูหยินก็คลายไปกว่าครึ่ง
เมื่อออกมาจากห้องของเหล่าฮูหยินแล้ว เจียงซื่อก็กล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เรียกพี่รองเถอะ พวกเราจะได้กลับกันเสียที”
“อื้อ”
ครั้นส่งเจียงอีที่จวนตงผิงปั๋วแล้ว เจียงซื่อไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง นางสั่งให้เหล่าฉินขับรถม้าไปยังถนนซีซื่อ
องค์หญิงฝูชิงถูกสนมของฝ่าบาททำร้ายด้วยการใช้หนอนพิษกู่ ส่วนท่านแม่ก็ถูกโหยวซื่อทำร้ายตามคำสั่งขององค์หญิงใหญ่หรงหยางด้วยวิธีการเดียวกัน แม้ตอนนี้นางจะยังไม่ทราบว่าเฉินเหม่ยเหรินและองค์หญิงใหญ่หรงหยางได้หนอนพิษกู่มาจากที่ใด แต่คาดว่าเบาะแสที่ได้จากโหยวซื่อน่าจะพอเป็นประโยชน์
รถม้าไปหยุดอยู่ที่ทางเข้าถนนซีซื่อ เหล่าฉินเดินนำหน้า กั้นทางไม่ให้ใครเดินชนเจียงซื่อ หลงต้านเดินประกบด้านหลัง แม้ใบหน้าจะไร้อารมณ์ ทว่าสายตาคอยสอดส่ายรอบทิศอยู่ตลอดเวลา
ในขณะนั้นเป็นช่วงที่ถนนซีซื่อครึกครื้นเป็นที่สุด ร้านค้าสองข้างทางเรียงรายเป็นแถวยาว ธงหลากสีโบกโบยพลิ้วไสว คนงานจากร้านค้าวิ่งพล่าน เชื้อเชิญให้ลูกค้าเข้าร้าน
กลุ่มคนทั้งสี่ดูมิใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป น้ำเสียงเชิญชวนของคนงานในร้านถึงได้กระตือรือร้นเป็นเท่าตัว
ระหว่างทางที่เดินไป อาหมานก็ผุดหัวเราะออกมาพลางยื่นนิ้วมือของตัวเองให้เจียงซื่อดู “ดูสิเจ้าคะ ขนาดคนงานที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงของพวกเรายังเรียกลูกค้าอย่างขันแข็งเลยเจ้าค่ะ”
ถนนซีซื่อเป็นที่ขายของใช้ในชีวิตประจำวัน ร้านขายเครื่องประทินผิวมากมายจึงมารวมกันอยู่ในตลาดแห่งนี้
หากเดินเข้าไปเรื่อยๆ เลยถนนที่ขายเครื่องประทินผิวเข้าไปจะพบร้านขายสินค้าอีกนานาประการ
ตอนนี้เป็นช่วงวันธรรมดา ในเมืองหลวงจะมีตลาดนัดทุกๆ ห้าวัน ในวันนั้นจะมีฝูงชนคลาคล่ำเต็มถนน หากได้ลองเบียดเสียดเข้าไปสักครั้ง รับรองได้ว่าร่างกายจะต้องชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ฉะนั้น เหล่าหญิงสาวชนชั้นสูงที่ต้องการเครื่องประทินผิวจึงไม่เคยมาที่นี่ยามที่มีตลาดนัด
เดินไปอีกเป็นเวลาประมาณหนึ่งเค่อ เจียงซื่อก็หยุดยืนอยู่ที่ร้านขายของขนาดเล็กที่ไม่มีแม้แต่ป้ายหน้าร้าน
ร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่นๆ หน้าร้านเงียบเชียบไร้ผู้คน ประตูร้านปิดสนิท ทำให้ลูกค้าไม่แน่ใจว่าเปิดทำการหรือไม่
เจียงซื่อส่งสัญญาณ อาหมานจึงผลักประตูและเดินเข้าไปด้านใน
“มีคนอยู่ไหม”
สตรีนางหนึ่งเงยหน้ามาตามเสียงร้องถามของอาหมาน “คุณลูกค้าต้องหาซื้อหาสินค้าใดรึเจ้าคะ”
อาหมานเอี้ยวตัวเล็กน้อยพลางหันไปส่งยิ้ม “ฮูหยิน มีคนอยู่เจ้าค่ะ”
สตรีนางนั้นมองไปที่เจียงซื่อ แต่แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป “สตรี…”
เจียงซื่อรับรู้เรื่องหนึ่งได้ในบัดดล หญิงผู้นี้รู้จักสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซัง!
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง