บทที่ 417 สถานการณ์ของหลินเหรา
บทที่ 417 สถานการณ์ของหลินเหรา
จวนเซี่ยนั้นไม่ใหญ่นัก ประกอบกับที่เหยาซูเร่งฝีเท้า ไม่นานก็มาถึงเรือนด้านหน้า
หลังจากที่เด็กรับใช้ผู้นำทางได้พาเหยาซูมาถึงห้องหนังสือแล้ว ก็รีบถอยออกไปอีกด้านอย่างรู้งานทันที
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผลักประตูเดินเข้าไป
ภายในห้องนั้นมีแค่เซี่ยเชียนเพียงลำพัง ซึ่งกำลังอ่านจดหมายฉบับหนึ่ง
เขาสวมชุดคลุมสีดำที่ใช้ออกว่าราชกิจ ใบหน้าอันหล่อเหล่านั้นยังคงนิ่งสงบ มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
เหยาซูเข้าไปทำความเคารพเซี่ยเชียนหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ขานเรียกเขาเสียงต่ำ “ท่านน้าเจ้าคะ”
เซี่ยเชียนเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้ามาแล้ว”
เขาวางจดหมายในมือลงอีกด้าน ก่อนจะชี้ที่นั่งด้านข้าง “นั่งสิ”
เหยาซูนั่งลงด้านข้างอย่างคล้อยตาม นิ้วมือเรียวยาวที่เนียนละเอียดกำเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ขยำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือแน่น
ในใจของนางเกิดคำถามมากมาย จนอยากจะโพล่งออกไปในทันใด แต่แล้วก็ต้องกลืนมันลงคอไป และนั่งลงแทบไม่ติด
กระทั่งเห็นสีหน้านิ่งสงบได้แสดงความลังเลที่หาได้ยากยิ่งออกมาเล็กน้อย สุดท้ายเซี่ยเชียนก็เอ่ยปากพูดว่า “อาซู”
เขาหยุดชะงักไป เหมือนกับไม่ค่อยคุ้นชินกับการเรียกหลานสะใภ้ของตัวเองเช่นนี้
แต่มันก็ใช่ เหยาซูไม่เคยเข้าพบเซี่ยเชียนเป็นการส่วนตัว และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ทั้งสองคนต้องมานั่งตรงข้ามกันอยู่ในห้องหนังสือเช่นนี้
เซี่ยเชียนไม่ได้เข้าประเด็นโดยตรง แต่กลับพูดเรื่องอื่นก่อน “จดหมายที่เขียนให้เจ้าก่อนหน้านั้น เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง เรื่องนี้เดิมทีไม่สมควรให้เจ้าได้รับรู้ กระทั่งเจ้าล้มป่วยหนักเสียยกใหญ่”
นิ้วมือของเหยาซูกำหมัดแน่น ทำได้แค่ส่ายหน้าและพูดว่า “ท่านน้าอย่าได้โทษตัวเองเลยเจ้าค่ะ อาการป่วยเกิดจากปัญหาสุขภาพของข้าเอง ไม่เกี่ยวกับจดหมายของท่านน้า เพียงแต่ตอนนี้อาเหราเป็นอย่างไรบ้าง หวังว่าท่านน้าจะทราบนะเจ้าคะ”
เซี่ยเชียนจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของเหยาซู ไม่นานสายตาที่มักจะมีแต่ความอบอุ่นและรอยยิ้มตลอดคู่นั้น ก็ฉายแววตาเด็ดเดี่ยวอย่างแรงกล้าออกมา
เขาจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เอ่ยปากพูดทันที “อาเหราเอาชีวิตรอดได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
จู่ ๆ เส้นประสาทที่หดเกร็งเพราะความเครียดของเหยาซูก็พลันผ่อนคลายลง มือที่เดิมทีกำหมัดแน่นก็คลายในทันที รู้สึกถึงเพียงฝ่ามือที่เจ็บปวด
นางก้มหน้าลงมองกระทั่งพบว่าเล็บมือนั้นจิกลงบนฝ่ามือเรียบร้อยแล้ว กดจนเกิดมีเลือดไหลซิบออกมา
หางตาของเหยาซูรื้นด้วยหยาดน้ำตาบาง ๆ ทว่านางไม่อยากเสียอาการต่อหน้าเซี่ยเชียน จึงได้แต่ฝืนยิ้มและพูดว่า “ท่านน้าพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจเจ้าค่ะ”
เซี่ยเชียนเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพจิตใจของเหยาซู จู่ ๆ ก็เข้าใจความรู้สึกที่นางมีต่อหลินเหราทันใด
มันดูสงบและอบอุ่น ทว่าความจริงแล้วมันเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง
กระทั่งได้ยินเหยาซูพูดเสียงต่ำกับเขา “ข้ารู้เรื่องที่ท่านน้ากำลังทำ มันเกี่ยวพันถึงราชอาณาจักร ข้าเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง ไม่ได้มีเจตนาจะสืบเรื่องการผกผันเปลี่ยนแปลงภายในราชสำนัก แต่…เรื่องเดียวที่ข้าคำนึงถึง และไม่เคยวางใจได้เลยคืออาเหรา ท่านน้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ใด? เป็นอย่างไรบ้าง? ยังปลอดภัยดีหรือไม่?”
ประโยคที่ว่า ‘เอาตัวรอดได้’ ทำให้ความรู้สึกที่ตึงเครียดของเหยาซูพาให้หายใจติดขัด
ภายในหัวใจดวงนั้นก็ยังคงคิดสับสนวุ่นวาย เป็นห่วงความปลอดภัยของหลินเหราไม่ลดน้อยลงแต่อย่างใด
ครั้นเซี่ยเชียนเห็นดังนั้นก็รู้ว่าคงจะปิดบังนางไม่ได้ ทำได้เพียงพูดว่า “ตอนนี้อาเหราอยู่ในจวนของข้า ยังสลบไสลอยู่”
ดวงตาของเหยาซูแดงก่ำทันใด หญิงสาวกะพริบตาพยายามไล่น้ำตาออกไป แต่แพขนตาของนางกลับเปียกชุ่ม ทำให้ดวงตาคู่นั้นเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตาที่กำลังจะหลั่งรินออกมา
ครั้นเห็นเหยาซูมีอาการเช่นนี้ เซี่ยเชียนที่ใจแข็งดั่งศิลา ก็อดหวั่นไหวไม่ได้
เขาพูดเสียงต่ำ “เจ้าอยากรู้เรื่องราวทั้งหมดใช่หรือไม่?”
เหยาซูคาดไม่ถึงว่าเซี่ยเชียนจะยอมบอก กระทั่งเข้าใจความกังวลของเขา จึงได้โพล่งออกไปทันทีว่า “ถ้าท่านน้ายอมบอกข้า ข้าจะไม่ให้บุคคลที่สามล่วงรู้เด็ดขาดเจ้าค่ะ”
เซี่ยเชียนรู้ว่าถึงแม้เหยาซูจะดูอ่อนแอ แต่ความจริงแล้วกลับมีนิสัยเด็ดเดี่ยวมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องของหลินเหรา คิดว่านางคงไม่มีทางเกือบจะร้องไห้ออกมาต่อหน้าของตัวเองเช่นนี้
เซี่ยเชียนตั้งสติแล้วเอ่ยปาก “ตอนนี้อาเฉาและอาเหรา ล้วนกำลังปฏิบัติภารกิจให้แก่ฝ่าบาท คิดว่าเจ้าก็คงรู้”
เหยาซูพยักหน้าและพูดเสียงเบา “ก่อนที่อาเหราจะไปซีเป่ย ได้บอกกับข้าไว้แล้วเจ้าค่ะ ว่าเขาต้องเป็นดาบให้แก่ฝ่าบาท”
เซี่ยเชียนตอบรับหนึ่งเสียง แล้วพูดต่อว่า “ข้าพาพวกเขาเข้าไปในวังวนของอำนาจ ทำทุกอย่างให้เต็มที่ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของพวกเขาสองคน”
เหยาซูได้ยิน ในใจก็พลันหยุดชะงัก
เซี่ยเชียนช่างเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้จริง คำสัญญาทั้งหมดของเขาคือความจริง
น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราบเรียบ เหมือนกับความลับที่จะพูดต่อนั้นไม่สามารถดึงดูดให้โลกพังทลายได้ เป็นเพียงแค่เรื่องในชีวิตประจำวันระหว่างพวกเขาสองคน “ตอนนี้เมืองภายใต้การปกครองของฝ่าบาท มีโจรที่พยายามคิดก่อจลาจล มีพวกต่างเมืองคอยจับตามองอยู่ ทั้งสองฝ่ายสมรู้ร่วมคิดกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ต้องบุกซีเป่ยในคราวนี้ การไปซีเป่ยในคราวนี้ของอาเหรา นอกจากจะยกทัพทำสงครามแล้ว ยังเป็นการสืบหาความจริงนำหลักฐานมาพิสูจน์ต่อหน้าพระพักตร์อีกด้วย”
เหยาซูหายใจติดขัด ดวงตากลมโตค่อย ๆ เบิกกว้างแต่กลับยับยั้งไม่เปล่งเสียงออกมา
หญิงสาวมองไปเซี่ยเชียน น้ำเสียงแผ่วเบาแต่กลับไม่ลดละได้เอ่ยถาม “จดหมายที่ท่านน้าให้ข้า เป็นความจริงหรือไม่เจ้าคะ?”
กระทั่งเห็นเซี่ยเชียนแสดงสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดกับนางว่า “เนื้อหาในจดหมายฉบับนั้นเป็นความจริง ที่ข้าส่งให้ถึงมือของเจ้านั้นเพื่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังยิ่งเชื่อมากขึ้นว่าอาเหราถูกล้อมอยู่ในค่ายศัตรูแล้ว เป็นตายเท่ากัน ประกอบกับการแสดงออกของเจ้า ข่าวคราวที่อาเฉาสืบหาก็ไร้ผลลัพธ์ ยิ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่าอาเหราสาบสูญ”
ยังไม่ทันรอให้เหยาซูได้สติกลับมา เซี่ยเชียนก็พูดขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นข้าเองที่คิดไม่รอบคอบ ไม่เคยคิดว่าเรื่องของอาเหราจะทำให้เจ้าล้มป่วยยกใหญ่”
เหยาซูหวนนึกถึงความรู้สึกหลังจากที่ตัวเองได้รับจดหมายของเซี่ยเชียน และเรื่องที่เหยาเฉาทำ จึงค่อย ๆ เข้าใจถึงความตั้งใจของแผนการที่เซี่ยเชียนวางไว้
เหยาซูเพิ่งได้เข้าใจ ว่าเหตุใดประโยคแรกเมื่อครู่ถึงได้ขอโทษนาง
หญิงสาวส่ายหน้าและพูดอย่างจริงจัง “ท่านน้าไม่ต้องขอโทษอะไรข้าทั้งนั้นเจ้าค่ะ เรื่องที่พวกท่านทำ ไม่ว่าจะท่านน้าก็ดี พี่รองก็ดี หรืออาเหราก็ดี ทุกคนต่างแบกรับความกดดันมหาศาล ฝากชีวิตไว้ในกำมือ อาการป่วยของข้านั้นเกี่ยวอะไรด้วย? ตราบใดที่ให้บรรลุเป้าหมายก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
ครั้นเซี่ยเชียนเห็นนางไม่ได้ใส่ใจโดยแท้จริง จึงได้แค่พยักหน้าเล็กน้อย วางเรื่องนี้ลง กระทั่งได้ยินเหยาซูถามขึ้นอีกว่า “อาเหราหาหลักฐานมาได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ? ไม่อย่างนั้นท่านน้าคงไม่ต้องเปลืองแรงเพียงนี้เพื่อปิดบังร่องรอยของเขา”
เซี่ยเชียนพยักหน้า พลางชื่นชมความเฉลียวฉลาดของเหยาซูอยู่ในใจ “อาเหราแฝงตัวเข้าไปในต่างแดน เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เพื่อเอาจดหมายที่พวกโจรติดต่อกับพวกขายชาติมาครอบครอง โชคดีที่เจียงหนิงเจอตัวเขาเลยพาตัวอาเหรากลับมา ตอนนี้อีกฝ่ายยังหาตัวอาเหราไม่พบ จะต้องดิ้นพล่านเหมือนหมาจนตรอก ข้าต้องวางกลอุบายเพื่อซ่อนเขาไว้ในจวนเซี่ย”
แค่คำอธิบายไม่กี่คำของเซี่ยเชียน ก็ทำให้รู้ถึงอันตรายที่หลินเหราต้องไปเสี่ยงแล้ว
เหยาซูนึกถึงสถานการณ์ที่หลินเหราจะต้องเผชิญกับความยากลำบากอยู่เพียงลำพัง ก็อดเจ็บปวดอยู่ในใจไม่ได้ ยามเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางได้เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา “ท่านน้า เขาบาดเจ็บหนักใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เซี่ยเชียนเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ระหว่างที่เจ้าป่วยนอนซมอยู่บนเตียง เป็นช่วงที่เขากำลังดิ้นรนเอาตัวรอด เพิ่งจะหลุดพ้นจากอันตรายเมื่อหลายวันก่อน”
เหยาซูพลันปิดปาก น้ำตาหลั่งรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ พรั่งพรูไม่ขาดสาย
ใช่ ยามที่นางนอนติดเตียง ไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงอยู่เป็นเวลานาน จิตใจพะว้าพะวังอยู่ไม่เป็นสุขตลอดเวลานั้นเพราะถวิลหาหลินเหราไม่ใช่หรือ?
ถ้าเขาในตอนนั้นกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด ความฝันอันมืดมนในคืนนั้น เสียงเรียกที่ดูสิ้นหวังล้วนมีที่มาที่ไป
คืนนั้น หญิงสาวฝันเห็นหลินเหราถือโคมไฟอยู่ในมือ ปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางสายฝน เพราะเขาไม่อยากจากไปใช่หรือไม่? เขาได้ยินเสียงเรียกหาของนางหรือไม่?
เหยาซูร้องไห้โดยไม่มีเสียง หยดน้ำตาที่ร้อนผ่าวจำนวนมหาศาลพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้ออกมา ใช้เสียงที่ราบเรียบที่สุด พูดกับเซี่ยเชียนว่า “ท่านน้า ข้าอยากไปดูเขา…”
เซี่ยเชียนมองเข้าไปในดวงตาของเหยาซู กระทั่งปฏิเสธไม่ได้
เขาแค่ขมวดคิ้วและถามโดยไร้ความรู้สึกว่า “เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เจ้าแน่ใจนะว่าอยากเห็น?”
สำหรับเซี่ยเชียน การที่เหยาซูได้รู้ว่าหลินเหราปลอดภัย และการพบกันของคนทั้งสองพาให้นางร้องไห้อีกครั้ง สู้ให้เหยาซูกลับบ้านไปรออย่างสบายใจ ประมาณว่าหลินเหรารอดพ้นจากอันตรายแล้วดีกว่า อีกสองสามวันเมื่อเขาฟื้น ถึงตอนนั้นอาการบาดเจ็บทั่วทั้งร่างกายของหลินเหรา ก็คงจะดีขึ้นไม่น้อย
แต่เหยาซูกลับไม่สนใจเรื่องนี้ คิดแต่อยากเจอเขา
เธอพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ได้โปรดท่านน้าพาข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
เซี่ยเชียนไม่เข้าใจ แต่กลับเคารพการตัดสินใจของเหยาซู “เช่นนั้นเจ้าตามข้ามา”
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
วังวนราชสำนักช่างโหดร้ายจริงๆ ค่ะ พลาดนิดเดียวคือเอาชีวิตตัวเองกับคนใกล้ชิดไปเสี่ยงได้เลย
พี่เหรากลับมาสภาพไหนเนี่ย แง ปวดใจ
ไหหม่า(海馬)