ตอนที่ 425 แม้ชอบทะเลาะแต่ก็รักกัน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 425 แม้ชอบทะเลาะแต่ก็รักกัน

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินทนมองท่าทีกวนประสาทของหลินเว่ยเว่ยไม่ไหวจึงบรรจงหอบชุดแต่งงานของตนขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วเดินกระทืบเท้ากลับเข้าห้องนอนของตน

นางหวงจิ้มหน้าผากของหลินเว่ยเว่ยอย่างเอือมระอา “เจ้านี่นะ ! อยู่กันดี ๆ ไม่ชอบ เหตุใดต้องคอยทำให้พี่สาวโมโหด้วย ? ”

หลินจื่อเหยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างพี่รองกับพี่ใหญ่ต้องเรียกว่าแม้ชอบทะเลาะแต่ก็รักกันขอรับ เห็นอยู่ว่าทุกครั้งที่พี่รองซื้อของขวัญก็ไม่เคยลืมส่วนของพี่ใหญ่เลย ทว่าทุกครั้งมักจะชอบทำให้พี่ใหญ่โมโห บางที…นี่อาจเป็นการแสดงความรักในแบบของพวกนางกระมัง ? ”

หลินเว่ยเว่ยยกนิ้วหัวแม่มือให้น้องสาม “ยังคงเป็นต้าฮว๋าที่รู้ใจข้าที่สุด ! ”

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินที่อยู่ในห้องก็ตะโกนสวนออกมาว่า “ใครอยากแสดงความรักกับนาง ? นางคงเห็นข้าเป็นตัวตลกเสียมากกว่า ! ”

หลินเว่ยเว่ยตอบกลับ “ฮ่าฮ่า พี่ใหญ่ เจ้าก็รู้ตัวเหมือนกันนี่ ! ”

“ไปให้พ้นเลย ! ” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินรู้ว่ายิ่งตนพูดมากเท่าใด น้องสาวก็จะยิ่งกวนประสาทมากขึ้นเท่านั้น นางจึงไม่อยากสนใจแล้ว !

หลินเว่ยเว่ยนำของขวัญสำหรับเจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างออกมา…มันคือรองเท้าหนังคู่เล็กสองคู่ที่ดูดีทีเดียว เจ้าหนูน้อยลองสวมให้พี่สาวดู จากนั้นก็เดินไปเดินมาในห้องพลางเอ่ยว่า “สบายเท้า” ไม่หยุด…

เสี่ยวร่างใช้สองมือรับรองเท้าหนังมาจากหลินเว่ยเว่ยพร้อมความซาบซึ้ง…รองเท้างามขนาดนี้จะต้องมีราคาแพงมากใช่หรือเปล่า ? แต่ตนต้องขึ้นเขาไปเกี่ยวหญ้าทุกวัน หากทำรองเท้าสกปรกหรือทำพังขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ? เก็บไว้ดีกว่า…

หลินเว่ยเว่ยคล้ายอ่านความคิดของเด็กน้อยออกจึงกล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็ใช้เลย ! เจ้าและน้องสี่เท้าขยายเร็ว หากไม่รีบใช้ ประเดี๋ยวมันจะคับเสียก่อน แบบนั้นก็เสียเงินเปล่า ! ”

เสี่ยวร่างกระซิบบอก “เอ่อ…ที่จริงนายหญิงรองน่าจะซื้อคู่ใหญ่อีกหน่อย จะได้สวมไปนาน ๆ ขอรับ”

“รองเท้าต้องใส่แบบพอดีเท้าถึงจะเดินสบาย บ้านเราไม่ขาดแคลนเงินซื้อรองเท้าให้เจ้าหรอก ไม่ต้องกังวล ! ” หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะน้อย ๆ ของเขา…เด็กคนนี้รู้ความเหลือเกิน ทำเอานางอดรู้สึกสงสารไม่ได้

หลังแจกจ่ายของขวัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็พูดกับเสี่ยวร่างว่า “พรุ่งนี้เจ้าไปเรียนที่สำนักศึกษากับน้องสี่เถิด เจ้าคือเด็กรับใช้ ดังนั้นตอนที่น้องสี่ไปเรียนหนังสือ เจ้าต้องตามเขาไปด้วย…”

เจ้าหนูน้อยขมวดคิ้วพลางกล่าว “แต่ว่า…เด็กรับใช้ของเพื่อนร่วมชั้นข้า หลังจากส่งเจ้านายเข้าเรียนแล้วก็รออยู่ด้านนอก…”

“เช่นนั้นก็มอบเนื้อตากแห้งสิบชิ้น1 ให้ท่านอาจารย์ เสี่ยวร่างจะได้เข้าเรียนพร้อมเจ้า ! น้องสี่ ปณิธานของเจ้าคือการเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ ? หากเด็กรับใช้ของขุนนางชั้นสูงไม่รู้หนังสือก็คงน่าหัวเราะเยาะ ! ” ตอนนี้ตระกูลหลินไม่ใส่ใจเรื่องเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหรอก

เสี่ยวร่างได้ยินแล้วก็รีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ ไม่ขอรับ ! บ่าวอยู่บ้านดีกว่า ! ต้องมีคนไปเกี่ยวหญ้ามาป้อนกระต่ายเหล่านั้น…รอให้นายน้อยกลับถึงบ้านแล้วค่อยสอนหนังสือบ่าวทีหลังก็ได้…”

ตอนนี้คอกกระต่ายถูกปรับปรุงจนแข็งแรงดีแล้ว ทั้งยังมีหลังคาไว้อีก ช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่กระต่ายจะผสมพันธุ์ ดังนั้นจึงต้องงดขายกระต่ายชั่วคราว ในคอกจึงมีกระต่ายอยู่หลายร้อยตัว แต่ละวันพวกมันกินหญ้าไม่ใช่น้อย !

หลินเว่ยเว่ยพูดว่า “เรื่องคอกกระต่ายมีคนคอยดูแลอยู่แล้ว ส่วนเรื่องหญ้ากระต่ายนั้น…เราซื้อได้ ! น้องสี่ ข้าคิดว่าเด็กน้อยที่ไม่ได้เรียนหนังสือน่าจะอยากหาเงินซื้อขนม”

เท่าที่นางรู้มาคือแม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์และมู่เกินเอ๋อร์ไม่ยอมส่งลูกเข้าเรียน ในยามที่เจ้าหนูน้อยและวังตงเฉียงไปเรียนในตัวเมือง เด็กทั้งสองชอบทำตัวเหมือนไม่ได้รับการอบรม พวกเขามักจะวิ่งเล่นสร้างความวุ่นวายไปทั่วหมู่บ้าน เมื่อเทียบกับการให้เด็กเป็นแบบนี้ต่อไป ก็สู้หางานให้ทำแลกเงินดีกว่า !

เจ้าหนูน้อยได้ยินแบบนั้นก็รีบวิ่งไปหาพวกโก่วเชิ่งเอ๋อร์ พอทั้งสองได้ยินว่าจะได้ค่าจ้างเกี่ยวหญ้า 1 อีแปะต่อหญ้าจำนวน 5 ชั่ง เรื่องดี ๆ แบบนี้จะไปหาจากไหนได้อีก ? มู่เกินเอ๋อร์สูดจมูกแล้วถามเจ้าหนูน้อยว่า “เช่นนั้น…หากเกี่ยวหญ้าครบสิบวัน ยังสามารถแลกเนื้อได้สักคำหรือไม่ ? ”

เจ้าหนูน้อยพูดในใจว่า ‘หนึ่งวันเจ้าเกี่ยวหญ้าได้ 5 ชั่ง สิบวันก็หาเงินได้ 10 อีแปะแล้ว เก็บสักเดือนหนึ่งก็ซื้อเนื้อได้เป็นชั่ง ยังกระหายเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยอีกหรือ ? หืม ? หากไม่เรียนหนังสือก็ไม่สามารถคิดคำนวณง่าย ๆ ได้…เป็นอย่างที่พี่รองบอกไว้จริงด้วย มนุษย์ต้องเรียนหนังสือ ! ’

“ได้ ! ได้แน่นอนอยู่แล้ว ! ” เจ้าหนูน้อยได้พักผ่อนทุกสิบวัน พอถึงตอนนั้นเขาก็สามารถทำตามสัญญาได้ !

มู่เกินเอ๋อร์หัวเราะแหะแหะพลางกล่าวว่า “เช่นนั้น…เรื่องที่พวกข้าเกี่ยวหญ้าแลกเงิน เจ้าอย่าบอกท่านแม่ได้หรือเปล่า…” ด้วยนิสัยของมารดาแล้ว หากรู้เรื่องนี้ก็เกรงว่าเงินในมือของมู่เกินเอ๋อร์จะไม่เหลือแน่นอน !

เจ้าหนูน้อยให้คำมั่น “ถ้าพวกเจ้าไม่พูดเอง ข้าก็ไม่มีทางพูดเด็ดขาด เอาล่ะ ตกลงตามนี้ ! ” กล่าวจบ เขาก็วิ่งกลับบ้านเพื่อบอกข่าวดีแก่เสี่ยวร่าง !

มู่เกินเอ๋อร์ชูกำปั้นขึ้นขู่โก่วเชิ่งเอ๋อร์ “เจ้าห้ามให้ท่านพ่อรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะ…”

ตอนนี้โก่วเชิ่งเอ๋อร์ไม่กลัวเขาแล้ว “หากเจ้ากล้ารังแกข้า ข้าจะบอกเอ้อร์ฮว๋าว่าอย่ารับซื้อหญ้าจากเจ้า ! ”

มู่เกินเอ๋อร์เหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม เขารีบขอร้องอีกฝ่ายทันที “ขอร้องล่ะ อย่าบอกให้ท่านพ่อกับท่านแม่รู้เลย หากเงินตกไปอยู่ในมือของท่านแม่ ข้าก็ไม่อาจเอามันคืนมาจากนางได้แล้ว…ถ้าเจ้าอยากให้ท่านพ่อ เจ้าก็สะสมให้ได้สักจำนวนหนึ่งแล้วค่อยให้เป็นร้อยอีแปะไปเลย ท่านพ่อต้องดีใจแน่นอน ! ”

โก่วเชิ่งเอ๋อร์คิดแล้วจึงกล่าว “เอาเถิด ! รอให้ข้าสะสมได้ครบ 100 อีแปะแล้วค่อยให้ท่านพ่อทีหลัง…”

มู่เกินเอ๋อร์โอบไหล่อีกฝ่าย จากนั้นสองพี่น้องต่างสายเลือดก็เดินเข้าลานบ้านอย่างอารมณ์ดี มารดาของมู่เกินเอ๋อร์ถลึงตามองเด็กน้อยทั้งสอง “มืดค่ำขนาดนี้ไม่ยอมหลับยอมนอน มัวแต่วิ่งไปทำอะไรด้านนอก ? เด็กอายุเท่าพวกเจ้ามีคนไหนบ้างไม่ช่วยครอบครัวทำงาน ? มีแค่พวกเจ้าที่เอาแต่วิ่งเล่นไปทั่วหมู่บ้านราวกับคนบ้า…พรุ่งนี้ไปช่วยข้าถอนหญ้าในแปลงนาด้วย ! ”

พ่อของโก่วเชิ่งเอ๋อร์เดินมาจากในบ้านแล้วลูบศีรษะบุตรทั้งสองพลางกล่าวว่า “บ้านเรามีแปลงนาแค่ห้าหกหมู่ เราสองคนใช้เวลาไม่ถึงสามวันก็จัดการเสร็จแล้ว เหตุใดต้องให้เด็กทั้งสองไปทำด้วย ? ”

แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์บ่นพึมพำ “ลูกก็ไม่เด็กแล้ว ควรจะช่วยเหลืองานบ้าน…”

เช้าวันต่อมา หลินเว่ยเว่ยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงตะโกนของพี่สาวคนโต

“ออกมาแล้ว ! ตัวอ่อนฟักออกจากไข่แล้ว ! ” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินตะโกนเสียงแหลมจนปลุกทุกคนในครอบครัวให้ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

หลินเว่ยเว่ยสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากห้อง นางอ้าปากหาวพลางขยี้ตาถามว่า “อะไรออกมา ? เช้าตรู่ขนาดนี้เจ้ามาตะโกนแหกปากทำลายฝันหวานของคนอื่นเสียหมด ระวังจะโดนทุบ รู้ตัวบ้างหรือเปล่า ? ”

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินคว้าหมับเข้าที่แขนของนางอย่างตื่นเต้น “ตัวอ่อนฟักออกมาแล้ว! ตัวอ่อนหนอนไหมออกมาแล้ว ! ไม่รู้ว่าพวกมันออกมาตั้งแต่ตอนไหน พวกมันจะหนาวตายหรือเปล่า ? จะหิวตาย…แล้วต่อไปต้องทำอะไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยขยี้ตาแล้วชี้สั่ง “เจ้าไปเก็บใบโอ๊ก ก็คือใบเซี่ยงซู่นั่นแหละ เก็บใบที่ยังอ่อนมาจากเนินเขาด้านหลัง จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบให้สะอาดแล้ววางบนกระด้งไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ เสร็จแล้วไปดึงขนไก่ในเล้าเพื่อช้อนตักตัวอ่อนขึ้นไปไว้บนใบโอ๊ก…เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำเป็นตะโกนตกอกตกใจไปได้ ! ”

หลินเว่ยเว่ยเพิ่งกล่าวจบ พี่สาวก็รีบวิ่งไปเก็บใบโอ๊กที่เนินเขาด้านหลังอย่างรวดเร็วราวกับนักวิ่งลมกรด

ยามนี้ถังน้ำที่บ้านเต็มหมดแล้ว…ขอเพียงหลินเว่ยเว่ยอยู่ ถังน้ำในบ้านก็ไม่เคยแห้งเหือดอีกเลย แต่เวลาที่นางไม่อยู่นั้น น้ำที่อยู่ในถังจะไม่หวานชื่นใจเหมือนเคย…

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินตักน้ำ (ของมิติน้ำพุวิญญาณ) ที่อยู่ในถังขึ้นมาแล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบไม้ทีละใบจนสะอาด จากนั้นก็นำไปผึ่งไว้บนกระด้งไม้ไผ่ นางค่อยๆ ใช้ขนไก่ช้อนตัวอ่อนของหนอนไหมมาวางบนใบโอ๊ก ส่วนตัวนาง…เมื่อเห็นว่าตัวอ่อนกำลังกินใบไม้ นางก็นั่งดูไปพลางหัวเราะชอบอกชอบใจไปด้วย อารมณ์ดีราวกับคนเสียสติ…

[i]
1 เนื้อตากแห้งสิบชิ้น หรือ ซู่ซิว เป็นธรรมเนียมที่ต้องนำเนื้อตากแห้งมัดติดกันสิบชิ้นมามอบแก่อาจารย์ยามพบหน้าครั้งแรกเพื่อขอวิชาความรู้