บทที่ 394 ชิงกระเป๋า

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่นัทธีจะปฏิบัติกับหล่อนเช่นนี้

ไม่แน่เขาอาจคิดว่าการตายของพ่อแม่เขาจะต้องเกี่ยวข้องกับแม่ของหล่อน

แต่เนื่องจากแม่หล่อนได้เสียไปแล้วนั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถหาใครมาทำให้มันชัดเจนได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติมากับหล่อนเช่นนี้

“วารุณี ฉันรู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เราจะต้องทำมันให้เคลียร์และชัดเจน” ปาจรีย์พูดพร้อมกับมองไปที่วารุณีอย่างจริงจัง

วารุณีหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับทำตัวให้สงบลงอย่างไม่เต็มใจนัก “ฉันรู้ ต่อให้เธอไม่บอกฉันก็ต้องทำมันให้ชัดเจนและอธิบายให้นัทธีฟัง ฉันไม่เชื่อว่าแม่ของฉันจะเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่นัทธีหรอกนะ”

“ดีแล้ว งั้นเราไปจ้างนักสืบเอกชนให้มาสืบหาข้อมูลกันเถอะ เรื่องนี้ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วคงต้องใช้เวลานานในการสืบหา” ปาจรีย์พูด

วารุณีบีบฝ่ามือ “ไม่เป็นไร นานแค่ไหนฉันก็รอได้ ฉันจะไปหานักสืบตอนนี้เลย!”

เมื่อพูดจบ หล่อนก็ได้หยิบกระเป๋าและออกจากบริษัทไป

ปาจรีย์ยื่นมือออกมาเพื่อพยายามหยุดหล่อน

แต่ร่างของวารุณีนั้นหายลับไปแล้ว

ปาจรีย์ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องวางมือพร้อมกับมองไปที่ผังภาพที่อยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น

“จะไปก็ควรบอกฉันหน่อยสิว่ารูปวาดที่ออกแบบอันดีอันไหนที่ต้องแก้ ฉันจะต้องเอามันไปลงทะเบียนนะ”

หลังจากที่วารุณีออกจากบริษัท หล่อนก็ได้ขับรถออกไปที่สำนักงานนักสืบที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดจันทร์และจ่ายเงินมัดจำห้าแสนหยวนเพื่อที่จะให้มาสืบสวนเรื่องนี้

เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ ใจของวารุณีก็ค่อยๆรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

ตอนนี้ทำได้แค่รอผลที่จะออกมา

แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่วารุณีต้องไปทำ นั่นก็คือการทดสอบความเป็นพ่อลูกระหว่างนัทธีกับเด็กทั้งสองคน

หล่อนไม่เชื่อว่าเด็กสองคนนั้นจะไม่ใช่ลูกของนัทธี

หลังจากออกมาจากสำนักงานนักสืบมา วารุณีก็ได้เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าและพบว่ามันมืดครึ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า

วารุณีห่มเสื้อคลุมเอาไว้บนตัวจากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถเพื่อออกไปรับลูกทั้งสองคน

ทันใดนั้นก็มีร่างร่างหนึ่งวิ่งผ่านไป

วารุณีรู้สึกเจ็บที่ไหล่จากนั้นกระเป๋าสะพายบนไหล่ของหล่อนก็ถูกคนคนนั้นชิงไปเสียแล้ว

ดวงตาของวารุณีเบิกกว้าง ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและได้วิ่งไล่ตามชายคนนั้น ขณะที่วิ่งก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “เรียกคนมาจับไอ้หัวขโมยนี่ที!”

คนบนถนนเมื่อได้ยินว่าให้จับหัวขโมยต่างก็หยุดลงเพื่อมองดูเรื่องที่น่าครึกครื้นตื่นตานี้ ไร้ซึ่งการช่วยเหลือใดๆ

เมื่อวารุณีเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่ได้สนใจพร้อมกับตะโกนและวิ่งไล่ต่อไป

หล่อนเชื่อว่าจะต้องมีคนที่ดีและมีน้ำใจอยู่บ้าง

อย่างที่คาดไว้ ขณะที่วารุณีไล่ตามหัวขโมยอย่างไม่หยุดหย่อนก็ได้มีคนเข้ามาช่วยจับหัวขโมยจริงๆ

ชายคนนั้นวิ่งเร็วมากจนสามารถจับหัวขโมยเอาไว้ได้ทัน หลังจากตะลุมบอนต่อสู้กับหัวขโมยไปสักพัก เขาก็คว้าเอากระเป๋ามาได้

หัวขโมยได้เอามือบังท้องเอาไว้พร้อมกับด่ากราดและวิ่งหายเข้าไปในฝูงชน

วารุณีวิ่งหอบมาที่ด้านข้างของชายที่ช่วยตนเอากระเป๋าคืนมาได้ มือทั้งสองข้างวางบนเข่าพร้อมกับหายเฮือกใหญ่

ชายคนนั้นนำกระเป๋ามาไว้ที่ด้านหน้าของหล่อน “คุณครับ กระเป๋าของคุณ”

วารุณีพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจลงและยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะ”

หล่อนหยิบกระเป๋ามา

ชายคนนั้นโบกมือ “ไม่เป็นไรไม่เป็นไรครับ ยินดีที่ได้ช่วยเลย ลองดูซิว่ามีของอะไรหายไปไหม”

“ค่ะ” วารุณีเปิดกระเป๋าดูจากนั้นก็เริ่มเช็กของ โทรศัพท์มือถือ หลักฐาน เครื่องสำอางรวมถึงผมของนัทธีก็ยังอยู่

วารุณีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกับปิดกระเป๋าลงด้วยความพอใจ “ไม่มีค่ะ ไม่ได้มีอะไรหาย ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันต้องไปรับลูกล่ะก็ฉันคงเลี้ยงข้าวคุณแล้ว แต่ว่าตอนนี้เวลาก็ไม่ทันแล้ว ฉันขอให้เงินคุณเป็นรางวัลค่าตอบแทนก็แล้วกันนะคะ”

เมื่อพูดจบหล่อนก็ได้หยิบเงินห้าร้อยหยวนให้

ชายคนนั้นโบกมือไปมาพร้อมกับบอกว่าตนไม่ได้ใช้หรอก

แต่วารุณีเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นหนี้บุญคุณใคร หล่อนจึงยัดเงินลงไปพร้อมกับจากไป

ชายคนนั้นยังมองดูหล่อนจากด้านหลัง รอจนหล่อนเดินจากไปไกลแล้วใบหน้าของเขาก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มแปลกๆขึ้น

“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราเล่นละครฉากนี้แล้วยังจะได้เงินขอบคุณมาอีก เมื่อกี้ฉันถูกนายตีไปตั้งหลายครั้ง เงินนี่ก็ควรแบ่งให้ฉันครึ่งหนึ่งนะ?” ขณะนั้นเองก็มีคนคนหนึ่งโผล่ออกมาจากตรอกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

เป็นหัวขโมยคนเมื่อกี้นี้เอง

หัวขโมยมองดูเงินที่อยู่ในมืออย่างโลภมาก

ชายอีกคนขดริมฝีปากพร้อมกับหยิบเงินสามร้อยหยวน “เอาไป”

“น่าสนใจดีนะ” หัวขโมยรีบหยิบเงินพร้อมกับยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงจากนั้นก็ได้ถามว่า “จริงสิ นายจ้างอยากให้นายสับเปลี่ยนของ นายสับเปลี่ยนหรือยัง?”

ชายคนนั้นหยิบซองกันน้ำเล็กๆขึ้นมาซึ่งในนั้นมีเส้นผมอยู่สองสามเส้น “ฉันเป็นคนจัดการเอง นายไม่วางใจงั้นเหรอ?ไป ไปหาอะไรกินกัน กินข้าวเสร็จค่อยไปรายงานผลให้นายจ้าง”

หลังจากพูดจบ สองคนนั้นก็เดินจากไป

อีกด้าน วารุณีก็ได้มารับลูกทั้งสอง เมื่ออยู่บนรถ หล่อนก็ได้พูดกับลูกทั้งสองคนว่า “อารัณ ไอริณ ดึงผมลูกมาให้แม่สักหน่อยสิ”

ไอริณนั้นไม่รู้ว่าทำไมหม่ามี๊ถึงอยากได้ผมของตนแต่เธอก็ยังดึงออกมาพร้อมกับยื่นให้อย่างเชื่อฟัง

ส่วนอารัณที่ยื่นให้กับวารุณีนั้นก็ถามออกไปในทันทีว่า “หม่ามี๊จะเอาพวกเราไปทดสอบกับคุณอานัทธีเหรอครับ?”

วารุณีมองไปอย่างประหลาดใจ “ลูกรู้ได้ยังไงกันจ๊ะ?”

“เดาครับ เมื่อคืนวันนั้นผมพูดกับหม่ามี๊ว่าผมกับไอริณไม่ใช่ลูกของคุณอานัทธีแต่หม่ามี๊ก็ไม่เชื่อ ผมก็เลยเดาออกว่าหม่ามี๊จะต้องเอาพวกเราไปทำการทดสอบแน่ๆ” อารัณพูดออกมาด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ

วารุณีลูบไปที่ผมของเขา “ฉลาดจริงนะเรา เอาล่ะนั่งดีๆ หม่ามี๊จะขับรถแล้วนะ”

“อืมอืม” เด็กทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน

วารุณีสตาร์ทรถออกไป แต่แทนที่จะกลับไปที่วิลล่า หล่อนกลับขับไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแทน

ไม่ใช่โรงพยาบาลของพิชิตแต่เป็นอีกแห่ง

หล่อนต้องการปิดบังการทดสอบครั้งนี้จากทุกๆคนเพราะกลัวว่าจะมีใครแอบสับเปลี่ยนยีนอื่นๆเข้ามา

แม้ว่าความเป็นไปได้ในการที่จะมีคนมาสับเปลี่ยนนั้นจะน้อยแต่หล่อนก็ยังอดไม่ได้ที่จะใส่ใจมัน

ผลการวินิจฉัยความเป็นพ่อลูกจะออกในสองวัน

แม้ว่าวารุณีจะรู้สึกว่าเวลาค่อนข้างนานแต่เพื่อความถูกต้อง หล่อนจำได้แต่ยอมรับมันเท่านั้น

เมื่อกลับมาถึงวิลล่า วารุณีก็พบว่านัทธีอยู่ที่นี่ซึ่งนั่นทำให้หล่อนประหลาดใจ “นัทธี”

นัทธีที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อได้ยินเสียงของหล่อนก็เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าต่อและไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ

ดวงตาของวารุณีหรี่ลงในชั่วขณะหนึ่งจากนั้นก็ปั้นรอยยิ้มออกมาพร้อมกับเดินเข้าไป “นายย้ายกลับมาแล้วเหรอ?”

“ฉันมาเอาของ” นัทธีถ่มคำพูดออกมาเบาๆ

ในใจของวารุณีรู้สึกมีเปลวเพลิงลุกโชดช่วงขึ้นมา จากนั้นก็มอดดับลงและเปลี่ยนไปเป็นหนาวเย็น

ลูกๆทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆหล่อนรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไป นั่นจึงทำให้อารมณ์ของพวกเขาก็แย่ลงไปด้วยเช่นกัน

ไอริณในตอนนี้ก็รู้สึกกลัวท่าทางที่ดูเย็นชาเฉยเมยของนัทธี ไม่กล้าที่จะอยากให้เขากอดอย่างเมื่อก่อนอีก ได้แต่จับมือของวารุณีแน่นพร้อมกับจ้องมองไปที่นัทธี

อารัณเองก็ทำเช่นเดียวกันแต่ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณอานัทธีไม่ได้คิดที่จะกลับมาที่นี่อีกแล้วใช่ไหมครับ?”

“หนูเรียกฉันว่าอะไรนะ?” รูม่านตาของนัทธีหดลงพร้อมกับมองมาที่เขา

อารัณกะพริบตาปริบๆ “คุณอานัทธี”

คำว่าคุณอานัทธีนั้นทำให้นัทธีเม้มปาก สีหน้าก็ดูไม่สู้ดีนัก

เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก่อนเด็กทั้งสองคนนี้ก็เรียกเขาว่าคุณอานัทธีแต่ตอนนี้พอเปลี่ยนกลับมากลับกลายเป็นว่ามันช่างไม่น่าฟังเอาซะเลย

เหมือนคุณอานัทธีสี่คำนี้ ไม่ควรจะมาใช้กับเขา

เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของนัทธีดูไม่ค่อยจะดี วารุณีจึงบีบมือของเด็กทั้งสอง “เอาล่ะอารัณ พาน้องขึ้นไปข้างบนนะ หม่ามี๊จะคุยกับ..คุณอานัทธีสักหน่อย”

เนื่องจากนัทธีนั้นไม่เชื่อว่าเด็กทั้งสองเป็นลูกของเขา งั้นก็หยุดเรียกเขาว่าพ่อไปชั่วคราวก็แล้วกัน

รอให้ผลการทดสอบออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ครับ” อารัณพยักหน้าพร้อมกับดึงไอริณขึ้นไปชั้นบน