ตอนที่ 142-2 ทวงความยุติธรรม

เฉียวเวยเรียนสายวิทย์ ไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์มามากนัก ความทรงจำเกี่ยวกับเผ่าซยงหนีว์ส่วนมากมาจากละครโทรทัศน์ เช่นเรื่องหวังเจาจวินแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าซยงหนีว์ โอรสสวรรค์แห่งต้าฮั่นรบกับเผ่าซยงหนีว์เป็นต้น เผ่าซยงหนีว์เป็นกลุ่มชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าและทะเลทรายมองโกลในยุคโบบราณ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทรายโกบี ก็ไม่รู้ว่เผ่าซยงหนีว์ในช่วงเวลานี้จะเป็นเผ่าซยงหนีว์นั่นที่ตนเคยได้ฟังเรื่องราวมาหรือไม่

หากว่าใช่ ถ้าเช่นนั้นชะตาชีวิตของแม่นางน้อยคนนี้ก็น่าเศร้าแล้ว

องค์หญิงที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเผ่าซยงหนีว์ในประวัติศาสตร์ มีจุดจบดีอยู่ไม่กี่คน

“บิดาของท่านเหตุใดจึงให้ท่านแต่งงานกับองค์ชายรองของเผ่าซยงหนีว์เล่า ก่อนหน้าท่านยังมีพี่รองที่ยังไม่ออกเรือนคนหนึ่งไม่ใช่หรือ” เฉียวเวยถาม แม้ถามเช่นนี้ออกจะโหดร้ายอยู่บ้าง แต่นางไม่รู้จักคุณหนูรองสกุลตัวหลัวเสียหน่อย หากเป็นไปได้ นางก็หวังว่าคนที่จะอยู่ที่นี่ต่อคือตัวหลัวหมิงจู

ตัวหลัวหมิงจูสูดจมูก “พี่รองของข้าร่างกายไม่แข็งแรง ล้มป่วยเป็นประจำ”

เฉียวเวยบื้อใบ้ ร่างกายไม่แข็งแรงทำให้ยามปกติอยู่อย่างลำบาก แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญกลับเป็นยันต์คุ้มภัยรักษาชีวิตเอาไว้

แม่นางน้อยผู้เหมือนบุปผางามสะพรั่งคนนี้ หากถูกส่งไปยังดินแดนอันหนาวเหน็บทุกข์ทรมานทางภาคเหนือจริงก็ไม่รู้ว่าจะตกระกำลำบากจนกลายเป็นอย่างไร

ตัวหลัวหมิงจูสะอื้น “ข้าได้ยินว่า…ผู้หญิงของพวกเขา…พอสามีตายแล้ว…ก็ต้องแต่งงานกับลูกชายของสามี…พอลูกชายตายแล้ว…ก็ต้องแต่งงานกับหลานชายต่อ…”

หวังเจาจวินก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ แรกสุดแต่งงานกับฮูหันเสียฉานอวี๋ เป็นสามีภรรยากันได้สามปี ฮูหันเสียฉานอวี๋สิ้นลม นางก็แต่งงานกับบุตรชายของฮูหันเสียฉานอวี๋นามว่าฟู่จูเหล่ยฉานอวี๋ หลังจากนางเป็นสามีภรรยากับฟู่จูเหล่ยฉานอวี๋ได้สิบเอ็ดปี ฟู่จูเหล่ยฉานอวี๋ก็วายชีวา สุดท้ายได้ยินว่าต้องแต่งงานกับบุตรชายของฟู่จูเหล่ยฉานอวี๋ หรือก็คือหลานชายของนางต่อ ไม่รู้ว่าสุดท้ายได้แต่งหรือไม่ แต่สรุปก็คือชีวิตเลวร้ายพอสมควรทีเดียว

“เป็นความตั้งใจของบิดาท่านหรือพระประสงค์ของฮ่องเต้” เฉียวเวยรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่เรียบง่าย บิดาคนใดจะใจเหี้ยมส่งบุตรสาวแต่งงานไปยังสถานที่สภาพแวดล้อมเลวร้ายเช่นนั้น

“เป็นสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท บิดาของข้าตอบรับทันที เขาช่างเลอะเลือน!” ตัวหลัวหมิงจูร้องไห้โฮ

เฉียวเวยถอนหายใจอย่างเวทนา “เรื่องนี้จะโทษบิดาของท่านก็ไม่ได้แล้ว พระบัญชาของฮ่องเต้ ผู้ใดจะกล้าไม่รับ”

“ฮือออ…” แต่เดิมตัวหลัวหมิงจูยังกล่าวโทษบิดาได้เล็กน้อย ตอนนี้แม้แต่บิดาก็กล่าวโทษไม่ได้ นางยิ่งเสียใจกว่าเดิม

เฉียวเวยลูบหัวไหล่นางแล้วบอกว่า “ท่านมีท่านอ๋องคนหนึ่งเป็นพี่เขยไม่ใช่หรือ เหตุใดไม่ให้เขาช่วยขอร้องแทนท่านเล่า ผู้หญิงราชวงศ์ต้าเหลียงมีมากมายเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ก็ได้กระมัง”

ตัวหลัวหมิงจือสะอื้นฮัก ตอบว่า “พี่เขย…พี่เขยเคยข้อร้องแล้ว แต่จนหนทาง…”

ชิ ปากบอกว่าเคยข้อร้องแล้ว แต่ความจริงไม่ได้ทำอะไรเลยล่ะสิ คนใจทมิฬหินชาติอย่างยิ่นอ๋องจะยอมขัดเสด็จพ่อของตนเองเพื่อน้องภรรยาคนหนึ่งหรือ ให้ตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกก่อนเถอะ!

ตัวหลัวหมิงจูจับเสื้อของเฉียวเวย นางคิดว่าเป็นเสื้อของเฉียวเวย แต่ความจริงแล้วเป็นแขนเสื้อของตัวเอง จากนั้นสั่งน้ำมูกอย่างแรง เอ่ยขึ้นว่า “องค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์คนนั้นเหตุใดจึงไม่ป่วยตายไปเสีย ล้วนต้องโทษเจ้าสารเลวตระกูลเฉียวคนนั้น เหตุใดต้องรักษาเขาจนหายด้วย ให้เขาป่วยตายไปเสีย ไม่ใช่ก็หมดเรื่องแล้วหรือ”

เฉียวเวยหัวเราะแกนๆ “ตระกูลเฉียว? ตระกูลเฉียวตระกูลใด”

ตัวหลัวหมิงจูสะอื้นตอบ “ตระกูลเฉียวจวนเอินปั๋ว หนก่อน…คุณหนูที่หนก่อนตั้งใจยุแยงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับท่าน ทำให้ท่านเข้าไปอยู่ในคุก ครอบครัวพวกเขานั่นแหละ!”

แววตาของเฉียวเวยวูบไหว พยุงตัวหลัวหมิงจูที่ร่ำไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตาออกมาจากอ้อมแขนตนแล้วจ้องนาง “ท่านเล่าให้ชัดหน่อย ตระกูลเฉียวทำอะไร แล้วองค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์เป็นอะไร”

ตัวหลัวหมิงจูตอบว่า “ช่วงก่อนหน้านี้องค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ป่วยเป็นอีสุกอีใส หมอหลวงทั้งหลายเห็นท่าไม่ดี ใกล้จะตายอยู่แล้ว ทุกคนต่างเตรียมจัดการเรื่องหลังจากนี้ แต่รองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียวสารเลวคนนั้น กลับเข้ามาสอด หยิบเอาสูตร…สูตรยาแรง…อะไรสักอย่างออกมา ช่วยองค์ชายรองกลับมาจากปากกระตูผี”

“สูตรยาฤทธิ์แรงที่เจ้าว่าคือสูตรที่ต้องใช้น้ำค้างหยกเขาเหมันต์ใช่หรือไม่”

“อืม ท่านรู้ได้อย่างไร” ส่วนประกอบในสูตรยาโดยละเอียด ตัวหลิวหมิงจูเองก็ไม่รู้ แต่เพราะยิ่นอ๋องได้ความดีความชอบที่ถวายน้ำค้างหยกเขาเหมันต์จนได้รับการชมเชยจากฮ่องเต้ ดังนั้นทุกคนจึงทราบว่าในสูตรยามีน้ำค้างหยกเขาเหมันต์อยู่ด้วย

บนโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ สูตรที่เฉียวเจิงใช้ก็มีน้ำค้างหยกเขาเหมันต์ สูตรที่นายท่านรองเฉียวใช้ก็มี แม้สูตรที่จีอู๋ซวงใช้จะมีน้ำค้างหยกเขาเหมันต์เหมือนกัน แต่นั่นเป็นเพราะร่างกายของจีหมิงซิวแต่เดิมก็อาศัยกระสายยาตัวนี้กดอาการป่วยในร่างมาตลอดอยู่แล้ว เมื่ออีสุกอีใสทำให้เกิดไข้สูง กำลังภายในสายนั้นจึงเริ่มทำร้ายภายในร่างกาย การใช้กระสายยาตัวนี้จึงไม่เกี่ยวกับตัวโรคมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นนางเคยดูเทียบยาของจีอู๋ซวงแล้ว ไม่เหมือนกับของนางสักเท่าใด

แต่สูตรยาขององค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเหมือนกับของนาง

นางเคยได้ยินซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าวิชาแพทย์ของนายท่านรองเฉียวไม่สูงส่งเท่าใดนัก ตอนแรกผู้ที่มีวิชาแทพย์สูงส่งที่สุดในตระกูลเฉียวก็คือเสิ่นซื่อมารดาของนาง รองลงมาก็คือบิดาของนางเฉียวเจิง สูตรยาสูตรนี้ไม่มีทางเป็นสิ่งที่นายท่านรองเฉียวคิดค้นขึ้นมาเองเป็นอันขาด

ขโมยสูตรยาของบิดานางมาใช้ หน้าไม่อายจริงๆ!

“เพราะเรื่องนี้ ฮ่องเต้จึงดีพระทัยยิ่งนัก แต่งตั้งรองหัวหน้าสำนักหมอหลวงเฉียวเป็นหย่งเอินโหว พี่เขยของข้ามีความดีความชอบที่ถวายน้ำค้างหยกเขาเหมันต์จึงได้รับคำชมเชยจากฮ่องเต้ …พวกเขาล้วนได้ผลประโยชน์ มีแต่ข้า…ข้าโชคร้ายที่สุด…ต้องแต่งงานกับองค์ชายรองผู้นั้น…ฮือออ…พี่เฉียว…เหตุใดข้าจึงชะตาอาภัพเช่นนี้…” ตัวหลัวหมิงจูร่ำไห้ โถมเข้ามาในอ้อมแขนของเฉียวเวย

หนนี้นางไม่ลุกขึ้นมาอีก ร่ำไห้จนหลับไป

เฉียวเวยอุ้มตัวหลัวหมิงจูมาไว้ในห้องบัญชีของตนเอง แล้วสั่งคนให้คิดค่าสุรากับค่ายาของเสี่ยวลิ่วกับตัวหลัวหมิงจู เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ นางก็คิดจะไปซื้ออาหารกับยา เพิ่งมาถึงประตูก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยร่างหนึ่ง

“ที่ต้องมากินสักหน เหลาสุรา คือที่นี่หรือ” บุรุษหนุ่มผู้แต่งกายเยี่ยงคนต่างเผ่าผู้หนึ่งถามขึ้นมา บุรุษคนนั้นร่างไม่สูง กะจากสาตาประมาณหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร รูปร่างกำยำ สวมเสื้อขนสัตว์ตัวบางกับรองเท้าบู้ทหนังแกะ บนศีรษะสวมหมวกขนสัตว์สีดำ ผิวดำคล้ำ ขนคิ้วหนาเตอะ ใบหน้าเป็นรูปสามเหลี่ยม ดวงตาทั้งเล็กทั้งตี่ ดูแวบแรกเหมือนกับไม้ฉากเดินได้

ส่วนบุรุษที่ถูกเขาถามเมื่อครู่ รูปร่างสูงใหญ่ เรือนร่างสง่าผ่าเผย ดวงหน้าหล่อเหลารูปงามไม่เหมือนคนธรรมดา เขาก็คือองค์ชายเจ็ดแห่งราชวงศ์ต้าเหลียง ยิ่นอ๋องนั่นเอง

ยิ่นอ๋องฟังคำพูดของอีกฝ่ายจบ ก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนที่มีน้อยครั้ง “ใช่แล้ว องค์ชายรอง จากประสบการณ์การลิ้มลองอาหารเลิศรสหลายปีของข้า เหลาสุราแห่งนี้อาจไม่ใช่เหลาสุราที่รสชาติอร่อยประณีตที่สุดในราชวงศ์ต้าเหลียง แต่เป็นร้านที่แปลกใหม่มีเอกลักษณ์ที่สุดอย่างแน่นอน ทุกช่วงหนึ่งเหลาสุราแห่งนี้จะออกอาหารจานใหม่มาหนึ่งชนิด หากโชคดีวันนี้อาจจะทันก็เป็นได้”

องค์ชายรองหรือ ร่างกายของเฉียวเวยสั่นวูบหนึ่ง เจ้าไม้ฉากเดินได้ ตัวเตี้ยม่อต้อนั่นคือว่าที่สามีของตัวหลัวหมิงจูหรือ

มิน่าตัวหลัวหมิงจูถึงไม่ยอมแต่ง!

นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องเป็นเผ่าซยงหนีว์หรือไม่เป็นเผ่าซยงหนีว์ ความจริงก็คือมาตรฐานหน้าตาของคนผู้นี้ต่ำเกินกว่าเส้นอันตรายแล้ว เพียงมองจากไกลๆ เช่นนี้ สัญญาณเตือนในหัวใจของสมาชิกกลุ่มคลั่งหน้าตาก็ร้องดังวี้ว่อๆ !

ยิ่นอ๋องเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาจองห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด บังเอิญเป็นห้องที่ตัวหลัวหมิงจูใช้ก่อนหน้านี้พอดี

ลูกจ้างทั้งหลายเก็บกวาดห้องจนสะอาดแล้ว พวกเขาต้อนรับทั้งสองคนเข้ามาด้านในอย่างนอบน้อม

เนื่องจากหน้าตาขององค์ชายรองเผ่าซยงหนีว์น่าตกใจเกินไป เสี่ยวเอ้อร์จึงอดไม่ไหวหันไปมองเสียหลายทีอย่างขวัญผวา

“องค์ชายรอง เชิญ” ยิ่นอ๋องผายมือเชิญองค์ชายรองให้นั่ง

องค์ชายรองนั่งลง อมยิ้มมองทุกสิ่งรอบด้าน แล้วเผยสีหน้าชื่นชมออกมาอย่างอดไม่ได้ “จงหยวน ดีจริงๆ”

องค์ชายรองชื่นชมวัฒนธรรมจงหยวนมาตั้งแต่เล็ก เขาเชิญคนจงหยวนที่ทำการค้ากับเผ่าซยงหนีว์มาสอนภาษาฮั่นให้ตนเองที่บ้านอยู่หลายหน เพียงแต่เขาเกิดมาหัวช้า เรียนมาหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จมากมายนัก พอฟังเข้าใจเล็กน้อยเท่านั้น หากจะให้ตนเองพูดก็ยังกินแรงอยู่บ้าง

ยิ่นอ๋องให้เสี่ยวเอ้อร์นำรายการอาหารมาให้ แล้วชวนให้องค์ชายรองดู “องค์ชายรองอยากกินอาหารจานใด”

องค์ชายรองอ่านไม่ออกจึงว่า “ท่านสั่ง ข้ากิน ได้ทั้งนั้น”

“ล่าสุดพวกเจ้ามีอาหารจานใหม่อันใดออกมาหรือไม่” ยิ่นอ๋องถาม

เสี่ยวเอ้อร์เคยเห็นเขามาก่อน คุณชายผู้หล่อเหลาสง่างามเช่นนี้เห็นหนเดียวย่อมไม่มีผู้ใดลืมลง เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มหวานตอบว่า “พวกเราเพิ่งออกหมูสามชั้นน้ำแดงตุ๋นสุรามาใหม่ รสหวาน เนื้อนุ่มคลุกเคล้าน้ำปรุงรส คุณชายต้องการชิมหรือไม่”

“ดี” ยิ่นอ๋องพลิกรายการอาหารแล้วสั่งว่า “ยกอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่มาอย่างละหนึ่งจาน”

“ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ตอบรับพร้อมรอยยิ้ม

“จริงสิ ยังมีเต้าหู้เหม็นอยู่หรือไม่” ยิ่นอ๋องยังจำท่าทางตอนนายท่านหกกินเต้าหู้เหม็นได้ นั่นเรียกได้ว่ากินไม่หยุดปาก บางทีองค์ชายรองอาจชอบด้วยก็ได้

เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าย้ำๆ “มีขอรับ คุณชายรอประเดี๋ยว ข้าจะไปสั่งห้องครัวให้ปรุงเดี๋ยวนี้!”

ยิ่นอ๋องล้วงเงินก้อนหนึ่งจากในอกเสื้อมาโยนลงบนโต๊ะ “ทำอาหารของพวกเราก่อน”

เสี่ยวเอ้อร์ดวงตาเป็นประกาย ฉวยก้อนเงินแล้วตอบว่า “ไม่มีปัญหาขอรับ! อาหารโต๊ะแรกย่อมเป็นอาหารของท่าน!”

องค์ชายรองมองสำรวจเครื่องตกแต่งภายในห้องอย่างสนอกสนใจ เขาค้นพบว่าจงหยวนงดงามจริงๆ ไม่เพียงหญิงสาวงดงาม บ้านเรือนก็งดงาม ตรงไหนๆ ก็งดงามไปเสียหมด ไม่แปลกที่เสด็จพ่ออยากจะรุกรานจงหยวนอยู่เสมอ สถานที่งดงามเช่นนี้ แม้แต่เขาก็อยากครอบครองเหมือนกัน

เพียงแต่เขาไม่มีปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนั้นอย่างเสด็จพ่อ สู่ขอแม่นางหน้าตางดงามจากจงหยวนกลับไปได้สักคน เขาก็พึงพอใจแล้ว

“ตัวหลัวคุณหนู งดงามหรือไม่” องค์ชายรองถาม

ยิ่นอ๋องอมยิ้มพยักหน้า “แน่นอน องค์ชายรองเคยพบว่าที่พระชายาของข้าแล้ว คิดว่านางรูปโฉมเป็นเช่นไร”

องค์ชายรองนึกภาพตัวหลัวจื่ออวี้ขึ้นมาในสมอง แล้วตอบจากใจจริง “งามเหมือนนางสวรรค์”

ยิ่นอ๋องสีหน้าปลาบปลื้ม “คุณหนูทั้งสามคนแห่งตระกูลตัวหลัว ผู้ที่มีรูปโฉมโดดเด่นที่สุดก็คือน้องภรรยาคนเล็กคนนั้นของข้า หากท่านคิดว่าพระชายาของข้างามแล้ว พระชายาของท่านมีแต่งามยิ่งกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” องค์ชายรองพอใจมาก

ดูสิดู นางบอกว่าอะไรเห็นหรือไม่ เจ้าสารเลวเช่นนี้ไมมีทางออกหน้าพูดแทนตัวหลัวหมิงจูหรอก ปากเรียกน้องภรรยาคนเล็กๆ เรียกเสียสนิทสนม ในใจเขาคงอยากจะขายน้องภรรยาคนเล็กให้เผ่าซยงหนีว์แทบแย่แล้วละสิ!

ทำเช่นนี้เผ่าซยงหนีว์ก็จะกลายเป็นน้องเขยของเขา วันหน้ายามเขาแย่งชิงราชบัลลังก์ย่อมมีแต้มต่อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง

ช่างจิตใจชั่วร้ายเสียจริง!

เฉียวเวยลอบฟังอยู่พักหนึ่งก็แอบกลับไปที่ห้องอย่างเงียบเชียบ นางมองตัวหลัวหมิงจูที่อยู่บนเตียง แล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเรียกเสี่ยวลิ่วเข้ามา “เสี่ยวลิ่ว เจ้าช่วยอะไรพี่เฉียวสักเรื่อง”

เสี่ยวเอ้อร์รับรางวัลจากยิ่นอ๋องมาแล้วย่อมต้องช่วยอำนวยความสะดวกให้ เขาไปห้องครัววางรายการอาหารของหอชิงโยวไว้หน้าสุดจริงๆ

พ่อครัวทั้งหลายทำอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว เสี่ยวเอ้อร์ยกถาดใบหนึ่ง จากนั้นเรียงอาหารแต่ละจานๆ ไว้บนนั้น

เสี่ยวลิ่วเดินเข้ามา “ข้าเอง เถ้าแก่หรงเรียกเจ้าแหนะ”

เสี่ยวเอ้อร์ไม่อยากยกโอกาสที่จะรับใช้ใกล้ชิดชนชั้นสูงเช่นนี้ให้แก่เสี่ยวลิ่ว เพราะเขาค้นพบว่าชนชั้นสูงใช้เงินมือเติบอย่างยิ่ง ดีไม่ดีอีกประเดี๋ยวก็คงตกรางวัลมาอีก

เสี่ยวลิ่วมองความคิดของเขาออก จึงถลึงตาใส่เขาบอกว่า “เงินที่คนสูงศักดิ์คนนั้นตกรางวัลมาล้วนยกให้เจ้า!”

เสี่ยวเอ้อร์จึงจากไปอย่างดีอกดีใจ

เสี่ยวลิ่วยกอาหารเข้ามาในห้อง

ยิ่นอ๋องกำลังเล่าขนบธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าเหลียงให้องค์ชายรองฟัง ปลายหางตาเหลือบเห็นลูกจ้างคนหนึ่งแต่ไม่สนใจอะไร สนทนากับองค์ชายรองต่อ “…เทศกาลชีซีของพวกเราครึกครื้นยิ่งนัก ค่ำคืนนั้นบนถนนตรอซอกซอยล้วนจัดแสดงโคมไฟ น่าเสียดายท่านล้มป่วยจึงพลาดไป”

องค์ชายรองถอนหายใจด้วยความเสียดาย

เสี่ยวลิ่วเดินมาข้างกายยิ่นอ๋องโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด แล้ววางอาหารจานแล้วจานเล่าลงบนโต๊ะ เมื่อถึงตอนที่วางหมูสามชั้นน้ำแดงตุ๋นสุรา เสี่ยวลิ่วก็คิดว่าจะทำอย่างไรให้ ‘มือลื่น’ ทำชามใบใหญ่คว่ำอย่างเป็นธรรมชาติ ปรากฏว่าเขาดันมองไปเห็นใบหน้าขององค์ชายรอง…

คุณพระคุณเจ้า ไม้ฉากยักษ์หรือนั่น!

เสี่ยวลิ่วมือสั่น หมูสามชั้นน้ำแดงตุ๋นสุราหกคว่ำราดลงบนเสื้อผ้าของยิ่นอ๋อง

เสี่ยวลิ่วก้มตัวขออภัยสุดชีวิต “ข้าน้อยสมควรตาย! ข้าน้อยสมควรตาย! คุณชายโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

หากเป็นก่อนหน้านี้ ยิ่นอ๋องคงสั่งให้ลากบ่าวไพร่ไม่มีตาคนนี้ออกไปโบยให้ตาย แต่วันนี้องค์ชายรองอยู่ที่นี่ จะให้องค์ชายรองคิดว่าเขาเป็นคนจิตใจคับแคบไม่ได้ เขาจึงกัดฟัน ระงับเพลิงโทสะ “วันหน้าก็ระวังให้มากหน่อย เจ้าทำลวกถูกข้ายังไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นเด็กน้อยสักคนหรือหญิงสาวสักนาง เจ้าจะทำเช่นไร”

องค์ชายรองถอนหายใจอย่างชื่นชม “ท่านอ๋อง ช่างใจกว้างยิ่งนัก”

ยิ่นอ๋องลุกขึ้นบอกว่า “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รถม้า องค์ชายรองเชิญทานก่อน ไม่ต้องรอข้า”

“ไม่ ข้ารอท่าน” องค์ชายรองตอบ

ยิ่นอ๋องยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วก้าวออกจากห้องไป

เฉียวเวยเกาะขอบหน้าต่าง มองส่งใครบางคนเข้าใปในรถม้า

แต่ใครบางคนนั้นเหมือนจะหาเสื้อผ้าของเขาไม่พบ เพราะเสื้อผ้าของเขาถูกต้าหวงคาบไปแล้ว เขาจึงจำต้องไปซื้อเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่ร้านผ้าใกล้ๆ เดินทางไปกลับรอบหนึ่ง ก็เป็นเวลาพอสมควร

เฉียวเวยป้อนเนื้อปลาตากแห้งสดใหม่ชิ้นหนึ่งให้เจ้าแมวส้มตัวโต หลังจากนั้นจึงปลดมุ้งกันยุงรอบเตียงลงมา แล้วทำสีหน้าจริงจัง ก่อนจะเดินไปยังหอชิงโยว “องค์ชายรอง”

องค์ชายรองหันหลับมา เมื่อเห็นนาง ดวงตาก็ฉายแววตกตะลึงในความงาม “เจ้าคือ…”

เฉียวเวยอดทนต่อสัญญาณเตือนในหัวใจ คลี่รอยยิ้มกว้างเดินเข้าไป “ข้าคือเถ้าแก่รองของหรงจี้ องค์ชายรองเรียกข้าว่าเสี่ยวเฉียวก็ได้ ท่านอ๋องไม่ได้บอกองค์ชายหรือว่าข้าจะมา”

“เจ้า ท่านอ๋อง รู้จักหรือ” องค์ชายรองถามอย่างสงสัย

องค์ชายรองผู้นี้พูดภาษาฮั่นได้ไม่เลว แต่ประธาน กิริยา กรรมสับสนไปหมด แล้วสำเนียงก็แปลกพิกลเหมือนคนที่มีความบกพร่อง

เฉียวเวยยิ้มละไมตอบว่า “เพียงรู้จักเสียที่ไหน ข้าเป็น…ของท่านอ๋อง” พูดถึงตรงนี้ เฉียวเวยก็ส่งสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘ท่านก็รู้’ ให้องค์ชายรอง

องค์ชายรองร้องอ้อแล้วว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

เจ้าเข้าใจอะไรของเจ้ากันฮึ ข้าเป็นคู่แค้นของยิ่นอ๋อง แค้นจนอยากจะบดขยี้เขาให้ตาย!

เฉียวเวยนั่งลงข้างเขา แล้วกดเสียงเบาเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องให้ข้านำความมาบอกกับองค์ชายรองสักสองสามคำ”

“เจ้าทำอะไร ต้องทำเสียงเบา…”

“ชู่!” เฉียวเวยยกมือทำท่าให้เงียบเสียงอย่างระแวดระวัง “กำแพงมีหูประตูมีช่อง ท่านอ๋องมีศัตรูในราชสำนักมากมาย มีคนไม่น้อยต้องการจับจุดอ่อนของท่านอ๋อง ยามปกติท่านอ๋องอยู่ที่ใด ล้วนมีคนที่เกลียดชังเฝ้าจับตาดูอยู่”

“ที่นี่ ก็มีหรือ” องค์ชายรองตกใจกลัวเล็กน้อย

เฉียวเวยบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “มีแน่นอน แต่ท่านอ๋องเพิ่งออกไป คิดว่าพวกเขาคงไล่ตามไปแล้ว ถึงกระนั้นก็ต้องระวังเอาไว้ก่อน หากจู่ๆ พวกเขาย้อนกลับมา พวกเราระวังไว้หน่อยย่อมเป็นการดี”

“ข้า ท่านอ๋อง พบกัน เปิดเผย” องค์ชายรองพูดติดๆ ขัดๆ

เฉียวเวยงุนงงอยู่พักหนึ่งจึงเข้าใจ เขากำลังจะบอกว่าเขากับยิ่นอ๋องไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังผู้คน นี่เขาจ้างอาจารย์สอนภาษาฮั่นตัวปลอมไปสอนหรืออย่างไร

เฉียวเวยเบ้ปาก กล่าวขึ้นว่า “องค์ชายรองคิดว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงนัดท่านมาทานอาหารที่หรงจี้เล่า หรงจี้เป็นถิ่นของข้า ท่านอ๋องพาองค์ชายรองมาที่นี่ เป้าหมายไม่ชัดเจนหรอกหรือ”

องค์ชายรองส่ายศีรษะอย่างมั่นใจ แต่เมื่อเห็นเฉียวเวยจ้องตนด้วยแววตาจริงจัง ไม่ทราบเพราะเหตุใด ในหัวใจจึงเต้นตึกๆ แล้วเปลี่ยนมาพยักหน้า

เขาขอสาบาน สาเหตุที่เขาพยักหน้าล้วนเป็นเพราะถูกสตรีนางนี้บีบบังคับ

เฉียวเวยกล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องพาองค์ชายรองมาที่นี่ เพราะตั้งใจจะหลบเลี่ยงสายตาพวกนั้น ความจริงเขาต้องการอาศัยโอกาสนี้ คุยเรื่องหนึ่งกับองค์ชายรองให้ชัดเจน”

“เรื่องอันใด” องค์ชายรองถาม

เฉียวเวยผลักประตูห้องเปิด แล้วมองไปด้านนอกด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ จากนั้นจึงหันไปกวักมือให้องค์ชายรอง “องค์ชายรองเชิญตามข้ามา”

องค์ชายรองเห็นนางระวังเช่นนี้ก็ระวังอย่างยิ่งตามไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว

ทั้งสองคนลอบออกจากหอชิงโยวมายังห้องบัญชีของเฉียวเวยอย่างหลบๆ ซ่อนๆ

เฉียวเวยยืมทักษะการแสดงของจูเอ๋อร์ออกมาใช้ นางพรูลมหายใจยาว แต่ไม่รอให้พรูลมหายใจจบก็รีบปิดประตูลงกลอน!

“เจ้าจะ ทำสิ่งใด” องค์ชายรองถามด้วยสำเนียงประหลาด

“มีเวลาไม่มาก ข้าจะพูดสั้นๆ องค์ชายรองเชิญทอดพระเนตรก่อนว่าคนบนเตียงคือผู้ใด” เฉียวเวยเปิดมุ้ง

ใบหน้าที่เต็มไปด้วย ‘กระ’ สะท้อนเข้ามาในสายตาขององค์ชายรอง องค์ชายรองส่องกระจกเห็นตนเองทุกวัน คิดว่าตนเองฝึกฝนจิตใจจนมิมีสิ่งใดทำร้ายได้แล้ว แต่สตรีนางนี้ สตรีนางนี้รูปโฉม…น่ากลัวเกินไปแล้วจริงๆ!

“นางคือผู้ใด” องค์ชายรองถามอย่างขวัญผวา

เฉียวเวยตอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “นางก็คือคุณหนูสามแห่งตระกูลตัวหลัว ว่าที่ภรรยาที่ฮ่องเต้เลือกให้ท่าน”

“ที่แห่งนี้ นางมาอยู่ ได้อย่างไร” องค์ชายรองไม่กล้ามอง หากมองซ้ำ ดวงตาของเขาคงบอด

เฉียวเวยกดมุมปากที่กำลังยกโค้งลงไป แล้วตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นางมักจะมาทานอาหารที่หรงจี้ ท่านอ๋องสืบถามร่องรอยของนางมาแล้ว จึงตั้งใจนัดองค์ชายรองออกมา ให้องค์ชายรองได้พบตัวจริงของนาง ข้าเสียแรงไปอักโขกว่าจะกรอกเหล้านางจนเมามายเพื่อไม่ให้นางวิ่งหนี”

สันหลังขององค์ชายรองเย็นวาบ “ไม่ได้บอกว่า เป็นคนงามหรือ”

เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความอับจนปัญญา “คำเรียกขานว่าคนงาม นางเป็นคนคุยโวออกมาเอง นางให้บ่าวรับใช้กระพือข่าวลือไปทั่วว่านางเพียบพร้อมทั้งรูปโฉมความสามารถ แต่ไม่เคยเผยหน้าในงานเลี้ยง ทำให้ทุกคนรวมถึงฝ่าบาทล้วนเชื่อว่านางเป็นยอดคนงามผู้ลึกลับคนหนึ่ง”

ตัวหลัวหมิงจูไม่ชอบออกงานเลี้ยงจริงๆ เรื่องนี้ องค์ชายรองสืบได้ง่ายมาก

สาเหตุที่บอกเช่นนี้ก็เพราะต้องการโยนความผิดมาไว้ที่ตัวหลัวหมิงจูทั้งหมด มิให้องค์ชายรองคิดว่าฮ่องเต้จงใจหมั้นหมายภรรยาอัปลักษณ์ให้เขาเพื่อเป็นการหยามเผ่าซยงหนีว์

“ท่านอ๋อง หลอกข้าหรือ” องค์ชายรองโมโหเล็กน้อย

“เมื่อครู่ข้าไม่ได้บอกองค์ชายรองไปแล้วหรือ รอบตัวท่านอ๋องมีสายตาจับจ้องอยู่ตลอด พูดจาไม่สะดวก จึงต้องจงใจบอกว่าคุณหนูตัวหลัวงดงามยิ่งนัก ถึงอย่างไรเสด็จพ่อของเขาก็ออกราชโองการมาแล้ว บนแผ่นดินจงหยวนของพวกเรา บุตรชายมิอาจบอกว่าบิดาไม่ดีได้ มิฉะนั้นจะถือว่าอกตัญญู!”

องค์ชายรองเข้าใจแล้ว ระหว่างที่เขาศึกษาวัฒนธรรมของจงหยวน สิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คือความกตัญญู ได้ยินว่าราชวงศ์ต้าเหลียงใช้หลักกตัญญูปกครองแว่นเคว้น

เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “ท่านก็อย่าโกรธฝ่าบาทเลย พระองค์ก็ได้ยินมาว่าคุณหนูสามสกุลตัวหลัวเป็นยอดคนงามคนหนึ่งเช่นกัน จึงพระราชทานสมรสนางให้แก่ท่าน”

“น่าชัง สตรี!” ความประทับใจที่องค์ชายรองมีต่อตัวหลัวหมิงจูย่ำแย่ในพริบตา “รูปโฉมของสตรี พวกเรา บนทุ่งหญ้า บุรุษ ไม่สนใจ แต่ คนโกหก ไม่ชอบ”

“ใช่แล้ว นางทำเช่นนี้ทำเกินไปจริงๆ แต่ขอองค์ชายรองเห็นแก่พี่สาวของนางกับยิ่นอ๋อง อภัยให้นางเถิด แม่นางคนใดมิชอบความงดงามกันเล่า นางเพียงเกิดมาเป็นเช่นนี้จึงไม่มีหนทางอื่น ความจริงแล้วนางเองก็น่าสงสารยิ่งนัก” เฉียวเวยยกปลายแขนเสื้อที่ทาพริกไว้ขึ้นมาถูจนแสบร้อน น้ำตาไหลออกมาสองหยด

องค์ชายรองรับมือกับน้ำตาของหญิงงามไม่เก่งอย่างที่สุด “เจ้า ดีงามจริงๆ ข้าอยาก สู่ขอเจ้า”

เฉียวเวยตอบด้วยท่าทาง ‘ตระหนกที่ได้รับความโปรดปราน’ “ขอบพระทัยองค์ชายรองที่โปรดปราน แต่ข้ามีลูกแล้ว มิอาจแต่งงานกับท่านได้”

“เช่นนั้นหรือ” องค์ชายรองผิดหวัง เขาเพิ่งเคยพบแม่นางที่งดงามเช่นนี้เป็นครั้งแรก หากตบแต่งกลับไปที่บ้าน ได้เชยชมทุกวันจะดีเพียงใด

แววตาของเฉียวเวยไหววูบหนึ่ง “แต่ข้ามีน้องสาวนางหนึ่ง รูปโฉมมิเป็นรองข้า ข้ามีภาพเหมือนของนางอยู่ องค์ชายรองต้องการชมหรือไม่”

องค์ชายรองกระตือรือร้นขึ้นมา “ให้ข้า ดูหน่อย!”

เฉียวเวยหยิบภาพร่างที่เพิ่งวาดเมื่อครู่ออกมา ลายมือนางไม่เอาไหน แต่ฝีมือวาดรูปยอดเยี่ยมยิ่งนัก นางวาดรูปโฉมอันงดงามของเฉียวอวี้ซีออกมาได้อย่างพอเหมาะพอดีอย่างยิ่ง

องค์ชายรองตาค้างในพริบตา “มี คนงามเพียงนี้ จริงหรือ”

“แน่นอน องค์ชายรองทราบว่าข้าเป็นผู้ใดแล้ว ข้าจะกล้าปดองค์ชายรองได้เช่นไร หากองค์ชายรองพบว่าตนถูกหลอก ไยมิมาทำลายเหลาสุราแห่งนี้ของข้า”

“หาก เจ้า หลอกข้า เหลาสุราของเจ้า ข้าจะจริงๆ ทำลาย” องค์ชายรองเอ่ยอย่างจริงจังอย่างยิ่ง

เฉียวเวยยิ้มอย่างมั่นใจ “ข้าไม่หลอกท่านแน่นอน”

นางไม่ได้หลอกเขาจริงๆ แม้เฉียวอวี้ซีคนนี้จะจิตใจชั่วร้าย แต่รูปโฉมงามสะกดตาเป็นที่หนึ่งของที่หนึ่ง นางวาดภาพเหมือนออกมางามเพียงใด เฉียวอวี้ซีตัวจริงมีแต่จะงามมากกว่า

“คุณหนูของตระกูลใด พวกเจ้าเป็น” องค์ชายรองหวั่นไหวแล้ว

เฉียวเวยตอบว่า “จวนเอินปั๋ว บิดาของน้องสาวข้าก็คือหย่งเอินโหว”

“ผู้มีพระคุณ ของข้า!” องค์ชายรองตกตะลึง

เฉียวเวยก็ ‘ตกตะลึง’ ด้วย “ข้าไม่ได้กลับบ้านฝั่งมารดามานานแล้ว ไม่ทราบว่าบ้านฝั่งมารดาเกิดเรื่องอันใดขึ้น ท่านอารองของข้าช่วยชีวิตองค์ชายรองเอาไว้หรือ”

องค์ชายรองใช้ภาษาฮั่นที่ไม่ค่อยจะชำนิชำนาญเล่าเรื่องที่ตนเป็นอีสุกอีใสให้เฉียวเวยฟังรอบหนึ่ง

เฉียวเวยไม่กล้าชมเชยภาษาฮั่นของเขาจริงๆ นางฟังไม่เข้าใจสักนิด แต่เฉียวเวยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงเผยสีหน้าประหนึ่งเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ “จงหยวนของพวกเรามีคำกล่าวอยู่คำหนึ่ง พูดว่าบุญคุณเท่าหยดน้ำ ตอบแทนเท่าสายนที ในเมื่ออารองของข้าช่วยท่านไว้ ท่านก็สมควรเอาตัวตอบแทนจึงจะถูก แต่อารองของข้าเป็นบุรุษ ท่านย่อมสู่ขอเขาไม่ได้ เปลี่ยนมาสู่ขอบุตรสาวของเขาแทนย่อมเป็นการดี นี่เป็นประสงค์ของสวรรค์โดยแท้เชียว องค์ชายรอง!”