ตอนที่ 305 กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 305 กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง (1)

ภายในค่ายกลใหญ่ของการเพาะปลูกถั่วแห่งยอดเขาหยกน้อย จู่ๆ หลี่ฉางโซ่วที่กำลังศึกษาวิธีการผสมข้ามพันธุ์ถั่วเซียนแบบใหม่ ก็รู้สึกใจสั่นแปลกๆ เขาสัมผัสได้เพียงว่า มีบางอย่างกำลังหมุนอยู่รอบตัวเขา…

อาการใจสั่นนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและกะทันหัน ก่อนที่เขาจะทันสัมผัสได้ดี มันก็หายไป

มีคนกำลังวางแผนทำร้ายศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินหรือไม่?

หลี่ฉางโซ่ววางจอบลงและหยุดงานเกษตรในมือของเขา สีหน้าของเขาเคร่งขรึมอย่างยิ่ง

อาการใจสั่นไหวกะทันหันเช่นนี้ หมายความว่า น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถเป็นภัยต่อแผนการของเขาได้… ในยามนี้ เขาอาศัยตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อออกไปทำงานต่าง ๆ ข้างนอก และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผู้อื่นทำการหยั่งรู้ได้ ไม่เพียงแต่เขาจะมีสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ มากมายเท่านั้น แต่ยังมีปรมาจารย์ไท่ชิงช่วยเขาปกปิดความลับแห่งสวรรค์ด้วย

หรือว่ามีคนในสำนักกำลังมุ่งเป้ามาที่เขา?

ไม่น่าเป็นไปได้

โดยทั่วไปแล้ว ในขณะนี้ ไม่มีผู้ใดในสำนักจะคุกคามเขาได้

เขาไม่ได้ตัดขอบเขตเต๋าของเขาไปอย่างสูญเปล่า เซียนจินธรรมดาจะไม่มีพลังสะกดข่มต่อหน้าเขาอีกต่อไป นอกจากนี้ หลี่ฉางโซ่วยังเฝ้าจับสังเกตเรื่องภายในสำนักอยู่เสมอ โดยพื้นฐานแล้ว บรรดาเซียนเสิ่นหรือเซียนเทียนที่อาจมีความขัดแย้งกับเขา ก็จะอยู่ในขอบเขตของ “การตรวจสอบเป็นพิเศษ” ตามปกติของเขา … สัมผัสทางวิญญาณของผู้ฝึกบำเพ็ญ และอาการใจสั่นของเขา ย่อมไม่เป็นเรื่องไร้สาระอย่างแน่นอน

หลี่ฉางโซ่วจัดสถานที่และตรวจสอบส่วนต่างๆ ของค่ายกลอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ย้ายจิตกลับไปที่ร่างหลักของเขา จากนั้น เขาก็ใช้มือขวาทำมุทราหยั่งรู้ และเริ่มคาดคำนวณอย่างระมัดระวัง

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ได้ผลลัพธ์แล้ว จากนั้นเขาก็เลิกการกระทำที่ไร้ความหมายนั้น แล้วหยิบปากกากับกระดาษออกมาพลางวิเคราะห์ทีละอย่าง เขาทำอะไรไม่ได้ในเรื่องนี้ เขาสรุปได้ว่าพลังเวทจะสัมพันธ์กับอายุ ระดับฐานพลัง และระยะห่างระหว่างเขากับเต๋าสวรรค์

ความจริงแล้ว เขาแค่ตรวจสอบความลับแห่งสวรรค์ ทว่าสิ่งที่ทำให้หลี่ฉางโซ่วประหลาดใจก็คือ อาการใจสั่นนั้น ปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่เพียงไม่นาน มันก็หายไปในทันที

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้รับคลื่นลูกที่สามของสัมผัสทางวิญญาณและใจสั่น… มันเรื่องบ้าอะไรกันนี่?

หรือว่าคนที่คุกคามข้ายังลังเลใจอยู่?

หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและมองดูเรื่องราวที่สลับซับซ้อนที่เขาวาดบนกระดาษสีขาว จากนั้นก็อดจะพึมพำกับตัวเองไม่ได้

ในขณะนี้ มีเพียงสี่วิธีที่จะคุกคามร่างหลักของเขาได้ อย่างแรก คือ ผู้ทรงพลังที่อารมณ์เสียและยืนกรานที่จะทำลายสำนักตู้เซียน

อย่างที่สองคือ การหาร่างหลักของเขาตามช่องโหว่ที่ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ทิ้งไว้

อย่างที่สามคือ สหายยามยากตัวน้อย อ๋าวอี่ที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์สำนักตู้เซียนกับสำนักเทพทะเลทักษิณ

ความเป็นไปได้อย่างที่สี่นั้น ค่อนข้างไร้สาระ แต่ก็ยังเป็นไปได้เช่นกันที่จอมปราชญ์เฒ่าจะไม่พอใจเขาและคิดทำลายเขาให้แหลกเป็นชิ้นๆ…

ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ อย่างที่สอง และอย่างที่สาม

เขาสามารถกำจัดพวกมันไปได้ก่อน

หลี่ฉางโซ่วใช้เจตจำนงวิญญาณของเขาเพื่อติดต่อกับอ๋าวอี่ทันที ทั้งสองคนเชื่อมโยงเจตจำนงวิญญาณระหว่างรูปปั้นของวิหารหลักแห่งเมืองอันสุ่ยและเข้าสู่ความฝัน หลี่ฉางโซ่วถามอ๋าวอี่อย่างละเอียดถี่ถ้วน ทำให้รองเจ้าสำนักรู้สึกประหม่า

โชคยังดีที่รองเจ้าสำนักยืนหยัด รับมือการสอบถามได้…

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถามอ๋าวอี่อีกสองสามคำถึงเรื่องความคิดเห็นของผู้คนบนเกาะเต่าทองในยามนี้

ตามที่อ๋าวอี่ประจักษ์ด้วยตาของเขาเอง หลังจากที่เทพธิดาจินกวงกลับมาที่เกาะเต่าทอง นางได้พบสหายสนิทมากมายและอธิบายอย่างชัดเจนว่า “เคราะห์กรรม” ที่เกิดขึ้นระหว่างเทพแห่งท้องทะเลทักษิณและสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยนั้น ไม่ใช่ว่าเทพแห่งท้องทะเลทักษิณจงใจวางอุบายให้ร้ายศิษย์พี่กงหมิง เทพธิดาจินกวงยังถึงกับยกย่องเทพแห่งท้องทะเลทักษิณที่อุทิศตนให้กับสำนักบำเพ็ญเต๋าโดยไม่ได้รับกรรมใดๆ ทั้งยังลบล้างข่าวลือที่ไร้มูลความจริงเกี่ยวกับเทพแห่งท้องทะเลทักษิณที่แพร่กระจายอยู่ในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยออกไปกว่าครึ่ง…

เมื่อตัดการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็จ้องไปที่กระดาษสีขาวตรงหน้าเขาอีกครั้ง บัดนี้ ความน่าจะเป็นของตัวเลือกที่สามลดลงไปมากกว่าครึ่ง

สถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด… ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่อาจพลั้งเผลอพูดอะไรที่ปล่อยความลับออกไปก่อนหรือไม่? แค่กๆ อาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์… ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ไม่ใช่พลังเวทที่สมบูรณ์แบบ แม้หลี่ฉางโซ่วจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ แต่ก็ยังทิ้งอันตรายซ่อนเร้นอยู่มากมายเอาไว้เบื้องหลัง

หลี่ฉางโซ่วรู้ถึงอันตรายที่ซ่อนเร้นอยู่เหล่านั้นตั้งแต่ต้น เขายังได้ใช้มาตรการป้องกัน “ดูเหมือนว่ามาตรการป้องกันยังไม่เพียงพอ”

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดชั่วครู่ เขามองดูเม็ดโอสถทองคำเก้าแปรเปลี่ยนทั้งสองเม็ดก่อนจะหลับตาลงแล้วเพ่งจิตเรียกระดมตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์จากทั่วทุกแห่ง แล้วให้มันซ่อนตัวลึกลงไปอีก หากพวกมันไม่ปลอดภัย ก็ให้พวกมันสามารถทำลายตัวเองได้ทันที

ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เสร็จสิ้นการตรวจสอบตนเองแล้ว

จากนั้น เขาก็ใจเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง…

“ยังไม่ได้ตัดสินใจอีกหรือ?” หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเขามีพลังเวทของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ เขาจะฉีกแยกจักรวาลออกเป็นชิ้นๆ แล้วไปถามอีกฝ่ายว่า อยากลงมือโจมตีหรือไม่?

แต่แน่นอนว่า หากพวกเขาไม่โจมตีน่าจะดีกว่า…

ในเวลาเดียวกันนั้น ในที่พำนักของถ้ำเรียบง่ายที่ไม่เด่นสะดุดตาที่เชิงเขาหลิงซาน ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงกำลังนอนอยู่บนเบาะและมองดูรังไหมที่สั่นเทาอยู่ตลอดเวลาในฝ่ามือของนาง บางครั้ง นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็คลายออกบ้างเป็นบางคราว…

นางกำลังลังเลจริงๆ

ไม่ใช่ว่า นางกำลังลังเลระหว่างสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและ สำนักบำเพ็ญประจิม

บัดนี้ นางได้เห็นเส้นทางสดใสสว่างราบรื่นในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และละทิ้งสำนักบำเพ็ญประจิมอย่างสิ้นเชิง

หากไม่ไร้สติปัญญา ทุกคนย่อมจะตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ในความเห็นของนาง พวกสวะจากสำนักบำเพ็ญประจิมไม่อาจเอาชนะคนไม่กี่คนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินได้

นางสัมผัสได้ชัดเจนว่า นาง ผู้เป็นราชินี เป็นเพียงหมากที่สำนักบำเพ็ญประจิมจะทิ้งได้ทุกเมื่อ… ยกตัวอย่างเช่น การจัดเตรียมของศิษย์ของจอมปราชญ์ในครั้งนี้ เมื่อวานนี้ ชายชราหลังค่อม ศิษย์ของจอมปราชญ์ได้ให้รังไหมแก่นางและพูดบางอย่างเช่น ‘สำคัญ’ …

เขาคิดว่าข้าเป็นสตรีไร้เดียงสาที่หลอกได้ง่ายอย่างนั้นหรือ?

ยกเว้นแต่ปรมาจารย์จอมปราชญ์เองที่จะไปตรวจสอบเทพแห่งท้องทะเลทักษิณด้วยตัวเอง ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ผลสุดท้ายก็จะเป็น คำเตือนจากแผนภาพไทจี๋ แล้วนั่นหมายความว่าอย่างไร?

นั่นย่อมหมายความว่า เทพแห่งท้องทะเลทะเลทักษิณต้องมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและได้รับการปกป้องจากปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพโดยตรง!

อย่าถือว่านางเป็น “เด็กสองห้าขาสวย[1]แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน”ที่หวนคืนสู่สำนักบำเพ็ญเต๋าหยินนะ

การให้นางใช้ผีเสื้อนี้เพื่อค้นหาร่างจริงของเทพแห่งท้องทะเลทักษิณและสังหารเขาเสีย ย่อมไม่ต่างกับการโยนนางลงในเตาเผาแปดรูปลักษณ์ในวังดุสิต

หากนางลงมือได้สำเร็จ แล้วบุรุษผู้นั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู จะไม่สังหารนางได้อย่างไรเล่า?

นอกจากนี้ ในยามนี้ เทพแห่งท้องทะเลทักษิณซึ่งเป็นปรมาจารย์เต๋าน้อยแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ยังเป็นเพียงคนเดียวที่ให้นางติดต่อกับสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินได้ เช่นนั้นแล้ว ไยนางต้องทำเรื่องที่ทำลายชีวิตของนางเองด้วยเล่า… แน่นอนว่า ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงไม่ได้กังวลว่านางควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร

เพราะหากนางบอกเรื่องนี้กับเทพแห่งท้องทะเลทักษิณ เขาก็ย่อมจะมีวิธีจัดการให้อย่างแน่นอน

ทว่าสิ่งที่นางลังเลในยามนี้คือ…

ข้าควรใช้สิ่งนี้เพื่อค้นหาร่างจริงของปรมาจารย์เต๋าน้อยและล้อเขาเล่นให้สนุกสนานดีหรือไม่? ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงหรี่ดวงตาเรียวรีราวตาหงส์ของนางอีกครั้ง ดวงตาของนางฉายแววขี้เล่นออกมา นางเคยถูกเทพแห่งท้องทะเลทักษิณวางอุบายร้ายมาหลายครั้งมากเกินไป ทำให้นางยังแค้นเคืองอยู่บ้าง…

“หือ ข้าราชินีผู้นี้จะทำเพียงเพราะอยากทำเองเท่านั้น พวกเขาจะทำอะไรกับมันได้บ้าง?”

ในขณะนั้น ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงก็นั่งลงเป็นครั้งที่หก ดูเหมือนว่า ปลายนิ้วของนางจะแทงทะลุรังไหมในทันที ทว่านิ้วเรียวของนางก็หยุดชะงักลงกลางคันเมื่ออยู่ห่างจากมันไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น…

แม้การพบร่างหลักของสหายผู้นี้แล้วเยาะเย้ยเขาได้ จะช่วยระบายความโกรธของนาง แต่นี่จะทำให้นางสูญเสียมากเกินไปและง่ายต่อการทำให้เทพแห่งท้องทะเลทักษิณบันดาลโทสะ

กลัวหรือ?

แน่นอนว่าไม่ นางไม่ได้กลัว แต่ปฏิบัติตามพื้นฐานของการคิดอย่างมีเหตุผลเท่านั้น ทว่ามีเหตุผลจากใจเพียงเล็กน้อยนะ

ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงหันหลังกลับจากใจและสถานการณ์ที่เขาได้พบกับบุคคลที่สามของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินนี้หลายครั้ง …

ทุกครั้งที่นางค้นพบสิ่งใหม่ๆ คนผู้นั้นก็จะทำให้นางรู้สึกกลัวมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นได้มากว่า ปรมาจารย์เต๋าน้อยผู้นี้ไม่ได้จะไม่ได้เป็นเพียงคนธรรมดาของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินและปรมาจารย์จอมปราชญ์เทพที่อยู่เบื้องหลังเขา อาจไม่ได้มีเพียงแต่บรรพชนไทชิงคนเดียวเท่านั้น

ช่างมันเถิด ข้าควรจะคุยเรื่องนี้กับเขาอย่างลับๆ ก่อน…

………………………………………………………………

[1] สายลับ เป็นแสลงที่ว่ากันว่ามาจากองค์กรสายลับในราชวงศ์ชิง เอ้อร์อู๋จ่าย(แปลตามแต่ละตัวอักษรก็คือ สอง ห้า เด็กหนุ่มสาว) หมายถึง สายลับ คนสอดแนม ผู้แจ้งข่าวคนทรยศที่หักหลังองค์กร ส่วนขาสวยนั้น ทำนองว่า ผู้เขียนปรับมาจากยุงมีหลายขานั่นเอง