บทที่ 340 ตีแสกหน้า

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 340 ตีแสกหน้า

กลางเดือนหก เมืองหลวงฝนตกหนักติดต่อกันห้าวันแล้ว บ้านช่องและไร่นาไม่น้อยน้ำท่วม กรมโยธาวิ่งวุ่นระบายน้ำออกจากเมืองหลวง แม้แต่คฤหาสน์ของจวงไทเฮายังต้องหยุดสร้างไว้ก่อน เพราะท่านโหวกู้ถูกเรียกตัวกลับมารับคำสั่ง

กรมพระคลังวุ่นกับการช่วยเหลือปวงชนฟื้นฟูการเพาะปลูก

ขุนนางสำนักฮั่นหลินส่วนหนึ่งที่รู้เรื่องการเกษตรก็ถูกย้ายไปชนบท เซียวลิ่วหลังก็อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย

หนึ่งวันก่อนออกเดินทง เขาไปตำหนักเหรินโซ่วเพื่อลาจวงไทเฮา

จวงไทเฮาในห้องทรงอักษรอ่านฎีกาพลางแค่นเสียงเอ่ย “ไม่ได้ไปที่รกร้างห่างไกลมากเสียหน่อย เดินทางวันเดียวก็ถึงแล้ว ยังจะมาลากันอีก!”

นางเพิ่งเอ่ยจบ ฉินกงกงก็หอบห่อผ้าเดินเข้ามาหา “เซียวซิวจ้วน เก็บของให้ท่านเรียบร้อยแล้ว ไทเฮาเป็นคนเลือกให้ทั้งนั้นเลยนะ บ่าวกำลังจะเอาไปให้ที่ตรอกปี้สุ่ยอยู่พอดีเลย ท่านมาได้เหมาะเจาะนัก!”

เซียวลิ่วหลังมองข้าวของห่อใหญ่สองใบโตๆ ก่อนจะมองไปที่ท่านย่า

อ๋อ ไหนบอกไม่ต้องลาอย่างไรเล่า

จวงไทเฮาถลึงตาใส่ฉินกงกงกอย่างแรง!

ฉินกงกงถูปลายจมูกหน้าแหยๆ “ไอ้หยา บ่าวนึกขึ้นได้ว่ายังมีบัญชีที่อ่านไม่จบหลายเล่มเลย! บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ!”

เอ่ยจบเขาก็เผ่นแนบไปเลย

“ออกเดินทางเมื่อใดล่ะ” จวงไทเฮาถาม

“เช้าวันพรุ่งนี้ขอรับ” เซียวลิ่วหลังบอก

จวงไทเฮาถาม “นอกจากเจ้าแล้วยังมีใครอีก”

เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “หวังซิวจ้วน หลี่ซิวจ้วนและหยางซื่อตู๋ขอรับ”

จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ใครก็ได้มานี่ที”

ฉินกงกงสาวเท้าเข้ามา “ไทเฮา ท่านมีอะไรจะสั่งหรือ”

จวงไทเฮาเอ่ย “ทางข้ามีตำราดีๆ หลายม้วนที่ต้องคัดลอก เจ้าไปสำนักฮั่นหลินที ให้หยางซื่อตู๋เอาตำราพวกนี้ไปคัด”

“ไม่ต้องหรอกท่านย่า” เซียวลิ่วหลังบอก “จะฆ่าไก่ด้วยมีดวัวได้อย่างไร ข้ารับมือได้ขอรับ”

จวงไทเฮาครุ่นคิด จะปกป้องมากเกินไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ พวกกุ้งปลาเล็กๆ นี่ก็แค่เอามาให้เจ้าหนูได้ฝึกปรือฝีมือ ถือว่าขัดเกลาอีกฝ่าย

“มื้อเย็นเสร็จหรือยัง” จวงไทเฮาถามฉินกงกง

ฉินกงกงรีบยิ้มบอก “รอแค่ไทเฮาไปเสวยพ่ะย่ะค่ะ!”

เซียวลิ่วหลังท่านมื้อเย็นเป็นเพื่อนจวงไทเฮาที่ตำหนักเหรินโซ่ว จากนั้นก็กะว่าจะกลับ

จวงไทเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “ข้านั่งมาทั้งวันแล้ว ได้ออกไปเดินเสียหน่อยพอดี”

เซียวลิ่วหลังมุมปากหยักยกขึ้นน้อยๆ “ขอรับ”

สองคนย่าหลานออกจากตำหนักเหรินโซ่ว

ฝนตกห่าใหญ่ครานี้ไม่เพียงแต่ท่วมไปเกือบครึ่งเมืองหลวงเท่านั้น ยังท่วมพื้นที่ในวังหลวงไม่น้อย โชคดีที่ตำหนักเหรินโซ่วเป็นตำหนักที่มีอำนาจที่แท้จริงมากที่สุด น้ำที่ขังทั้งหมดจึงถูกระบายแล้ว ทางเดินก็ถูกเติมให้เรียบเสมอแล้วด้วย เดินเหินสะดวกยาวไปจนถึงประตูใหญ่ของวัง

ตำหนักฮว๋าชิงก็ทางเดินสะดวกเช่นกัน

วันนี้แดดกำลังดี อากาศปลอดโปร่ง จิ้งไท่เฟยนั่งอยู่บนเกี้ยวมีหลังคาหรู สวมชุดแม่ชีตลอดร่างและหมวกนักพรต ขัดกับเกี้ยวหรูหรายิ่งนัก

ตั้งแต่จิ้งไท่เฟยได้รับบาดเจ็บก็พักรักษาตัวที่ตำหนักหวาชิงมาตลอด ฝนตกหนักอยู่หลายวัน หมอหลวงบอกว่านางจะเอาแต่อยู่ในตำหนักบรรทมไม่ได้ ควรออกไปรับลมสูดอากาศด้วย

ดังนั้นฮ่องเต้จึงให้คนใช้เกี้ยวหามนางออกมา

จวงไทเฮากลับไม่ได้นั่งเกี้ยวหงส์ของตัวเอง เพราะจะเดินไปกับเซียวลิ่วหลังด้วย

ทั้งสองฝ่ายบังเอิญเจอกันเข้า กลับเป็นจิ้งไท่เฟยที่อยู่สูงกว่า

“บัง…”

ฉินกงกงกำลังจะตวาดว่าเห็นไทเฮาแล้วเหตุใดจึงไม่ลงจากเกี้ยว

แต่เซียวลิ่วหลังชิงเอ่ยตัดหน้าเขาเสียก่อน เขาคำนับให้ด้วยคำกล่าวสำหรับผู้ออกบวช “จิ้งอันซือไท่”

สีหน้านางกำนัลข้างกายจิ้งไท่เฟยพลันเปลี่ยน

จิ้งอันซือไท่อะไรน่ะ นี่จิ้งไท่เฟยต่างหาก!

แม้แต่ฝ่าบาทยังเรียกนางว่าเสด็จแม่เลยนะ!

จิ้งไท่เฟยสีหน้าไม่เปลี่ยน

เซียวลิ่วหลังเอ่ยแนะนำ “จิ้งไท่เฟยออกจากวังมาเป็นนักบวชเสียนานแล้ว คงจะลืมเรื่องราวทางโลกไป ท่านนี้คือไทเฮาขอรับ”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครก็จำต้องคำนับจวงไทเฮาแล้วล่ะ

“วางเกี้ยว” จิ้งไท่เฟยยกมือขึ้น สายตามองไปยังจวงไทเฮา

จวงไทเฮาก็มองนางเช่นกัน

สายตาของทั้งคู่ต่างราบเรียบยิ่ง ไม่ว่าใครก็เดาความคิดในใจของทั้งคู่ไม่ออก

แม่นมไช่ยื่นมือไปประคองจิ้งไท่เฟย

จิ้งไท่เฟยยังคงปวดระบมตัวอยู่ อาการบาดเจ็บหลักยังไม่เข้าที่ ทั้งกระอักกระอ่วนทั้งหายช้า

จิ้งไท่เฟยจับมือแม่นมไช่ประคองตัวเดินมาตรงหน้าจวงไทเฮาอย่างเนิบช้า ก่อนคำนับให้แบบพุทธ “ชี…”

ไม่รอให้นางเอ่ยจบ จวงไทเฮาก็เดินไปโดยไม่หันมามอง

จิ้งไท่เฟยคำนับด้วยร่างแข็งทื่อ นางกำนัลขันทีทุกคนต่างเห็นความน่าสงสารและกระอักกระอ่วนของนาง

มาดของจวงไทเฮาแข็งกร้าวและน่าเกรงขามอย่างไม่ต้องสงสัย นางไม่จำเป็นต้องดูถูกเหยียดหยามใคร เพราะนางนั้นเกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่ที่สุดของแผ่นดินอยู่แล้ว

“ไท่เฟย…” นางกำนัลเข้าไปพยุงนาง

จิ้งไท่เฟยกะพริบตาปริบๆ “ข้าไม่เป็นไร”

จวงไทเฮาเดินเป็นเพื่อนเซียวลิ่วหลังจนมาถึงสวนหลวง เซียวลิ่วหลังจึงหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยกับนาง “ท่านย่าโปรดกลับไปเถิด นี่ก็มืดมากแล้ว”

“อืม” จวงไทเฮาขานรับเรียบๆ นางมองตาเขาพลางกำชับ “ระวังตัวให้มากนะ”

“ข้าทราบขอรับ” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า มองทิศทางของตำหนักหวาชิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “คงต้องไหว้วานท่านย่าดูแลเจียวเจียวเสียแล้ว”

จวงไทเฮากลอกตา “เจียวเจียวของข้า ข้าดูแลเองได้ ต้องให้เจ้ามาบอกด้วยรึ”

เซียวลิ่วหลังหัวเราะน้อยๆ “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”

“อืม” จวงไทเฮามองส่งจนเซียวลิ่วหลังหายไปตรงสุดมุมถนนสายเล็กจึงได้หันหลังจะกลับตำหนักเหรินโซ่ว นางพบว่าฉินกงกงใจลอย จึงได้ถลึงตาใส่เขาแล้วเอ่ย “มัวใจลอยอะไรอยู่! ไปได้แล้ว!”

ฉินกงกงเอ่ยอย่างสะทกสะท้อนใจ “ยามเซียวซิวจ้วนยิ้มขึ้นมา…ช่างน่ามองนัก…”

จวงไทเฮาคิดในใจ น่ามองอยู่แล้วสิ อายุสิบสามท่านโหวน้อยก็ครองตำแหน่งรูปงามที่สุดแล้วจะไม่น่ามองได้รึ

แค่เด็กคนนี้ไม่ชอบยิ้มแย้มเท่านั้นเอง

จะว่าไปก็ไม่ค่อยถูกนัก เมื่อก่อนเขายิ้มเก่งมาก ตอนเด็กๆ ก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากจนทั้งสวนหลวงมีแต่เสียงหัวเราะของเขา

เหตุไฟไหม้ที่กั๋วจื่อเจียนครานั้นได้พรากรอยยิ้มเขาไป

เพลิงไหม้ครานั้นเป็นอุบัติเหตุจริงๆ น่ะรึ

หากเซียวเหิงยังมีชีวิตต่อไป แล้วคนที่ไหม้เกรียมเป็นศพในกองเพลิงคนนั้นคือใครกันเล่า

……

วันรุ่งขึ้นเมื่อเซียวลิ่วหลังตื่น กู้เจียวก็เก็บข้าวของให้เขาเรียบร้อยแล้ว นี่ไม่ใช่การออกเดินทางไกลบ้านครั้งแรกของเขา เมื่อก่อนออกไปสอบขุนนาง ยามนี้ออกไปทำงานราชการ

“เครื่องหอมไล่ยุงอยู่ในห่อนี้ ยากันยุง ยาแก้ท้องเสียและยาแก้เมารถอยู่ในถุงหอมนี้ แล้วก็มีผลไม้กับอาหารแห้งไว้กินระหว่างทางนิดหน่อย”

กู้เจียวรู้ว่าเขามีเงินติดตัวไม่มาก หามาได้ถ้าไม่จ่ายค่าเช่าก็จะให้นางมาใช้จ่ายในบ้าน

กู้เจียวจึงใส่เงินไว้ด้านในสุดร้อยตำลึง กับเศษเหรียญและทองแดงถุงหนึ่ง

เซียวลิ่วหลังรับห่อผ้ามา “เร็วสุดก็ครึ่งเดือนได้กลับมา ช้าสุดก็ไม่เกินเดือนหน้าหรอก”

“ดูแลตัวเองด้วยนะ” กู้เจียวส่งเขาขึ้นรถม้า

หลิวเฉวียนส่งเขาไปสำนักฮั่นหลินก่อน ขุนนางสำนักฮั่นหลินทั้งหมดนั่งรถม้าคันเดียวกันไปชนบทต่อ

เสี่ยวจิ้งคงไปโรงเรียนแล้ว ไม่ได้มาส่งครานี้

พอเซียวลิ่วหลังจากไป กู้เจียวไปโรงหมอ อยู่ที่นั่นตลอดทั้งเช้า จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าบุรุษสวมหน้ากากโรงประลองไท่อัน

หมู่นี้ยุ่งมากนัก ไม่ได้ไปมานานแล้ว

นางต้องรีบฟื้นฟูศักยภาพให้เร็วที่สุด นางไม่อยากเห็นหน่วยกล้าตายแล้วเผ่นแนบเหมือนคราก่อนแล้ว!

นางจะเอากระสอบครอบหัวเขา!

วันนี้ไม่เจอคู่ต่อสู้ที่สู้ด้วยยาก กู้เจียวสู้อยู่สองสามสังเวียนก็ออกมาอย่างอารมณ์ดี

นางนวดข้อมือพลางเดินกลับไป

เพราะถนนบางส่วนในเมืองหลวงยังคงมีน้ำท่วม นางจึงไม่ได้ใช้เส้นทางเดิม แต่อ้อมเป็นวงใหญ่ ระหว่างกลับนึกไม่ถึงว่าจะเจอกับขอทานที่มาวางหมากรุกเมื่อคราก่อนเข้า

ขอทานยังคงใช้ตำราปิดหน้าเหมือนกำลังหลับเช่นเคย

ตรงหน้าเขามีกระดานหมากที่ต่างไปจากคราก่อน

กู้เจียวมองอย่างสนใจใคร่รู้ หมากครานี้ค่อนข้างยากอย่างเห็นได้ชัด นางแก้ได้ช้ากว่าคราก่อน

นางเริ่มใช้สมองขบคิด หมากกระดานนี้มีทางให้เดินสิบกว่าแบบ ทุกแบบล้วนเกิดรูปแบบหมากอีกหลายสิบแบบ คนทั่วไปไม่อาจลองเดินหมากในหัวจำนวนมากได้หรอก

เวลาราวๆ เกือบครึ่งเค่อต่อมา กู้เจียวก็ลืมตาขึ้น นางหยิบหมากตัวหนึ่งไปวางบนกระดาน

ในขณะที่นางกำลังจะจากไป มือชราผอมแห้งดุจฟืนข้างหนึ่งก็พลันมาคว้าข้อมือนางไว้

เป็นของขอทานชราคนนั้น

เมื่อครู่นางรวบรวมสมาธิประเมินหมากบนกระดานอยู่ จึงไม่ได้สังเกตว่าอีกฝ่ายตื่นแล้ว

ขอทานชราคว้าข้อมือนางพลางเอ่ย “เอ๊ะ มาวางหมากข้าแล้วคิดจะหนีรึ ไม่เห็นป้ายนี้หรือไรว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร”

กู้เจียวเคยเห็นป้ายไม้เก่าๆ นี้ เขียนไว้ว่าหนึ่งตาสิบตำลึง

“อ๋อ” กู้เจียวยื่นมือออกไป

ขอทานชรามองมือเปล่าๆ ของนางก่อนจะชะงักไป “ทำอะไรน่ะ”

“จะให้เงินข้ามิใช่หรือไร” กู้เจียวชี้ที่ป้ายไม้ “สิบตำลึง”

ขอทานชราสูดหายใจลึก “เจ้าต้องเป็นคนให้ข้าสิบตำลึง!”

ไม่สิ ฟังจากเสียงแล้ว…เด็กน้อยคนนี้เป็นผู้หญิง

อ๋อ ที่แท้ก็ไม่ใช่คนแก้หมาก

กู้เจียวเข้าใจผิดแล้ว นางครุ่นคิด ก่อนเอ่ยอย่างแปลกใจ “แต่กลหมากโง่ๆ เช่นนี้คุ้มเงินสิบตำลึงรึ”

ขอทานชราแทบสำลักตาย เขาชี้ที่กระดานหมากบนพื้น “จะ จะ จะ จะเจ้าว่าอะไรนะ กลหมากโง่ๆ อย่างนั้นรึ เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า…กลหมากโง่ๆ อย่างนั้นรึ”

กู้เจียวเอ่ยอย่างใสซื่อ “สิบตำลึงเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัวชนบทที่มีสมาชิกสิบคนได้สองปีเลยนะ เจ้าเก็บเงินแพงเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องยากๆ หน่อยสิ”