ภาค 3 บทที่ 100

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 100 หรู่หนานเป็นข้อพิสูจน์
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่ว่าพูดอย่างไร พูดถึงคุณหนูจวินคนนี้บรรยากาศในห้องก็ไม่ดี นายหญิงสามหนิงยิ้มลุกขึ้นยืนแก้บรรยากาศ

“เอาละ ไปเถอะ ข้าจะไปเขียนจดหมายให้พี่ชายเจ้ากับเจ้า” นางโอบไหล่หนิงอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยขึ้น พาหนิงอวิ๋นเยี่ยนออกไป

นายหญิงสี่หนิงก็ลุกขึ้นขอตัวเช่นกัน ออกจากประตูห้องเหล่าสาวใช้หญิงรับใช้ก็รีบติดตาม

โรงน้ำชาในหยางเฉิงนักเล่านิทานเล่าทุกวันไม่ขาด หัวถนนปลายตรอกทุกที่ก็ล้วนพูดถึงเช่นกัน บรรดาหญิงรับใช้ตระกูลหนิงที่หมู่บ้านเป่ยหลิวย่อมรู้กันหมดด้วย

“ยังจะเป็นหมอเทวดา” นายหญิงสี่หนิงเบะปากเอ่ยกับหญิงรับใช้ “ไม่รู้ยังจะเปิดโรงหมอออกตรวจหรือเปล่า? ให้ทุกคนได้ทัศนาฝีมือมหัศจรรย์ของนางสักหน่อย”

เหล่าหญิงรับใช้ล้วนหัวเราะ

“นางกล้าที่ไหนเล่าเจ้าคะ” พวกนางเอ่ยขึ้น “หลบอยู่ในบ้านเป็นหญิงผู้ไม่ธรรมดาง่ายๆ ดีกว่า”

นายหญิงสี่หนิงหัวเราะฮ่าฮ่าพาคนไป

และหยางเฉิงเวลานี้ก็กำลังครึกครื้นยิ่งนัก

ความสดใหม่ของนิทานฟางเต๋อชางช่วยอดีตฮ่องเต้ผ่านไปแล้ว แต่นิทานคุณหนูจวินนายหญิงน้อยของตระกูลฟางจุดความฮือฮาระลอกใหม่ขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้ที่คุณหนูจวินมายังหยางเฉิงของพวกเราไม่ใช่เพราะไร้ที่พึ่งหมดหนทางมาพึ่งญาติ?”

“ใช่สิ บอกว่าเดิมทีจะกลับหรู่หนาน หรู่หนานมีบ้านมีกิจการแล้วยังมีชื่อเสียง ที่มาก็เพื่อรักษาอาการป่วยของนายน้อยตระกูลฟาง”

“นั่นก็คือจะบอกว่าที่ถือหนังสือหมั้นมาเอย พัวพันยุ่งเหยิงกับตระกูลหนิงเอยล้วนเป็นเรื่องหลอก?”

“หนังสือหมั้นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องหลอก”

“อะไร? คุณหนูจวินคนนั้นเพื่อรักษาอาการป่วยให้น้องชาย เพื่อช่วยตระกูลฟางชำระแค้น แม้กระทั่งสัญญาหมั้นก็ทิ้งแล้ว?”

“ใช่สิ ไม่อย่างนั้นจะบอกว่าเป็นหญิงผู้ไม่ธรรมดาเรอะ”

“ข้ารู้สึกว่านี่เหลวไหลทั้งเพ”

เพิงน้ำชาที่ประตูเมืองผู้คนพักเท้าหลบร้อนนั่งอยู่เต็ม ที่ถกกันคึกคักย่อมเป็นนิทานเรื่องใหม่ที่สุด ในเมื่อเป็นนิทานย่อมมีความเห็นต่างๆ นานา

“แต่งเรื่องก็ต้องมีขอบเขตบ้าง อย่างเช่นตอนนี้พวกเขาตระกูลฟางไม่เหมือนในอดีต อยากได้นายหญิงน้อยที่เชิดหน้าชูตาคนหนึ่งก็เข้าใจได้อยู่ แต่ตั้งฉายาอย่างอื่นสักอันก็ได้ ต่อให้บอกว่าแค่อยู่ที่นี่ทนอัปยศแบกภาระหนักหน่วงเพื่อช่วยสนับสนุนรักษาอาการป่วยนายน้อยตระกูลฟางก็ได้นี่ ใยต้องพูดว่าเป็นหมอเทวดาด้วยเล่า?” คนผู้นี้เอ่ยขึ้น พลางส่ายศีรษะ “พวกเขารู้หรือไม่หมอเทวดาหมายความว่าอะไร?”

คำวิจารณ์เช่นนี้ตั้งแต่เรื่องคนฉลาดอุบายปราดเปรื่องเล่าวันแรกก็มีแล้ว

นิทานยอดเยี่ยมพลิกผันน่าอัศจรรย์ แต่คำว่าหมอเทวดาสองคำในนั้นก็ไม่ได้ถูกผู้คนละเลย

ดังนั้นจะบอกว่านายน้อยฟางไม่ใช่เสริมมงคลจนหายดี แต่ได้คุณหนูจวินคนนี้รักษาหายดี?

ที่จริงคำพูดนี้ตอนที่ตระกูลฟางหยิบราชโองการออกมาถูกเจ้าเมืองหม่าตั้งคำถามบนถนนก็เคยพูดไปแล้ว แต่ทุกคนคิดว่านี่เป็นเพียงคำพูดขายผ้าเอาหน้ารอดของตระกูลฟางต่อทางการเท่านั้น

นายน้อยตระกูลฟางช่วงเวลาสิบปีหมอมีชื่อมากมายขนาดนั้นวินิจฉัยว่าไม่อาจรักษาอยู่ไม่พ้นอายุสิบห้า ได้คุณหนูจวินคนนี้รักษาหายดีแบบนี้?

บรรดาหมอมีชื่อเหล่านี้ในช่วงสิบปีนี้ก็เล่นละครด้วย หรือหมอมีชื่อเหล่านี้วิชาแพทย์ไม่แตกฉานกันเล่า

ล้อเล่นรึ นี่ไม่ใช่…

“ล้อเล่นไม่ล้อเล่น ไปหาคุณหนูจวินตรวจโรคดูไม่ใช่ก็รู้แล้วเรอะ…” มีคนหัวเราะเอ่ยขึ้น

คำพูดนี้ชักนำให้คนพากันกลอกตาเป็นพรืด

“ล้อเล่นน่ะ เจ้าลองไปหาดูสิ”

“นั่นเป็นถึงตระกูลฟาง ในมือมีราชโองการเชียวนะ รักษาไม่หายบอกว่ารักษาหายแล้ว เจ้าทำอย่างไรได้?”

ในเพิงน้ำชาพูดคุยกันครึกครื้น บนถนนใหญ่รถคันหนึ่งกุกกักๆ มาจากที่ไกล หยุดด้านหน้าเพิงน้ำชา

ผู้ที่คุมรถมาเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง ดวงตะวันดวงโตอยู่เหนือหัวเร่งเดินทางเหงื่อเต็มหน้าเต็มศีรษะ ตากแดดจนหน้าแดงไปหมด

“ผู้ดูแล น้ำชาสามถ้วย” เขาเอ่ยเสียงดัง

ผู้ดูแลขานรับ รินชาพลางทักทายเด็กหนุ่ม

“เข้ามานั่งสิ” เขาเอ่ยขึ้น

เด็กหนุ่มคนนั้นกลับไม่เข้ามา แต่เลิกม่านรถอย่างระมัดระวัง

“ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นอย่างไร?” เขาเอ่ยถาม

ผู้ดูแลกำลังยกน้ำชามามองเข้าไปในรถด้วยความสงสัยทีหนึ่ง ตกใจอดไม่ได้ร้องออกมา ทำให้ความครึกครื้นของเพิงน้ำชาหยุดชะงักไปด้วย ทุกคนล้วนมองข้ามมา

สีหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้นยิ่งแดงก่ำแล้ว ท่าทางกระดากอายปล่อยม่านรถลง

“ขออภัยด้วย บิดาข้าป่วยอยู่…” เขาเอ่ยขึ้นมองผู้ดูแลที่ถอยไปด้านหลัง ลังเลไม่ยื่นมือไปรับชา

ผู้จัดการได้สติกลับมาแล้ว เอ่ยขออภัยหลายครั้งส่งน้ำชาไปให้

“เป็นข้าตกอกตกใจกับเรื่องเล็กน้อยแล้ว” เขารีบเอ่ยขึ้น

เด็กหนุ่มกระหายน้ำอย่างที่สุดแล้ว ไม่ได้ปฏิเสธต่อ ส่งน้ำชาไปในรถให้บิดามารดาสองถ้วย ตนเองก็ยกถ้วยขึ้นดื่มคำใหญ่ด้วย

“เจ้าหนู ฟังสำเนียงพวกเจ้าเป็นคนเหอหนานรึ?” ผู้ดูแลอดไม่ได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย

เด็กหนุ่มยิ้มซื่อ

“ใช่ ข้าเป็นคนหรู่หนานไช่โจว” เขาบอก

หรู่หนาน?

สองคำนี้ดังออกมา ด้านในเพิงน้ำชาที่เงียบสงบเสียงเอ๋ก็ดังขึ้น

“คนหรู่หนานมาหยางเฉิงของพวกเราได้อย่างไร?” ผู้ดูเลถามออกมาก่อนแล้ว มองรถม้าทีหนึ่ง “นอกจากนี้ยังพาผู้เฒ่าล้มป่วยมาด้วย”

เขาถามประโยคนี้ออกมา เด็กหนุ่มกลับเผยสีหน้าประหลาดใจ ราวกับคำถามของเขาถึงจะทำให้คนไม่เข้าใจ

“มาหาหมอสิ” เขาว่า “จวินจิ่วหลิงคุณหนูจวินตอนนี้ไม่ได้มาบ้านท่านยายของนางที่หยางเฉิงเรอะ”

ด้านในเพิงน้ำชาเงียบไปชั่วครู่

เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ วางถ้วยชาลงส่งเงินให้

“ขอถามคุณหนูจวินพักอยู่ที่ใด?” เขาเอ่ยถาม

ไม่มีใครตอบเขา

เด็กหนุ่มมองคนเหล่านี้ก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง

“หรือพวกเจ้าไม่รู้?” เขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินชื่อดังปานนั้น”

คุณหนูจวินชื่อดังจริงๆ แต่ชื่อดังที่ทุกคนเข้าใจดูเหมือนจะไม่ใช่ความหมายเดียวกัน

ผู้ดูแลได้สติเป็นคนแรก ชี้ทางให้เขา เด็กหนุ่มคนนั้นขอบคุณเป็นการใหญ่บังคับรถเข้าเมืองไป

รอเขาจากไปแล้ว มีคนคว้าผู้ดูแลถามว่าคนในรถเป็นอย่างไร ทำไมทำเขาตกใจสะดุ้งโหยง

“บนหน้ามีฝีขนาดใหญ่เม็ดหนึ่ง” ผู้ดูแลยื่นมือวาดเทียบ ทำท่าเหมือนยังผวาอยู่บ้าง “ใหญ่ขนาดนี้”

ด้านในเพิงน้ำชาฮือฮาทันที

“จริงหรือหลอก?”

“มาจากหรู่หนาน”

“เหมือนกับที่นักเล่านิทานว่า เป็นหน้าม้าที่ตระกูลฟางจ้างมาสินะ”

“เพิ่งบอกว่าเป็นหมอเทวดา ก็มีคนมาขอรักษา บังเอิญขนาดนี้ไม่ใช่หน้าม้าคืออะไร?”

“ก็ไม่รู้ว่าตระกูลฟางจ้างมาเท่าไร? จ้างคนนี้คนเดียวย่อมไม่มีความหมายอะไร”

คำพูดถากถางของคนผู้นี้ถูกทดสอบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากนี้เองก็มีคนหรู่หนานมากมายทยอยมาถึงหยางเฉิง คนทั้งหมดถามทางล้วนเป็นประโยคเดียวกัน

ที่พักของจวินจิ่วหลิงคุณหนูจวินอยู่ที่ไหน?

นี่ทำให้ข่าวครึกโครมที่เพิ่งจุดขึ้นในหยางเฉิงหนักกว่าเดิม

“หลอกลวง? พวกข้ากินอิ่มว่างเรอะมาไกลขนาดนี้มาหลอกพวกเจ้า!” เผชิญหน้ากับการตั้งคำถามของชาวบ้าน คนหรู่หนานที่เร่งเดินทางมาทั้งเหนื่อยทั้งร้อนถามทางด้านหน้าประตูเมืองก็หงุดหงิดยิ่งนัก “คุณหนูจวินเป็นหมอเทวดามีอะไรหลอกได้กัน”

พูดจบก็ทั้งโมโหทั้งเหยียดหยันทั้งเวทนามองคนเหล่านี้

“พวกข้าเดิมยังอิจฉาพวกเจ้าเลย ที่คุณหนูจวินอยู่กับพวกเจ้าที่นี่ พวกเจ้าช่างเอาเปรียบนัก ไม่คิดเลยพวกเจ้ากลับล้วนตาบอดไม่รู้”

พูดจบก็ทำท่าดูแคลนเหมือนคนท้องถิ่นมองคนต่างถิ่น คนในเมืองมองคนบ้านนอกนิดๆ

“ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”

อะไรเรียกไม่รู้เรื่องรู้ราว? พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องสักนิดเลยต่างหากตกลงมั้ย!

คุณหนูคนหนึ่งที่ทำเป็นแต่โวยวายจะแต่งงานกับคุณชายผู้มีชื่อเสียงที่สุดของหยางเฉิงจะเป็นหมอเทวดาได้อย่างไรเล่า?

ต่อให้คนที่รอบรู้อีกเท่าใดก็ไม่มีทางนำสองอย่างนี้มาโยงกันได้หรอก

คนหยางเฉิงรู้สึกทั้งไม่ได้รับยุติธรรมทั้งโกรธแค้นเป็นเท่าตัว

“ถ้าอย่างนั้นให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตาด้วยหน่อยสิ”

คนหยางเฉิงที่ไม่ยอมรับจึงตามคนมาหาหมอซึ่งมาจากหรู่หนานเหล่านี้มาถึงตระกูลฟาง

แต่น่าเสียดายตอนนี้ใครก็เปิดหูเปิดตาไม่ได้แล้ว เพราะคุณหนูจวินไม่อยู่บ้าน

คนหรู่หนานที่เดินทางมาหาหมอเหล่านั้นล้วนได้ตระกูลฟางจัดการอย่างเหมาะสม นายน้อยตระกูลฟางมารับด้วยตนเอง ทั้งยังสัญญาว่าจะบรรรยาอาการป่วยของพวกเขาเขียนจดหมายส่งไปให้คุณหนูจวิน หากยินดีรอก็ให้อยู่ที่นี่รอคุณหนูจวินกลับมา อาหารที่พักตระกูลฟางรับผิดชอบเอง

คำสัญญานี้ทำให้คนหยางเฉิงฮือฮาอีกครั้ง

“นี่ไม่ใช่หน้าม้าคืออะไร!”

“มีคนมาหาหมอที่ไหน ถูกดูแลประหนึ่งบรรพบุรุษ!”

“ให้กินให้ดื่ม แล้วจะรักษาไม่คิดเงินแจกยาด้วยหรือไม่เล่า?”

แต่ความฮือฮาของคนหยางเฉิงต่อหน้าคนหรู่หนานที่มาหาหมอก็ถูกดูแคลนอีกครั้ง คนที่มาจากหรู่หนานล้วนสีหน้านิ่งสงบกับคำสัญญาของตระกูลฟาง ไม่ได้ตื่นเต้นจนเป็นลมไป

“นี่เกินไปนักรึ?” พวกเขามองคนหยางเฉิงที่ตื่นเต้น ท่าทางดูแคลนเหมือนมองลงมาจากข้างบน “พวกเจ้าช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ”

นี่ก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกได้อย่างไร?

เรื่องเช่นนี้หรือพวกเขาเคยเห็นมาก่อนด้วยรึ?

คนหรู่หนานได้ยินคำถามนี้ล้วนหัวเราะ

“แน่นอนเห็นมาก่อน” พวกเขาเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินกับนายน้อยฟางตอนอยู่ที่หรู่หนานก็ทำแบบนี้”

ตอนอยู่ที่หรู่หนาน

บรรดาชาวบ้านของหยางเฉิงคิดอออกแล้ว นักเล่านิทานเล่าว่าหญิงผู้ไม่ธรรมดาหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาคนเฒ่าพิการ ระหกระเหินกลับหรู่หนาน

ถ้าอย่างนั้นที่หรู่หนานก็มีเรื่องเล่าเรื่องเก่าด้วยรึ?

“แน่นอนว่ามี” บรรดาคนของหรู่หนานทำท่าย้อนความหลัง “เรื่องในอดีตที่หรู่หนานนั้นเป็นตำนานเรื่องหนึ่ง”

…………………………………….