เหล่าองครักษ์หลังจากสิ้นชีพจะมีคนนำศพเหล่านั้นส่งไปยังลานฌาปนกิจในตำหนักอาคเนย์ ศพของคนเหล่านี้มิได้ถูกฝังอย่างมีเกียรติ เพียงถูกยัดเข้าเตาเผาจนกลายเป็นขี้เถ้าเท่านั้น งานเหล่านี้มีขันทีและข้าหลวงที่ใช้แรงงานหนักเหล่านั้นเป็นผู้จัดการ ไม่มีผู้ใดสนใจ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดสังเกตว่าก่อนถูกเปลวเพลิงแผดเผามีศพหายไปร่างหนึ่ง ต่อให้มีคนสังเกตเห็นก็มิมีผู้ใดใส่ใจ
วันที่สิบสามเดือนหก ตำหนักบูรพาไฟไหม้ จากนั้นข่าวที่ว่าองค์รัชทายาทถูกกักบริเวณก็แพร่สะพัดไปทั่ว เส้าฟู่ขององค์รัชทายาทหลู่จิ้งจง องค์หญิงจิ้งเจียงหลี่หันโยว กับชายารองเซียวหลานไม่มีเวลาสนใจความบาดหมาง พวกเขารวมตัวกันเพื่อหารือมาตรการรับมือแต่กลับอับจนหนทาง องค์รัชทายาทกระทำเรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าทำอย่างไรก็มิอาจทำให้จักรพรรดิทรงคลายโทสะได้ทันที ขณะที่ทั้งสามคนกลัดกลุ้มกันอยู่ ทันใดนั้นก็มีคนหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า “เป็นอะไรกัน พบปัญหายากเข้าหรือ”
ทั้งสามคนเงยหน้ามองก็เห็นสตรีสวมชุดชาวบ้านนางหนึ่งยืนอยู่ที่ประตู แม้หน้าตาธรรมดสามัญ แต่บรรยากาศกดดันบนร่างกลับทำให้ผู้อื่นมิอาจดูแคลน เซียวหลานกับหลี่หันโยวดีใจยิ่งนัก ลุกขึ้นทักทาย “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาแล้ว”
เหวินจื่อเยียนหัวเราะ “ข้าไม่ได้มาคนเดียว ท่านอาจารย์ก็มาด้วย ท่านผู้เฒ่าบำเพ็ญตนอยู่ที่วัดชีสยา”
เซียวหลานกับหลี่หันโยวทั้งยินดีทั้งกังวล พวกนางมองเหวินจื่อเยียนอย่างหวาดหวั่น เซียวหลานรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราทำงานไม่ลุล่วง หากเจ้าสำนักกล่าวโทษ ศิษย์พี่โปรดช่วยพูดแทนพวกเราสักสองสามประโยค”
เหวินจื่อเยียนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “เอาละ อาจารย์ท่านไม่ได้โกรธ พวกเจ้าไปพบนางก่อนเถิด ไม่ว่าเรื่องใดให้อาจารย์เป็นผู้ตัดสิน พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้ หลู่เส้าฟู่ ท่านก็ไปด้วยเถิด อาจารย์บอกว่าอยากพบท่าน”
พวกหลี่หันโยวยินดียิ่งนักรี บร้อนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ควบอาชาทะยานออกจากเมือง ระหว่างทางพวกนางมิสนใจว่าจะดึงดูดสายตาของผู้คน กระทั่งมาถึงวัดแห่งหนึ่งชานเมืองตะวันออกของนครฉางอันจึงผ่อนม้า หลู่จิ้งจงมิชำนาญการขี่ม้านักจึงถูกทิ้งไว้ด้านหลัง หลี่หันโยวกับเซียวหลานมิได้สนใจเขา พวกนางทิ้งม้าไว้แล้วก้าวเข้าไปในวัดชีสยา วัดชีสยาอาณาเขตกว้างหลายหมู่แห่งนี้เป็นสมบัติของสำนักเฟิงอี้ ทุกครั้งที่เจ้าสำนักเฟิงอี้เข้าเมืองหลวงล้วนพำนักอยู่ที่นี่
ทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านในก็พบว่าแม่ชีที่ปกติคอยดูแลที่แห่งนี้ไม่อยู่แล้ว สองฟากฝั่งของทางเส้นน้อยอันร่มรื่นซึ่งมุ่งไปสู่ที่พำนักของเจ้าสำนักมีสตรีอาภรณ์สีเขียวนับไม่ถ้วนยืนรอรับคำสั่งอยู่ พวกนางล้วนพกกระบี่ยาวข้างกาย สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าประตูงดงามสลักจากไม้อู๋ถงของห้องที่เจ้าสำนักพักอยู่ก็เห็นหน้าประตูฝั่งซ้ายขวามีสตรียืนอยู่สี่นาง พวกนางล้วนสวมอาภรณ์โปร่งบางสีขาวโพลน แม้ไม่มีปิ่นหรือกำไลประดับ แต่เสื้อผ้าก็งดงามยิ่งนัก ทั้งสองรีบคำนับ แม้หน้าตาของสตรีสี่นางนี้แลดูอายุไม่เกินช่วงสามสิบปี ทว่าพวกนางล้วนอายุเกินสี่สิบปีแล้ว พวกนางเป็นคนสนิทของเจ้าสำนักเฟิงอี้ เป็นหญิงรับใช้ที่เคยกรำศึกทั่วหล้าเคียงข้างฟ่านฮุ่ยเหยาในอดีต ด้วยเหตุนี้ฐานะจึงเป็นที่เคารพยิ่งนัก
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในประตู ห้องภายในประตูไม้อู๋ถงตกแต่งอย่างงดงามประณีต บนพื้นปูพรมสีขาวพิสุทธิ์ กำแพงรอบด้านห้อยม่านสีเขียวอ่อน ม่านไข่มุกตรงกลางแบ่งห้องออกเป็นสองส่วน ด้านหลังม่านเห็นเก้าอี้พับตัวหนึ่งวางอยู่เลือนราง สตรีผู้สวมอาภรณ์สีหิมะคนหนึ่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้พับ ด้วยม่านไข่มุกกั้นกลางอยู่จึงมองไม่เห็นสีหน้าและหน้าตาของนาง
เซียวหลานกับหลี่หันโยวคุกเข่าลงหน้าม่านแล้วเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง “ศิษย์คารวะอาจารย์ พวกข้าไร้ความสามารถ ขอเจ้าสำนักโปรดลงโทษ”
สตรีนางนั้นเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้จะโทษพวกเจ้ามิได้ พวกเจ้าพยายามเต็มที่แล้ว” เสียงนั้นนุ่มนวลดุจหยกกลมเกลี้ยง แต่กลับเย็นเยียบดั่งน้ำพุหนาว แม้มองไม่เห็นหน้าตาและสีหน้า แต่เมื่อสตรีนางนี้เอ่ยปาก อำนาจเบาบางก็โอบล้อมภายในห้องอันงดงามทันใด เซียวหลานกับหลี่หันโยวมิกล้าผ่อนคลาย ทั้งสองคนส่งสายตาให้กัน จากนั้นเซียวหลานจึงเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ ล้วนเป็นเพราะศิษย์ไร้ความสามารถ องค์รัชทายาทลักลอบเล่นชู้กับฉุนผิน ศิษย์ทราบเรื่องจึงคิดหาวิธีให้รัชทายาทตัดขาดกับสตรีนางนั้น แต่รัชทายาทกลับขุ่นเคืองมิยอมฟัง แล้วยังบาดหมางกับพวกเราเพราะเรื่องนี้ ศิษย์ไร้ทางเลือกจึงได้แต่หาวิธีอื่น คิดไม่ถึงว่ากลับเกิดปัญหาขึ้นมาตอนนี้”
สตรีนางนั้นถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง “รัชทายาทมิยอมฟัง เหตุใดจึงไม่ให้จี้เสียหาวิธีสังหารฉุนผิน” น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงความรู้สึกหนาวยะเยือก เซียวหลานหวาดกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก พูดไม่ออกแล้ว หลี่หันโยวจึงรีบเอ่ยว่า “เรื่องนี้เริ่มวางแผนไว้แล้ว แต่พวกเราคาดไม่ถึงว่ารัชทายาทจะลอบไปพบฉุนผินระหว่างการถือศีล เดิมทีคิดว่ารอหลังพิธีบวงสรวงค่อยลงมือ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเรียบเฉย “ช่างเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สืบสาวราวเรื่องไปก็ไร้ความหมาย หันโยวรู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไร”
หลี่หันโยวเดินเข่าเข้าไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างเคารพ “จักรพรรดิพระราชทานความตายให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ฉุนผินผูกคอตาย รัชทายาทถูกกักอยู่ในตำหนัก จักรพรรดิยังมิได้ลงโทษขั้นต่อไป อีกเรื่องหนึ่ง วันนี้ฝ่าบาทเรียกพบอัครมหาเสนาบดีเหวยกวน ซื่อจงเจิ้งเสีย แม่ทัพใหญ่ฝู่หยวนฉินอี๋ เว่ยกั๋วกงเฉิงซูเข้าวังเพื่อหารือ น่ากลัวว่าภายในวันนี้คงประกาศบทลงโทษ ศิษย์ฝากราชบุตรเขยขอร้องพ่อสามีให้ขอความเมตตาแทนรัชทายาท แต่จากที่ราชบุตรเขยบอก พ่อสามีแบ่งรับแบ่งสู้”
สตรีนางนั้นถอนหายใจ “เรื่องนี้ไม่ธรรมดา ไม่ว่าผู้ใดขอร้อง จักรพรรดิมิมีทางคลายพิโรธ สิ่งเดียวที่ควรทำในตอนนี้คือต้องรักษาตำแหน่งรัชทายาทไว้ให้ได้จึงจะมีโอกาสกู้สถานการณ์ มิเช่นนั้นยงอ๋องคงสมประสงค์ทั้งที่ไม่ได้ทำอันใด เมื่อครู่ข้าถ่ายทอดคำสั่งใช้กำลังทั้งหมดสยบฝ่ายที่หมายมาดจะปลดตำแหน่งรัชทายาทแล้ว แต่ยงอ๋องฝั่งนั้น ข้าต้องออกแรงเองจึงจะสำเร็จ”
หลี่หันโยวเอ่ยอย่างฉงน “เจ้าสำนัก ยงอ๋องจ้องตำแหน่งรัชทายาทตาเป็นมันมาไม่ใช่เพียงหนึ่งวัน เขาจะยอมอดกลั้นในเวลาเช่นนี้ได้เช่นไร”
สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างเฉยเมย “หากเป็นยามปกติ เขาย่อมมิยอม แต่ครั้งนี้เขาจำต้องยอม เรื่องกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วคือแผลฉกรรจ์แผลใหญ่ที่สุดของเขา”
หลี่หันโยวตกตะลึง “เจ้าสำนัก เรื่องกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วเกี่ยวข้องอันใดกับยงอ๋องหรือ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็นชา “หันโยว เจ้ายังเยาว์วัยเกินไป ข้าถามเจ้า เรื่องรัชทายาทกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วสมคบกันลักลอบค้าของเถื่อนปิดบังหูตาของยงอ๋องได้จริงหรือ ใต้หล้าของต้ายงแห่งนี้อำนาจทางการทหารครึ่งหนึ่งอยู่ในกำมือของยงอ๋อง หากมิใช่เขาจงใจปล่อย รัชทายาทไฉนเลยจะทำสำเร็จดังหวังได้”
หลี่หันโยวเอ่ยว่า “แต่ยามนั้นเจียงเจ๋อบาดเจ็บหนัก ยงอ๋องกลัดกลุ้มกับเรื่องนี้ดังไฟลน ไหนเลยจะมีกำลังสนใจเรื่องเหล่านี้”
สตรีนางนั้นหัวเราะ “หันโยว เจ้าน่าจะรู้จักหลักการที่ว่า ‘จิตใจคับแคบมิอาจเป็นวิญญูชน ไร้พิษสงมิอาจเป็นมหาบุรุษ’ หากยงอ๋องลืมเลือนใต้หล้าเพียงเพื่อเจียงเจ๋อคนเดียวจริง ถ้าเช่นนั้นเขาก็มิคู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของข้าแล้ว อีกประการ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแต่เดิมเป็นกบฏที่ผู้คนหนานฉู่โกรธแค้น จะมีความสามารถทำการค้ากับหนานฉู่ได้เช่นไร หอกลไกสวรรค์แห่งนั้นแม้ลึกลับยากหยั่ง แต่เป็นกลุ่มอำนาจของหนานฉู่ไม่ผิดแน่ หากมิใช่เพราะยงอ๋อง ผู้ใดจะทำให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วซึ่งเดิมทีได้รับการสนับสนุนจากกองทัพต้ายงกับกลุ่มอำนาจจากหนานฉู่สมานฉันท์กันได้ ข้าคิดว่าหอกลไกสวรรค์แห่งนั้นต่อให้มิได้อยู่ใต้บัญชาของยงอ๋องก็ต้องมีความเกี่ยวข้องใหญ่หลวงกับยงอ๋อง แม้เจียงเจ๋อผู้นั้นยามอยู่หนานฉู่ฐานะไม่สูง แต่คนผู้นี้ใช้กลอุบายล้ำเลิศมิอาจคาดเดา เริ่มแรกข้าให้เจ้าลอบสังหารคนผู้นี้ก็เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวก้าวสุดท้าย”
หลี่หันโยวถามอย่างระมัดระวัง “หากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วถูกยงอ๋องบงการ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าสำนักจึงไล่ล่าฮั่วจี้เฉิงไปทั่ว”
สตรีนางนั้นถอนหายใจแล้วตอบว่า “หากต้องการไล่ล่าฮั่วจี้เฉิงจริง มิสู้ไปเฝ้าจวนยงอ๋องจะได้ผลกว่า หันโยว เจ้าคงรู้ว่าหลายปีนี้ยุทธภพมีคนมากมายไม่ยินดีก้มหัวให้อำนาจของสำนักเฟิงอี้ แต่สำนักเฟิงอี้ของเรายังเป็นผู้นำฝ่ายธรรมะอยู่จึงมิอาจปราบตามใจ หากไม่มีข้ออ้างนี้ ข้าจะหาโอกาส…กวาดล้างพรรคและสำนักที่ทะเยอทะยานเหล่านั้นได้เช่นไร พวกเขาต้องการให้ฮั่วจี้เฉิงก่อความโกลาหลข้างนอกทำลายชื่อเสียงของรัชทายาท แต่ข้ากลับฉวยโอกาสนี้กวาดล้างผู้ที่ขัดแย้งกับเรา แล้วอีกอย่าง ชื่อเสียงของรัชทายาทไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา ชื่อเสียงของเขาแย่ลงก็ยิ่งขาดการสนับสนุนของพวกเราไม่ได้ แต่ครั้งนี้รัชทายาททำเกินไปจนเป็นจุดอ่อนให้คนเล่นงาน หากพวกเราไม่ลงมือ น่ากลัวว่าตำแหน่งรัชทายาทของเขาคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
หลี่หันโยวดวงตาวาววับเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก มิสู้พวกเราฉวยโอกาสนี้เจรจากับยงอ๋อง หากเขายอมเชื่อฟังโดยดี พวกเราก็ปล่อยให้เขาขึ้นครองบัลลังก์ จะได้มิต้องคอยผลักดันคนไร้ความสามารถที่เข็นไม่ขึ้นผู้นี้”
สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เหลวไหล หากยงอ๋องยอมเชื่อฟังเช่นนั้น ตอนแรกข้าไยต้องเลือกรัชทายาทเป็นหุ่น”
หลี่หันโยวหวาดกลัวจนหมอบกราบกับพื้นมิกล้าส่งเสียง
ผ่านไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบของสตรีนางนั้นก็เอ่ยขึ้นอีก “เอาละ หลานเอ๋อร์ เจ้ากลับไปปลอบพระชายากับผู้คนทั้งบนล่างก่อน บอกว่าข้าต้องรักษาตำแหน่งรัชทายาทไว้ได้แน่”
เซียวหลานสีหน้าลังเลแต่มิกล้าถามมาก นางคำนับอีกครั้งแล้วตอบว่า “ศิษย์รับบัญชา” จากนั้นถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เสียงเฉยเมยของสตรีนางนั้นก็เอ่ยขึ้นต่อ “เอาเถอะ หันโยวสิ่งที่เจ้าพูดก็มิใช่ไร้เหตุผล รัชทายาทขาดคุณธรรมเช่นนี้ พวกเราสนับสนุนเขาย่อมกลายเป็นจุดอ่อนให้คนฉกฉวย รอข้าพบยงอ๋องแล้วค่อยว่ากันเถิด แต่เจ้ายังออกไปพูดเหลวไหลมิได้ เรื่องนี้สำคัญยิ่งยวด มิอาจแพร่ออกไป”
ตอนนี้หลี่หันโยวจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกแล้วตอบว่า “ศิษย์บุ่มบ่าม ขอเจ้าสำนักโปรดอภัยด้วย”
สตรีนางนั้นถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “หันโยว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเซี่ยจินอี้ที่ล่อลวงรัชทายาทผู้นั้นคือใคร”
หลี่หันโยวเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ศิษย์รู้เพียงว่าเขาเป็นศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากสำนักคงต้ง เป็นคนเสเพลไม่มีหน้าที่การงานคนหนึ่ง เหตุใดเจ้าสำนักจึงถามถึงเล่า เขามิได้ตายไปแล้วหรือ”
สตรีนางนั้นเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “แม้เขาตายไปแล้ว แต่มีเรื่องหนึ่งยังต้องบอกให้เจ้ารู้ไว้ ชื่อเดิมของเขาคือเซี่ยเฉวียน”
หลี่หันโยวพึมพำทวนชื่อนี้ซ้ำไปมา แววตางุนงงแปรเปลี่ยนเป็นหวาดผวา นางหน้าซีดดุจขี้เถ้าเอ่ยขึ้นว่า “อาจารย์ เหตุใดเขาจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ท่านมิได้รับปากศิษย์ว่าจะไม่เหลือไว้เป็นเภทภัยภายหลังหรือ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้ากำลังตำหนิข้าหรือ”
หลี่หันโยวพลันได้สติรีบทรุดลงคำนับเอ่ยว่า “ศิษย์มิกล้า เพียงร้อนใจชั่วขณะเท่านั้น ขอเจ้าสำนักโปรดอภัยด้วย”
ตอนต่อไป