ตอนที่ 251 ความหวังดีของเขา
หนานหนานถึงกับชะงัก กวาดสายตาสำรวจอีกฝ่ายด้วยความสงสัย พลางเอ่ยถาม “ประลองอะไร?”
เย่ซิวตู๋หรี่ตาทว่ากลับไม่ได้กล่าวอะไร สีหน้าของฮ่องเต้อึมครึมลง คาดว่าคงรู้ว่าองค์ชายสามมีเจตนาไม่ดี ตอนที่พระองค์กำลังจะตรัสแทรกเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อจากนั้น
ทว่าองค์ชายสามกลับตาไว้มือไว รีบแย่งพูดออกมาก่อนที่ฮ่องเต้จะเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีพื้นฐานวรยุทธ์ ครั้งก่อนก็เคยเผยฝีมือภายในลาน ในเมื่อเจ้าไม่มีความสามารถในการเล่นฉิน หมากรุก การเขียนพู่กัน วาดภาพ บทกวีและเพลงเหล่านั้น เช่นนั้นก็มาทางบู๊สิ ว่าอย่างไร?”
“บู๊?” หนานหนานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเมื่อเทียบกับการอ่านตำราและเขียนอักษรแล้ว เขาเก่งด้านวรยุทธ์มากกว่าจริง ๆ ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของเขาก็ยอดเยี่ยมมาก
ครั้นคิดถึงจุดนี้ หนานหนานก็รีบพยักหน้าพร้อมยิ้ม “ตกลง เช่นนั้นมาทางบู๊ก็ได้”
“หนานหนาน!!!” ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว กระแอมไอเบา ๆ หนึ่งเสียง “หมัดและเท้าไม่มีตา เป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับบาดเจ็บ”
“ไม่หรอก ๆ” หนานหนานมีความมั่นใจอย่างมาก “วรยุทธ์ของข้ายอดเยี่ยมมาก ทำอะไรข้าไม่ได้อยู่แล้ว”
เด็กคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน? การแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักรนับตั้งแต่อดีต การแข่งขันด้านวรยุทธ์อะไรทำนองนี้ไม่เคยมีเด็กอายุห้าขวบเข้าร่วมมาก่อน มากที่สุดก็คืออายุแปดขวบถึงสิบขวบที่เป็นผู้เข้าแข่งขันลงสนามที่ได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงเวลานั้นหากเกิดภัยร้ายขึ้นกับหนานหนานจริง ๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาคงรุนแรง
ทว่าหนานหนานกลับมีความมั่นใจในตนเองอย่างมาก ไม่รอให้ฮ่องเต้ได้เอ่ยอะไร เขาก็พูดคำไหนคำนั้นกับองค์ชายสาม “ตกลง เช่นนั้นบู๊ก็ได้ ถึงเวลานั้นข้าจะกลับมาพร้อมกับอันดับหนึ่ง เพื่อความรุ่งโรจน์ของอาณาจักร”
“ช้าก่อน” องค์ชายสามแย้มยิ้ม ทว่ากลับยังไม่ยอมวางมือยุติเรื่องราว “เราคิดว่าเจ้าคงไม่ค่อยเหมาะกับการยิงธนู เจ้าตัวเล็กเกรงว่าคงถือไม่ไหวแม้แต่คันธนู ข้าว่าเจ้าเข้าร่วมการต่อสู้ไปเลยเถอะ”
“เย่ฮ่าวคัง!!!” ฮ่องเต้ถึงกับตวัดสายตามององค์ชายสาม น้ำเสียงมืดหม่นและเฉียบขาด
องค์ชายสามถึงกับใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รีบคุกเข่าลงบนพื้น ก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรอีก
ฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “เจ้าช่างมีความสามารถมากจริง ๆ เรายังอยู่ที่นี่ เจ้ามีอำนาจที่จะตัดสินสิทธิ์ในการแข่งขันสี่อาณาจักรใหญ่รึ?”
“เสด็จพ่อ…ลูก…ลูกมิกล้า” ดวงตาขององค์ชายสามกลอกไปรอบ ๆ รีบแก้ตัวแทนตนเอง “เสด็จพ่อ ลูกรู้ดีว่าเมื่อครู่เด็กคนนี้กระทำความผิดทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคือง แต่ถึงอย่างไรเด็กคนนี้ก็ยังเป็นเด็ก ลูกทนไม่ได้จริง ๆ หากเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลานเฉิงต้องถูกลงโทษด้วยการตัดหัว เสด็จพ่อไว้ชีวิตเขาสักครั้งเถิด ให้เขาทำความดีหักล้างความผิดด้วยการนำที่หนึ่งกลับมาให้อาณาจักรเฟิงชางของเราในการแข่งขันใหญ่สี่อาณาจักรยังจะดีเสียกว่า เช่นนี้ก็เท่ากับว่ามีผู้มีความสามารถของอาณาจักรเฟิงชางเพิ่มมาหนึ่งคน แต่เด็กคนนี้ไม่มีความสามารถในการเล่นขิม หมากรุก เขียนพู่กันและวาดรูปเลย ลูกเองก็รู้สึกร้อนใจ ยังดีที่เขามีวรยุทธ์ และเป็นเรื่องที่เขาถนัดด้วย การเข้าร่วมการต่อสู้จึงเหมาะสมที่สุดแล้ว”
ฮ่องเต้ยิ้มเยาะ “เจ้านี่ช่างมีเมตตาจริง ๆ”
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะฆ่าหนานหนานให้ตาย ท้ายที่สุดเขากลับพูดให้ตนเองเป็นวีรบุรุษ ทำตัวเสียมารยาทก็เป็นเพราะต้องการปกป้องชีวิตของหนานหนาน
ฮ่องเต้สูดหายใจเข้าลึก ๆ หันมองเย่ซิวตู๋ ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังหรี่ตาลงแต่กลับไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด จึงถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เอ่ยปากพูดเพื่อปกป้องลูกชายของตนเอง สิ่งนี้จึงทำให้พระองค์รู้สึกไม่มีความสุข
ทว่าหนานหนานก็ยังเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ
“ฮ่องเต้ ข้าจะเข้าร่วมการต่อสู้ก็แล้วกัน ท่านอย่าได้เป็นกังวล ข้านำที่หนึ่งกลับมาได้แน่นอน”
“หนานหนาน ศิลปะการต่อสู้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด” เย่ฮ่าวหรานเอ่ยปากโน้มน้าวหนึ่งประโยค เขารู้สึกกังวลว่าเด็กคนนี้จะต้อนตนเองให้จนมุมจริง ๆ
แม้แต่เย่หลานเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็กระตุกชายเสื้อของหนานหนานเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไร
องค์ชายสามที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกลับแอบยิ้มออกมา ทั้งยังส่งสายตาไปยังองค์ชายสี่ องค์ชายสี่จึงคุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้ กล่าวเสียงสูงว่า “เสด็จพ่อผู้มีความเมตตา เสด็จพ่อโปรดให้โอกาสเด็กคนนี้ได้สร้างคุณงามความดีเพื่อชดเชยความผิด ให้เขาได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย”
เหมียวเชียนชิวเห็นการกระทำขององค์ชายทั้งสองเช่นนี้ ภายในใจก็เกิดความกังวลอย่างมาก
ในเวลานี้ ด้านหลังก็มีขันทีคนหนึ่งส่งสัญญาณมือมาหาเขา
เหมียวกงกงรู้สึกดีใจ รีบพูดแทรกขึ้นว่า “ฮ่องเต้ องค์ชายเจ็ดฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หืม? เจ้าเจ็ดฟื้นแล้วรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ หลายวันมานี้ฮ่องเต้เป็นห่วงเกี่ยวกับอาการขององค์ชายเจ็ด ทำให้เป็นกังวลจนบรรทมได้ยาก ตอนนี้องค์ชายเจ็ดฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ก็ควรจะวางพระทัยได้แล้ว”
องค์ชายสามและองค์ชายเจ็ดหันสบตากัน ภายในใจแอบรู้สึกขุ่นเคือง เสด็จพ่อยังไม่ตอบรับให้เด็กคนนั้นไปเข้าร่วมการต่อสู้เลย
ทั้งคู่อ้าปากทำท่าจะเอ่ยปากพูด จู่ ๆ เย่ซิวตู๋ที่เงียบขรึมมาโดยตลอดกลับลุกขึ้นยืน “เสด็จพ่อ ลูกรู้สึกคิดถึงน้องเจ็ด ตอนนี้น้องเจ็ดฟื้นแล้ว ลูกอยากไปเยี่ยมเขาที่ตำหนักอี๋ซิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินเสียงของเขา ก็แอบรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก พยักหน้าและลุกขึ้นยืน ตรัสว่า “เราเองก็อยากไปดูเจ้าเจ็ดเช่นกัน เหมียวกงกง เคลื่อนขบวน”
“พ่ะย่ะค่ะ” เหมียวกงกงขานตอบหนึ่งเสียง ก่อนจะรีบออกไปสั่งให้ขันทีและนางข้าหลวงเตรียมตัว
เพียงแต่ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด องค์ชายสามและองค์ชายสี่ก็เกิดความรีบร้อนทันใด “เสด็จพ่อ เกี่ยวกับเด็กคนนี้…”
“เรื่องนี้ค่อยว่ากันภายหลัง หลานเฉิง พวกเจ้ากลับจวนไปก่อน กลับไปก็ปิดประตูตรึกตรองดูให้ดี หากยังกล้าออกไปเพ่นพ่านข้างนอก ก็คงไม่มีใครช่วยพวกเจ้าได้” ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น สายตาเย็นชากวาดมององค์ชายสามและองค์ชายสี่ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อสาวเท้าออกจากห้องตำราหลวง
หนานหนานอยากตามไปด้วย แต่กลับถูกเย่หลานเฉิงยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ ครั้นเห็นสายตาตักเตือนที่ท่านพ่อมองมา เขาจึงยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยท่าทางหดหู่ทันใด
รัชทายาทถลึงตาใส่เย่หลานเฉิงทีหนึ่ง “ทำตัวให้สงบหน่อย” ครั้นกล่าวจบก็รีบสาวเท้าเดินตามไป “เสด็จพ่อ ลูกเองก็คิดถึงน้องเจ็ดเช่นกัน ขอลูกไปเยี่ยมเยียนด้วยคนนะพ่ะย่ะค่ะ…”
หนานหนานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะถูกเย่หลานเฉิงลากออกไปอย่างไม่เต็มใจ
องค์ชายสามและองค์ชายสี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูแย่อย่างมาก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นยืน จ้องมองไปยังทิศทางที่หนานหนานเดินออกไปด้วยสายตามืดหม่นและโหดร้าย
เพียงแต่ตอนที่หันกลับมาก็พบว่ารัชทายาทและคนอื่น ๆ ตามฮ่องเต้ไปที่ตำหนักอี๋ซิ่งแล้ว ทั้งคู่ไม่อยากถูกคนอื่นมองว่าเป็นองค์ชายที่แล้งน้ำใจต่อพี่น้องตนเองในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ จึงชะงักไปครู่หนึ่งและรีบเดินตามออกไป
ด้วยเหตุนี้ จนกระทั่งเกี้ยวขององค์ชายหยุดลงที่ตำหนักอี๋ซิ่ง นอกจากเย่ซิวตู๋ที่ตามหลังออกมาตั้งแต่แรก ก็ยังมีเหล่าองค์ชายจำนวนไม่น้อย
อวี้ชิงลั่วเห็นเช่นนี้ก็ถึงกับตกตะลึง มุมปากที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้าถึงกับกระตุกวูบอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะเดินออกมาต้อนรับพร้อมกับเหมิงกุ้ยเฟย
โชคดีที่องค์ชายเจ็ดฟื้นขึ้นมาแล้ว มิเช่นนั้นนางคงหมดความอดทนที่จะอยู่รำไทเก๊กเป็นเพื่อนเหมิงกุ้ยเฟยจริง ๆ
ฮ่องเต้ประคองเหมิงกุ้ยเฟยด้วยรอยยิ้ม ครั้นเห็นนางจึงเลิกคิ้วเล็กน้อยและตรัสถามว่า “นี่คือแม่นางชิง หมอปีศาจท่านนั้นที่ซิวเอ๋อร์พามาถอนพิษให้ฮ่าวถิงใช่หรือไม่?”
“เพคะ” อวี้ชิงลั่วก้มศีรษะลงเล็กน้อย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ครั้นองค์ชายสามที่เดิมทีกำลังโกรธได้ยินว่านางคือคนที่เย่ซิวตู๋พามา ก็รีบสร้างปัญหาขึ้นทันใด “สามหาว เข้าพบฮ่องเต้แต่ยังปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุม นี่มันอะไรกัน?”
…………………………
สารจากผู้แปล
อี้ชิงลั่วถอนพิษให้องค์ชายเจ็ดได้แล้วเหรอ ไม่น่าเลยจริง ๆ
ไหหม่า(海馬)