ตอนที่ 456 ความเสียใจของเฉินเฟิง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 456 ความเสียใจของเฉินเฟิง

เฉินเฟิงสะอึกเล็กน้อยกับคำถามของหลินม่าย “พูดเรื่องไร้สาระอะไรของเธอน่ะ แม่บังเกิดเกล้าของฉันยังมีชีวิตอยู่ ผู้หญิงในรูปที่เธอเห็นตอนนั้นเป็นแม่บุญธรรมของฉันต่างหาก ในความหมายเดียวกันนี้ ก็อาจรวมถึงเธอด้วยเหมือนกัน”

หลินม่ายได้ยินว่าตัวเองโดนลากเข้ามาพาดพิง ก็เตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าพาดพิงถึงฉันสิ ฉันไม่ชอบ เดี๋ยวศาสตราจารย์ก็ได้หมายหัวฉันอีกรอบหรอก”

พอได้ยินเธอพูดแบบนั้น เฉินเฟิงก็รู้สึกหน้าชาไปเล็กน้อย แต่ก็ระมัดระวังคำพูดมากขึ้น

เขายิ้มบาง ๆ พลางอธิบาย “ฉันผิดเอง วันหลังจะไม่พูดอะไรแบบนั้นอีก”

หลินม่ายไม่ถือสาเอาความอะไร

พอนึกถึงคำพูดที่เฉินเฟิงบอกว่าจะกลับไปสืบทอดธุรกิจของครอบครัวพ่อเลี้ยงในอนาคต หลินม่ายก็อดนึกถึงหญิงวัยกลางคนที่สวมเครื่องประดับอัญมณีซึ่งเธอเคยเห็นมาแล้วสองครั้งไม่ได้

จึงถามขึ้น “คุณป้าคนสวยคนเมื่อกี้ที่เพิ่งจะออกมาจากห้องของนายคงเป็นแม่แท้ ๆ ของนายสินะ?”

เฉินเฟิงพยักหน้า กลิ้งแก้วเปล่าในมือเล่นไปมาพลางพูดว่า “หล่อนเป็นแค่แม่ทางพฤตินัยของฉัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันแต่อย่างใด”

ทันทีที่หลินม่ายได้ยินแบบนั้น เธอก็เข้าใจทันทีว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่คงไม่ค่อยดีสักเท่าไร

เธอรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เธอไม่น่าเผลอไปสะกิดปมในอดีตอันเจ็บปวดของเขาเลย

เธอเกาคิ้วตัวเองด้วยความลำบากใจ “ฉัน… ฉันไม่ได้ตั้งใจจะถามนายเรื่องนั้น”

เฉินเฟิงเงยหน้ามองเธอ “คิดว่าฉันยังเสียใจกับมันอยู่หรือไง? ฉันอายุยี่สิบหกแล้วนะ ไม่ใช่สิบหก ถ้าตอนนี้ฉันยังเป็นวัยรุ่นอยู่ แล้วแม่แท้ ๆ ที่ทอดทิ้งฉันไปตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แวะเวียนมาหาถึงหน้าประตูบ้าน แล้วพยายามยัดเยียดตัวเองให้ฉันรู้จัก ฉันคงทั้งโกรธทั้งเสียใจมากแน่ ๆ ต่อให้ตายไปก็ไม่มีวันจดจำไว้ในสมอง แต่ฉันอายุเกือบสามสิบแล้ว ความคับข้องใจในอดีตไม่มีผลกับฉันอีกต่อไป ในหัวมีแค่ผลกำไรเท่านั้น โลกของผู้ใหญ่เลวร้ายกว่านั้นมาก ใครจะมัวมานั่งสนใจแต่เรื่องในอดีต ไม่งั้นฉันคงไม่ต้อนรับผู้หญิงคนนั้นและยอมรับทรัพย์สินมหาศาลของสามีหล่อนหรอก”

เขาพูดประโยคทั้งหมดออกมาด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ ทั้ง ๆ ที่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น

ความจริงต่อให้เขาจะโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหน เขาก็ยังมีความเกลียดชังแม่ของตัวเองอยู่ลึก ๆ ไม่แปรเปลี่ยน

ถึงอย่างไรเขาก็ถูกทอดทิ้งมานานกว่ายี่สิบปี

ยี่สิบปีไม่ใช่เวลาน้อย ๆ เลย แทบจะเป็นครึ่งชีวิตของคนคนหนึ่งอยู่แล้ว

ถ้าเมื่อก่อนแม่ไม่ทอดทิ้งเขา ต่อให้เขาต้องกินแต่ผักหรือแม้แต่กินแกลบเพื่อประทังชีพ ชีวิตในวัยเด็กของเขาคงต่างออกไป

เด็กชายตัวเล็ก ๆ ถูกเพื่อนล้อว่าไม่มีแม่ ทุกครั้งที่เขาแสดงท่าทางไม่พอใจก็มักจะถูกรังแกอยู่บ่อย ๆ

เพราะเหตุนี้คุณป้าของเขาจึงยอมให้เขาเรียกตัวเองว่าแม่แทน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขาที่ต้องถูกเด็กคนอื่นเยาะเย้ยถากถาง และรุมกลั่นแกล้งอย่างไร้เหตุผลได้

ภาพจำที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเด็กกลุ่มนั้นยังตามหลอกหลอนเขาอยู่เสมอเหมือนงูพิษ

บางครั้งช่วงกลางดึก เขายังคงฝันว่าตัวเองถูกคนรอบข้างเยาะเย้ยและรุมทุบตี ทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นจากการหลับใหลโดยที่เหงื่อท่วมตัว

อดีตอันเลวร้ายในวัยเด็กตามติดเขาเป็นเงา ต่อให้ต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต ก็ใช่ว่าจะลบเลือนจนหายขาดได้

หลินม่ายจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่าไปทางเฉินเฟิง ไม่รู้ว่าควรปลอบโยนเขายังไงดี ดูเหมือนไม่มีคำพูดไหนในโลกที่สามารถเยียวยาเขาได้

เฉินเฟิงส่งยิ้มให้ “อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันยังโอเค”

หลินม่ายพยักหน้า ลุกขึ้นเตรียมตัวจะจากไป

แทนที่จะนั่งอยู่ตรงนี้แล้วสร้างความสบายใจให้กับทั้งสองฝ่าย สู้ปล่อยให้เฉินเฟิงเลียแผลใจตามลำพังยังดีกว่า

เฉินเฟิงเป็นหมาป่า แต่เป็นหมาป่าเดียวดาย เขาคงไม่อยากให้ใครมองเห็นบาดแผลในหัวใจของตัวเอง

หลังหลินม่ายจากไปแล้ว เฉินเฟิงก็จ้องมองไปที่ลูกอมและบิสกิตบนโต๊ะด้วยสายตาเลื่อนลอย

หลินม่ายส่งลูกอมกับบิสกิตพวกนี้มาให้เขาตั้งแต่เมื่อวาน

เขาไม่ชอบขนมหวานหรือเบเกอรี่แบบตะวันตก เขาชอบกินของว่างสไตล์จีน ๆ มากกว่า

เขาไม่ชอบก็จริง แต่เหลียนเฉียวชอบ

ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าจะส่งพวกมันไปให้หล่อน แต่ก็กลัวว่าคนบ้าอย่างหล่อนจะคิดว่าเขาให้ความสนใจอีก

หลังจากคิดให้ดี ๆ แล้ว เขาจึงคิดว่าไม่ส่งให้เสียเลยดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความคลุมเครือที่อาจเกิดขึ้น

หลินม่ายออกมาจากห้องทำงานของเฉินเฟิงแล้ว ก็ขี่จักรยานไปที่ร้านเปาห่าวซือต่อทันที

เจิ้งซวี่ตงเพิ่งเคลียร์งานที่ตัวเองรับผิดชอบในฐานะผู้จัดการร้านเสร็จ และกำลังจะออกจากร้านเพื่อไปตรวจสอบร้านที่กำลังปรับปรุงใหม่

พอเห็นว่าหลินม่ายแวะมา ก็รู้ทันทีว่าเธอมาที่นี่เพื่อตามเรื่องขนมไหว้พระจันทร์

เขารีบเข้าไปเรียกพ่อครัวสองคนที่มีฝีมือการทำขนมไหว้พระจันทร์ดีที่สุดในร้าน แนะนำให้พวกเขารู้จักกับหลินม่าย แล้วขอตัวไปทำงานต่อ

ถึงหลินม่ายจะยังอายุน้อย แต่รัศมีความเป็นเจ้าคนนายคนของเธอก็เด่นชัดมาก พ่อครัวทำขนมไหว้พระจันทร์ทั้งสองคนที่มีอายุสามสิบและสี่สิบปีตามลำดับจึงไม่ดูหมิ่นเธอ เดินตามขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นบนด้วยความหวาดระแวง

พอพ่อครัวทั้งสองได้ยินว่าหลินม่ายต้องการให้พวกเขาทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้ พวกเขาก็รีบหันมองหน้ากันทันที

พ่อครัวคนหนึ่งยิ้มพร้อมกับพูดว่า “แต่พวกเรา… ไม่รู้วิธีทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้นะครับ”

หลินม่าย “ไม่ยากเลยค่ะ แค่ตีฟักเขียวให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็ผสมน้ำตาลและผลไม้ต่าง ๆ ที่รสหวานทานง่าย ขั้นตอนง่ายกว่าการทำขนมไหว้พระจันทร์แบบดั้งเดิมซะอีก”

ถึงชาติที่แล้วหลินม่ายจะไม่เคยทำขนมไหว้พระจันทร์ด้วยตัวเองมาก่อน แต่ก็พอจะรู้กรรมวิธีอยู่บ้าง

พ่อครัวทั้งสองชำนาญด้านนี้ดีอยู่แล้ว หลังจากปรึกษาหารือกับหลินม่ายเสร็จ พวกเขาก็วางแผนว่าจะทำขนมไหว้พระจันทร์ออกมาทั้งหมดหกรสชาติ อย่างเช่น รสสตรอเบอร์รี่ รสสับปะรด และรสลิ้นจี่

ถึงแม้ว่ายุคสมัยนี้ประเทศจีนจะยังล้าหลังมาก แต่ก็ยังพอหาซื้อผลไม้รสหวานพวกนี้ได้ เพราะนิยมนำมาทำลูกอมรสผลไม้ทั่วไป

เนื่องจากวัตถุดิบในการทำขนมไหว้พระจันทร์ไม่ได้หาซื้อยากมากนัก หลินม่ายจึงไม่มีความกังวลเกี่ยวกับมัน

เธอขี่จักรยานไปดูบ้านทุกหลังของชุมชนในเมืองซึ่งเจิ้งซวี่ตงจัดการซื้อไว้ พบว่าแต่ละหลังล้วนมีคุณภาพคุ้มกับเงินที่เสียไป

หลินม่ายวางแผนว่าจะโอนโฉนดที่ดินของบ้านเหล่านี้ให้กับเฉินเฟิง ตอนที่ประชุมกับส่วนกลางในเช้าวันจันทร์

จากนั้นก็ให้เขาส่งคนไปติดต่อกับเจ้าของหมู่บ้าน จัดการทุบบ้านทิ้งซะ แล้วสร้างใหม่เป็นอาคารห้าชั้น

หลังจากเทียวไปเทียวมารอบ ๆ ไม่นานก็เป็นเวลาเที่ยงตรงไปดี คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ กำลังรอให้หลินม่ายแวะมากินอาหารมื้อกลางวัน

หลินม่ายรู้สึกผิดมาก กำชับพวกเขาว่าต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องรอเธออีก ถ้าถึงเวลาแล้วเธอยังมาไม่ถึง ให้กินข้าวกันไปก่อนได้เลย

คุณปู่ฟางพูดอย่างใจดี “คนในบ้านมีกันอยู่ไม่กี่คน เวลาปกติก็เงียบเหงาจะแย่ ถ้าไม่รอเธอกลับมากินข้าวด้วยกัน บ้านนี้คงยิ่งเงียบเหงาเข้าไปอีก”

คุณย่าฟางยิ้มพร้อมพูดเสริม “รอให้เธอกับจั๋วหรานแต่งงานกันแล้วมีลูกหลาย ๆ คนก่อนเถอะ บ้านเราคงมีชีวิตชีวามากกว่านี้”

จากนั้นคุณปู่ฟางก็หันไปพยักหน้าแรง ๆ ให้กับฟางจั๋วหราน ทำให้หลินม่ายเขินอายจนตัวบิด

กลุ่มคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน

คุณย่าฟางพูดว่า “ก่อนเธอจะกลับมา แม่ของจั๋วเยวี่ยมาที่นี่ด้วยแหละ”

คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางไม่ค่อยชอบหน้าหวังเหวินฟางเท่าไหร่นัก เพราะมองออกว่าเนื้อแท้ของหล่อนไม่ใช่คนดี จึงไม่เคยเรียกหล่อนว่าลูกสะใภ้ มักจะเรียกว่าแม่ของจั๋วเยวี่ย

ฟางจั๋วหรานกำลังตักซุปสาหร่ายซี่โครงหมูให้หลินม่าย พอได้ยินแบบนั้น ก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หล่อนมาที่นี่ทำไมครับ? มาสร้างปัญหาให้กับคุณปู่คุณย่าหรือเจตนามารบกวนกัน? ปล่อยให้อาหวงไปกัดหล่อนยังได้!”

คุณปู่ฟางหันมองเขา “คนอย่างหล่อนหรือจะกล้าสร้างปัญหาให้พวกฉัน นับประสาอะไรกับการรบกวนพวกเราในที่สาธารณะ หล่อนแค่ยุยงพ่อเธออยู่เบื้องหลังให้เขามากวนใจพวกเราให้อยู่ไม่สุขน่ะสิไม่ว่า!”

ฟางจั๋วหรานถามต่อ “แล้วพวกเขามาที่นี่ทำไมกัน? คิดจะเรียกให้จั๋วเยวี่ยกลับบ้านงั้นเหรอ? ก็ทำไมไม่ไปคุยกับเขาโดยตรงล่ะ มารบกวนคุณปู่คุณย่าทำไม?”

คุณปู่ฟางส่ายหน้า “พวกเขาไม่ได้มาหาเราเรื่องนั้น แค่แวะมาบอกกล่าวเรื่องน่าอวดของตัวเองนิดหน่อย”

หลินม่ายคันปากอยากถามออกไปจริง ๆ ว่าคนอย่างหวังเหวินฟางมีอะไรให้น่าอวดกัน

แต่เพราะเธอยังไม่ได้แต่งเข้าตระกูลฟาง คำถามดังกล่าวอาจดูละลาบละล้วงเกินไป

โชคดีที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนถามคำถามนั้นแทนเธอ

คุณย่าฟางพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “หลานสาวหล่อนกำลังจะได้แต่งงานกับนักธุรกิจชาวฮ่องกงในวันชาติที่จะถึงนี้ ก็เลยเอาข่าวมาอวดเรากลาย ๆ แถมยังส่งบัตรเชิญมาให้เราโดยเฉพาะ ให้ไปร่วมงานแต่งของหวังหรง”

คุณปู่ฟางโบกตะเกียบไปมา “หล่อนอวดได้ก็อวดไป เราไม่สนใจซะอย่าง เขาจะไปทำอะไรเราได้? อีกอย่างในวันชาติที่จะถึงนี้ เราก็เตรียมการจัดงานหมั้นให้จั๋วหรานกับม่ายจื่อเหมือนกัน ฉะนั้นอย่าหวังเลยว่าเราสองคนจะไปร่วมงานแต่งของหลานสาวหล่อนให้ได้หน้า!”

คุณปู่ฟางเคยเป็นข้าราชการระดับสูง สถานะทางสังคมโดดเด่น เขาแค่ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างสมถะเท่านั้น

ถ้าเขาไปร่วมงานแต่งของหวังหรง นั่นเท่ากับเป็นการส่งเสริมใบหน้าให้กับตระกูลหวังของหล่อนไม่ใช่เหรอ?

หลินม่ายคิดว่าคำพูดของคุณปู่ฟางชัดเจนในตัวของมันเองอยู่แล้ว

คุณย่าฟางถามฟางจั๋วหราน “เธอกับม่ายจื่อใกล้จะหมั้นกันอยู่แล้ว ได้จัดเตรียมอะไรไว้บ้างแล้วหรือยัง?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “นอกเหนือจากชุดที่ม่ายจื่อจะสวมใส่ในวันนั้น ส่วนอื่น ๆ ก็พร้อมเกือบทุกอย่างแล้วครับ”

หลินม่ายคาดไม่ถึงว่าเขาจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ไม่ทันไรงานหมั้นก็พร้อมแล้ว

เธอคิดว่าเขาจะยังไม่ทำอะไรจนกว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์จะผ่านไปซะอีก

คุณย่าฟางยังคงถามฟางจั๋วหรานต่อไป ว่าคิดจะจัดงานหมั้นที่โรงแรมไหน

ฟางจั๋วหรานตอบ “ผมว่าจะจัดงานหมั้นที่ภัตตาคารอ้ายฉินไห่ ที่เดียวกันกับที่ม่ายจื่อจัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ คุณปู่คุณย่ามีความเห็นว่ายังไงบ้างครับ?”

สองสามีภรรยาชราไม่ใช่คนประเภทที่ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

ต่อให้หวังเหวินฟางมาอวดข่าวดีซึ่งหน้า พวกเขาก็ไม่คิดจะใช้งานเลี้ยงฉลองหมั้นของฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายเป็นเครื่องมือตอบโต้ทำให้หวังเหวินฟางกับหลานสาวของหล่อนได้รับความอับอาย

เมื่อได้ยินว่าฟางจั๋วหรานเลือกร้านอาหารธรรมดา พวกเขาจึงไม่ออกความเห็นใด ๆ

เพียงกำชับเขาว่าอาหารจะต้องดีกว่างานเลี้ยงคราวก่อน เพื่อให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานได้รับประทานกันอย่างจุใจ

ยิ่งไปกว่านั้น หลินม่ายจะต้องแต่งตัวในวันสำคัญให้สวยที่สุด

หลินม่ายก้มหน้าลงกินข้าวต่อไปเงียบ ๆ

เธอกำลังคิดแผนการบางอย่างอยู่ในใจ ตอนที่แม่หรงเที่ยวถือป้ายประท้วงไปทุกที่ เพื่อใส่ร้ายว่าร้าน Unique ของเธอลอกเลียนแบบเสื้อผ้าของร้านซีม่าน เธอยังไม่ได้จัดการกับอีกฝ่ายในเรื่องนี้เลย

หรือเธอควรยื่นฟ้องแม่หรงในวันแต่งงานของลูกสาวตัวเอง ทำให้วันสำคัญของหวังหรงต้องมีอันยุ่งเหยิง จนกลายเป็นที่น่าขบขันในสายตาคนอื่นดี?

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

วันชาตินี้สนุกแน่ ไม่รู้ว่าทางฝั่งยัยหรงจะวุ่นวายขนาดไหน

ไหหม่า(海馬)