บทที่ 397 การตั้งครรภ์ที่ถูกปกปิด

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ปาจรีย์แค่ดูก็รู้ว่าวารุณีกำลังคิดอะไรอยู่ ถอนหายใจ “ช่างมันเถอะ เรื่องลูกจะเอาไว้หรือเอาออก ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดเลย ตอนนี้มาคิดเรื่องของเธอกับประธานนัทธีก่อนดีกว่า”

วารุณีกัดริมฝีปาก “จริงสิ เรื่องที่ฉันท้อง เธอไม่ได้บอกเขาใช่ไหม?”

“ไม่ได้บอก” ปาจรีย์ส่ายหัว “ก็มัวแต่เป็นห่วงเธอ เลยยังไม่ได้คิดที่จะบอกเขา จะให้บอกเขาตอนนี้ไหม?”

“ไม่ต้องหรอก” วารุณีหลับตา “เก็บเป็นความลับไว้ก่อนเถอะ”

อันที่จริงแล้ว เธอกลัวว่าถ้าเธอบอกนัทธีตอนนี้ว่าเธอท้อง เขาต้องให้เธอเอาเด็กออกแน่ๆ

เพราะสำหรับเขาแล้ว เธอเป็นลูกสาวของศัตรู

ดังนั้น ต้องรอนักสืบสืบให้แน่ชัดก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะบอกเขาไหม ถึงเวลานั้น เธอก็จะตัดสินใจได้ว่าจะเก็บเด็กไว้หรือเอาเด็กออก

“โอเค งั้นก็ยังไม่บอกนะ” ปาจรีย์ยักไหล่

ในเวลานั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ปาจรีย์หันหน้ามองไปทางประตู “น่าจะเป็นซุปไก่ที่ฉันสั่งมาถึงแล้ว”

พูดแล้ว เธอก็เดินไปเปิดประตู ปรากฎว่านอกประตูนั้นเป็นคนส่งอาหารจริงๆด้วย

ปาจรีย์ถือกล่องอาหารเข้ามา วางไว้ข้างเตียง ถูกเปิดออก กลิ่นหอมเข้มข้นของซุปไก่ลอยฟุ้งมาเตะจมูก

ปาจรีย์ตักซุปไก่หนึ่งถ้วยส่งให้วารุณี “เอานี่ กินเยอะๆ เธอขาดสารอาหาร พอดีแหละจะได้บำรุงสักหน่อย”

“ขอบคุณนะปาจรีย์” วารุณียิ้มอ่อน รับถ้วยซุปมา

ปาจรีย์นั่งอยู่ข้างๆมองเธอกิน

หลังจากที่รอเธอกินเสร็จ ปาจรีย์ก็ไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้เธอ

เธอแค่อ่อนเพลียและขาดสารอาหาร หลังจากได้รับสารอาหารเข้าไป ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

พอดีวารุณีเองก็ไม่อยากนอนโรงพยาบาล เพราะเรื่องที่ท้องจะถูกเปิดเผยได้ง่าย ดังนั้น จึงออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับไปบริษัทพร้อมกับปาจรีย์

แต่ตอนที่ออกจากโรงพยาบาล ปาจรีย์ยังขอให้หมอสั่งยาบำรุงให้วารุณีมากเป็นพิเศษ ทำให้วารุณีพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ช่วงบ่าย วารุณีเห็นว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว จึงออกจากบริษัทไปรับลูก

ลูกๆทั้งสองคนเห็นเธอ ก็วิ่งมาหาเธอด้วยความดีใจ จะวิ่งโผเข้าชนเธอ

ปกติวารุณีจะยืนอยู่นิ่งๆไม่ขยับ ปล่อยให้เด็กทั้งสองคนวิ่งโผเข้าหาเธอ

แต่ครั้งนี้ไม่ได้ เธอกำลังตั้งท้อง อีกอย่างแรงปะทะจากการเข้าหาของเด็กทั้งสองก็ไม่ใช่เบาๆเลย กลัวว่าเด็กทั้งสองจะชนเข้าที่ท้องเธอ เธอรีบทำท่าทางให้หยุด ก่อนที่เด็กทั้งสองจะโผเข้ามาชน

“หม่ามี๊?” ไอริณเอียงศีรษะ ไม่เข้าใจว่าทำไมหม่ามี๊ถึงไม่ให้เธอวิ่ง

หรือว่าจะเหมือนกับคุณพ่อ ที่ไม่รักเธอแล้ว?

พอคิดอย่างนั้นแล้ว ไอรินเบะปาก ดวงตาแดงก่ำ

แต่อารัณสังเกตโดยละเอียด เห็นวารุณีใช้มือข้างหนึ่งจับท้องไว้แน่น ดวงตาเป็นประกาย “หม่ามี๊ พวกเรากำลังจะมีน้องแล้วเหรอครับ?”

วารุณีมองเขาอย่างประหลาดใจ “หนูเดาถูกได้ยังไง?”

อารัณยิ้มเบาๆ “ใครทำให้ผมฉลาดแบบนี้ล่ะครับ ตอนนี้ผมมีความรู้เทียบเท่ากับเรียนม.4 แล้วนะครับ”

“สมแล้วที่เป็นลูกชายแม่ เก่งจริงๆ” วารุณีบีบจมูกเขาด้วยรอยยิ้ม

กว่าไอริณจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ในเวลานี้เอง “หม่ามี๊ ไอริณกำลังจะได้เป็นพี่สาวแล้วเหรอค่ะ?”

“ใช่จ๊ะ ไอริณดีใจไหม?” วารุณีก้มมองเด็กสาวตัวน้อย

ไอริณพยักหน้างึกๆ “ดีใจค่ะ ไอริณกำลังจะได้เป็นพี่สาวแล้ว จะได้เป็นพี่สาวแล้ว!”

เด็กสาวตัวน้อยกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

วารุณีกลัวว่าเธอจะล้มไป จึงรีบให้อารัณไปจับเธอไว้

“โอเค เรื่องน้องชายหรือน้องสาวในท้องของหม่ามี๊ เก็บเป็นความลับระหว่างเราสามคนนะ พวกหนูห้ามบอกคนอื่นนะจ๊ะ!”

วารุณีโน้มตัวลงไปกำชับเด็กทั้งสอง

อารัณพยักหน้าโดยไม่ได้ถามเหตุผล “โอเคครับ”

มีเพียงไอริณที่กำมือแล้วถามขึ้น “ทำไมล่ะคะ คุณพ่อก็ไม่ได้หรอค่ะ?”

“ใช่จ๊ะ คุณพ่อก็ไม่ได้” วารุณีมองเธอด้วยสายตาจริงจัง

“หนูเข้าใจแล้วค่ะหม่ามี๊ หนูจะไม่บอกคุณพ่อค่ะ” ไอริณรับปาก

วารุณีพอใจแล้ว ก็จูงมือเด็กทั้งสอง “ไปจ๊ะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”

เด็กทั้งสองส่งเสียงอืมอย่างพร้อมเพรียง

ทันใดนั้น อารัณมองเห็นอะไรบางอย่าง ส่งเสียงเอ๊ะ

“มีอะไรเหรอลูก?” วารุณีถาม

อารัณชี้ไปข้างหน้า “นั่นเจเจครับ มีพวกเด็กเกเรเดินตามหลังเขา”

วารุณีมองตามไป เห็นว่าเป็นเจเจจริงๆ กับพวกเด็กเกเรที่ต่อยเขาวันนั้น

วารุณีอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

เด็กเกเรพวกนั้นเดินตามหลังเจเจ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ไม่แน่อาจจะชกต่อยกันอีกแล้ว

ถ้าหากเธอไม่เห็นก็คงจะดี แต่พอเห็นแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปยุ่ง

“อารัณ ไปพาเจเจมานี้” วารุณีปล่อยมือจากอารัณ

อารัณรู้ว่าหม่ามี๊จะช่วยเจเจ ส่งเสียงอืม ก้าวขาเล็กๆวิ่งไปหาเจเจ

เจเจ รีบมาหลบหลังของอารัณอย่างรวดเร็ว มองวารุณีด้วยใบหน้าแดงก่ำ เรียกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คุณน้าครับ”

“ไม่เป็นไรแล้วนะ” วารุณีลูบหัวเขาเบาๆ จากนั้นเรียกให้เด็กทั้งสามคนขึ้นรถ

ก่อนที่จะขับรถออกไป วารุณียังมองไปที่เด็กเกเรพวกนั้น เด็กๆพวกนั้นต่างพากันหงุดหงิด เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดหวังที่ไม่มีใครให้รังแก

เด็กพวกนี้ช่างสิ้นหวังจริงๆ!

วารุณีส่ายหัวแล้วละสายตา สตาร์ทรถขับออกไป

ไม่นานก็ถึงย่านที่เจเจพักอาศัย

ทันทีที่ลงจากรถ ดวงตาของเจเจก็เป็นประกาย วิ่งไปหาหญิงวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ไม่ไกลนัก มีผักกาดขาววางอยู่บนตัก “แม่ครับ”

หญิงวัยกลางคนรับเขาไว้ด้วยรอยยิ้ม เห็นเขาวิ่งมาเหงื่อออก จึงหยิบทิชชู่จากกระเป๋า(กางเกง/เสื้อ)เช็ดเหงื่อให้เขา

เจเจชี้ไปที่วารุณี และพูดอะไรบางอย่างกับหญิงวัยกลางคน

ในตอนแรกหญิงวัยกลางคนรู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ผลักล้อรถวีลแชร์มาทางวารุณี

เดิมทีวารุณีจะไปแล้ว แต่เห็นมีคนกำลังมา จะจากไปแบบนี้ก็ดูเสียมารยาท จึงลงจากรถ

“ขอบคุณคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยเจเจของพวกเรา” หญิงวัยกลางคนโค้งคำนับให้วารุณีด้วยความซาบซึ้งใจ

วารุณีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

หญิงวัยกลางคนที่พักอาศัยอยู่ในย่านเก่าแก่ วาจาและการกระทำของเธอช่างสง่างามเหลือเกิน และยังมีออร่าเปล่งประกายรอบตัว ดูไม่เข้ากับย่านนี้เลย

นี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก

“คุณพี่ไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ค่ะ ฉันก็เป็นแม่คนเหมือนกัน ทนดูเด็กๆถูกรังแกไม่ได้หรอกค่ะ ดังนั้น ถึงได้ช่วยเจเจ”

วารุณียิ้มให้เจเจ

เจเจก้มลงด้วยใบหน้าแดงก่ำ

คุณน้าสวยมาก

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ เจเจของพวกเราคงจะเจ็บตัวกลับมาอีกแน่ เป็นเพราะว่าฉันไม่ได้เรื่อง” หญิงวัยกลางคนก้มมองขาของตัวเองด้วยสายตาเศร้าสร้อย

วารุณีถอนหายใจในใจ “คุณพี่เคยคิดจะให้เจเจย้ายโรงเรียนบ้างไหมค่ะ?”

หญิงวัยกลางคนพยักหน้าและส่ายหัว “เคยคิดเหมือนกันค่ะ แต่ว่าไม่มีเงิน ตอนนี้ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาลแพงมากเลยค่ะ”

“ก็จริงค่ะ” วารุณีไม่มีอะไรจะพูด

“ไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่าค่ะ” หญิงวัยกลางคนฉีกยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง พูดเชื้อเชิญ “คุณมาดื่มน้ำที่บ้านฉันก่อนสักแก้วสิค่ะ ถือว่าแทนคำขอบคุณที่คุณดูแลเจเจของพวกเรา”

เดิมทีวารุณีจะปฏิเสธ แต่เห็นความคาดหวังในดวงตาของเจเจ รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ถ้าอย่างนั้น รบกวนหน่อยนะคะ”

“ไม่รบกวนเลยค่ะ ไม่รบกวนเลย” หญิงวัยกลางคนโบกมือไปมา

เจเจยิ้ม

วารุณีเปิดประตูรถตรงที่นั่งด้านหลัง อุ้มเด็กทั้งสองลงมา

หญิงวัยกลางคนเห็นไอริณและอารัณตามลำดับ

ตอนที่เห็นอารัณนั้น หญิงวัยกลางคนเบิกตากว้าง “ประธานนัทธี?”

เมื่อได้ยินหญิงวัยกลางคนเรียกออกมาแบบนั้น ทำให้วารุณีอ้าปากค้างด้วยความตกใจ “เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”

หญิงวัยกลางคนมองไปที่อารัณด้วยสายตาที่สับสน “เด็กคนนี้เหมือนกับคนๆหนึ่งมาก”

“ประธานนัทธี แห่งบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป?” วารุณีจ้องมองเธอ