ตอนที่ 435

My Disciples Are All Villains

รุ่งสาง

ถ้าหากเป็นวันธรรมดาทั่วไปลู่โจวก็จะออกมายืดแขนและขา มันเป็นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ จากนั้นตัวเขาก็จะตรวจสอบพลังชีวิตที่เหลืออยู่ของตัวเองจนเป็นนิสัยไป พลังชีวิตของตัวเขามักจะลดไป 1 วันเสมอ มันไม่ได้มีอะไรที่น่าประหลาดใจ หลังจากนั้นลู่โจวก็จะเดินกลับเข้าสู่ที่พักของตน

แต่ในวันนี้มีอะไรที่แปลกประหลาดไป ลู่โจวที่เห็นซู่ฮ่องกงนอนเหยียดแขนขาอยู่ด้านนอกแทบไม่อยากที่จะออกมาจากที่พักเลย

“ท่านอาจารย์ ขอให้ท่านมีชีวิตยืนยาวตลอดไป…ท่านอาจารย์อรุณสวัสดิ์ตอนเช้า”

“มีเรื่องอะไรกัน?” ลู่โจวได้ถามออกมา

“ท่านอาจารย์…พวกพันธมิตรกำจัดอสูรไปไกลเกินกว่าที่จะหยุดได้ ศิษย์ได้ใช้เวลาครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืนเกี่ยวกับเรื่องแผนรับมือที่ดี” ซู่ฮ่องกงพูดออกมา

“แผนที่ว่าคืออะไรกัน?”

“ศิษย์พี่เจ็ดเป็นผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวหกกลีบ ถ้าหากศิษย์พี่ใช้พลังของตัวเองร่วมกับพัดขนนกยูง แม้แต่ผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวเจ็ดกลีบเองยังต้องเกรงกลัวต่อเขา ดังนั้น…ข้าจึงเสนอให้ท่านอาจารย์คลายผนึกพลังวรยุทธของศิษย์พี่” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา

“เจ้ากำลังขอร้องอ้อนวอนแทนเจ้านั่นอย่างงั้นสินะ?” มันไม่ใช่สิ่งที่เกินคาดของลู่โจวแต่อย่างใด ท้ายที่สุดแล้วซู่ฮ่องกงก็ยังเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อสีวู่หยามากที่สุด การที่เขาจะมาขอร้องอ้อนวอนแทนกันไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร

“ข้าไม่กล้า ข้าก็แค่รู้สึกว่ามันจำเป็นสำหรับศิษย์พี่ที่จะต้องออกมาปกป้องศาลาปีศาจลอยฟ้าในยามที่มีภัย” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา

“เจ้าไม่เชื่อว่าข้าจะจัดการกับสำนักฝ่ายธรรมได้สินะ?”

“หะ?” ซู่ฮ่องกงเริ่มตกตะลึง ตัวเขาสั่นไปทั้งตัวในขณะที่พูดออกมาอย่างเร่งรีบ “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นท่านอาจารย์!”

ลู่โจวเหลือบมองไปที่ซู่ฮ่องกงก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ามีทั้งเสื้อคลุมวิถีเซนที่เป็นดั่งเกราะ และยังมีถุงมือนักสู้ที่เป็นดั่งอาวุธ แต่เจ้าก็ยังไม่อาจผลิกลีบดอกบัวจากร่างอวตารร้อยวิถีได้แม้แต่กลีบเดียว ถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างมากพอที่จะไปพบกับศิษย์ไม่รักดีนั่น เจ้าควรที่จะใช้เวลานั้นฝึกฝนตัวเองจะดีกว่า”

ซู่ฮ่องกงได้แต่ก้มหน้าลงและตอบรับ “ครับ ท่านอาจารย์”

ซู่ฮ่องกงอยากจะร้องไห้ ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ตัวเขาได้คิดเอาไว้? คำปฏิเสธของผู้เป็นอาจารย์ทำให้ซู่ฮ่องกงสั่นไปทั้งตัว ตัวเขาไม่เหมาะที่จะวิงวอนอ้อนวอนขอร้องแทนใครเลยจริงๆ

“บอกเจ้าศิษย์ไม่รักดีนั่นซะ เจ้านั่นจะต้องอยู่ในถ้ำแห่งเงาสะท้อนจนกว่าข้าจะพบกับคริสตัลแห่งความทรงจำ”

“ครับ ท่านอาจารย์”

ในไม่ช้าสีวู่หยาก็รู้เรื่องทุกอย่างจากการตัดสินใจของลู่โจว ตัวเขานั่งอยู่บนม้าหินอย่างงุนงง “ท่านอาจารย์จะปกป้องศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ยังไงถ้าหากเขายังจะดื้อรั้นอยู่แบบนี้?”

ซู่ฮ่องกงส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน ถ้าหากข้าฝืนพูดต่อข้าก็คงจะต้องถูกส่งมาอยู่ที่ถ้ำแห่งนี้กับศิษย์พี่แน่”

“ข้าไม่ได้โทษเจ้าเรื่องนี้หรอก แล้วเจ้าได้ยินข่าวคราวอะไรกับศิษย์พี่สี่บ้างไหม?” สีวู่หยาถามออกมา

“ไม่เลย” ซู่ฮ่องกงยักไหล่ตอบ ในตอนนี้ตัวเขารู้สึกว่าไม่มีใครสามารถพึ่งพาได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้

สีวู่หยาเดินไปรอบๆ ถ้ำ แม้ว่าจะเป็นสีวู่หยา แต่ในสถานการณ์เช่นนี้มันก็ยากที่จะแก้ไขได้ ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็โบกมือก่อนที่จะพูดออกมา “เจ้ากลับไปซะเถอะ ข้าจะลองคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาเอง”

ซู่ฮ่องกงพยักหน้าก่อนที่จะจากไปแต่โดยดี

เมื่อค่ำคืนมาถึง สายลมเบาๆ ก็ได้พัดผ่านไปทั่วทั้งภูเขาทอง

ลู่โจวในตอนนี้กำลังวัดพลังวิเศษจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อยู่ ตัวเขาได้ใช้พลัง 1 ใน 3 ไปกับการรักษาฝานลี่เทียน ลู่โจวจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 วันกว่าที่จะฟื้นฟูพลังกลับมาได้ ตัวเขาได้นั่งหลับตาลงก่อนที่จะทำสมาธิต่อไป

เมื่อลู่โจวมีสมาธิ ตัวเขาจะรู้สึกสบายตัว ลู่โจวจะสูญเสียความรู้สึกในการรับรู้ไป

ตัวอักษรจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ที่อยู่ภายในความคิดของตัวเขากำลังเคลื่อนย้ายไปมา

ตัวอักษรที่ลู่โจวเห็นทำให้ตัวเขานึกไปถึงตัวอักษรจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ ในก่อนหน้านี้ตัวเขาไม่สามารถที่จะอ่านตัวอักษรพวกนั้นออกได้เลย แต่เมื่อได้ชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์มาเติมเต็ม ตัวอักษรก็เริ่มที่จะรวมกลุ่มใหม่จนสร้างประโยคขึ้นมา ดูเหมือนว่าชิ้นส่วนเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์จะมีไว้เพื่อจัดกลุ่มและสร้างประโยค

ก่อนที่ลู่โจวจะรู้อะไร ตัวเขาก็เข้าสู่การทำสมาธิอีกครั้ง

ในวันนี้ก็เหมือนเดิม ต้วนมูเฉิงยังคงควงหอกราชันย์ไปมาอยู่ที่รอบตัว ตัวเขาคิดว่าวันนี้ก็คงจะเป็นอีกวันหนึ่งที่สงบสุขเหมือนกับวันอื่นๆ แต่ในตอนนั้นตัวเขาก็ได้เห็นแสงสว่างอยู่ที่เชิงเขาภูเขาทอง

“หืม?” ต้วนมู่เฉิงขมวดคิ้ว ตัวเขารีบเปิดใช้พลังอวตารร้อยวิถีในทันที เสียงสะท้อนและแสงจากพลังอวตารเพียงพอแล้วที่จะทำให้คนในศาลาปีศาจลอยฟ้าเห็นการแจ้งเตือนนี้

มีใครบางคนพุ่งตัวออกมาจากศาลาทางใต้ก่อนที่จะลอยอยู่บนกลางอากาศ

พลังวรยุทธของเล้งลั่วลึกล้ำมากที่สุด เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงมาถึงเป็นคนแรก เล้งลั่วที่อยู่บนที่สูงกำลังเหลือบมองลงไปยังเชิงเขา “เจ็ดสำนักใหญ่มาถึงแล้วอย่างงั้นเหรอ?”

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลกับไฟตรงนั้นแน่” ต้วนมู่เฉิงได้เรียกพลังอวตารของตัวเองกลับไป พลังอวตารที่ตัวเขาได้แสดงออกมาเป็นเพียงสัญญาณแจ้งเตือนให้กับทุกคนที่อยู่ในศาลาปีศาจลอยฟ้าเพียงเท่านั้น

ไม่นานนักฮั๊ววู่เด๋าก็ปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน “อย่าได้หลงกลอุบายนั่นเลยจะดีกว่า นั่นจะต้องเป็นของที่ใช้หลอกล่อพวกเราแน่”

“อืม” ต้วนมู่เฉิงพยักหน้าตอบรับ

ถ้าหากใช้ประสบการณ์จากที่ฝานลี่เทียนเจอมา เป็นธรรมดาที่ทุกๆ คนจะระมัดระวังตัวมากขึ้น

ในขณะเดียวกันฮั๊วยู่จิงก็ปรากฏตัวขึ้นนอกห้องโถงใหญ่ เพียงแค่ใช้ปลายเท้านางก็สามารถขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ฮั๊วยู่จิงได้ขึ้นมาพร้อมๆ กับธนูจันทราที่นางมี ท่าทีในการเคลื่อนไหวของนางแม้จะดูงดงามแต่มันก็แฝงไปด้วยพลังความแข็งแกร่ง

ฮั๊ววู่เด๋าเหลือบมองนางก่อนที่จะพูดออกมา “ยู่จิง”

“ผู้อาวุโสฮั๊ว”

“คืนนี้เจ้าจับตาดูให้ดี”

“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮั๊วยู่จิงเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ธนูที่มีพลังอวตารดอกบัวสามกลีบ ด้วยความสามารถที่นางมี ตราบใดที่นางอยู่บนที่สูง นางก็ย่อมได้เปรียบ ฮั๊วยู่จิงสามารถโจมตีทุกสิ่งทุกอย่างที่มองเห็นได้ ดังนั้นฮั๊วยู่จิงจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วที่เหมาะกับการเฝ้าระวัง

ในตอนนั้นเองก็มีแสงสว่างส่องมาจากทางไกลอีกครั้ง มันไม่เหมือนกับครั้งก่อน ไฟที่ส่องสว่างก่อตัวเป็นแนวนอน มันเป็นไฟที่คล้ายกับการเดินทางของอะไรบางอย่าง เมื่อผนวกไฟเข้ากับแรงลม ไฟที่เห็นจึงเดินใกล้เข้ามาสู่หุบเขาทองด้วยความเร็วที่แสนจะน่ากลัว

“การโจมตีด้วยไฟอย่างงั้นสินะ?” ต้วนมู่เฉิงยกหอกราชันย์ขึ้นมาก่อนที่จะตะโกนออกไป “เจ้าพวกผู้บุกรุก พวกเจ้ากล้าดียังไงกัน!”

“ต้วนมู่เฉิง…หยุดทำอะไรวู่วามซะ!” ฮั๊ววู่เด๋าได้ตะโกนตักเตือนต้วนมู่เฉิงที่กำลังจะระเบิดพลังเอาไว้

“แล้วพวกเราจะปล่อยให้ไฟโหมกระหน่ำอย่างงั้นเหรอ?”

ที่เชิงเขามันเต็มไปด้วยวัชพืชและพืชพรรณนานาชนิด ไม่นานไฟที่ได้เห็นจะต้องโหมกระหน่ำมายังภูเขาทองแน่

ฮั๊ววู่เด๋าส่ายหัว “ยู่จิง”

“ข้าเห็นพวกเขาแล้ว!” ที่จุดสูงสุดของศาลาปีศาจลอยฟ้า ฮั๊วยู่จิงกำลังง้างคันธนูจันทราออกมา ที่นิ้วมือข้างขวาของนางกำลังตรึงลูกศรพลังงานสีทองเอาไว้

หวือ! หวือ! หวือ!

ลูกศรพลังงานที่มือข้างขวาของฮั๊วยู่จิงเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น เมื่อมันใหญ่จนกลายเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ ฮั๊วยู่จิงก็ได้ปล่อยลูกศรพลังงานออกไป…

พรึ๊บ!

ที่ไกลแสนไกลจากภูเขาทอง…แทบที่จะเป็นไปไม่ได้เลยที่ที่ตรงนั้นจะมองเห็นจุดสูงสุดของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ ในคืนวันนี้เป็นคืนที่ดวงจันทร์กำลังทอแสงอยู่เหนือศาลาปีศาจลอยฟ้านั่นเอง

ผู้ฝึกยุทธหลายคนที่กำลังจุดไฟเผาป่าได้ยินเสียงแปลกๆ บางอย่าง มันคล้ายกับเสียงของอะไรบางอย่างที่กำลังพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง

“มีใครบางคนใช้พลังอวตารออกมาเพื่อที่จะขู่ให้พวกเรากลัวอีกแล้วสินะ?”

พรึ๊บบบ!

เหล่าผู้ฝึกยุทธเงยหน้าขึ้นมอง ในตอนนั้นเองพวกเขาทั้งหมดก็ได้เห็นลูกศรพลังงานที่กำลังพุ่งเข้าหาพวกเขา

ฉั๊วะ!

ลูกศรพลังงานได้พุ่งทะละหน้าอกของผู้ฝึกยุทธคนหนึ่ง ชายคนนั้นเบิกตากว้าง ตัวเขาได้มองไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง…ชายคนนั้นได้แต่เดินถอยหลังไปทีละก้าว

“นั่น…นั่นมันสุดยอดมือธนู!”

เมื่อคนอื่นๆ ได้เห็นแบบนั้นพวกเขาก็ได้แต่ตื่นตกใจ

“เร็วเข้า! เร็วกว่านี้ โหมกระหน่ำไฟให้เร็วกว่านี้แล้วถอยเร็วเข้า!”

“ถอยเร็ววววววววววว!”

ไม่ทันที่ทุกคนจะได้ทำตั้งรับการโจมตี ในตอนนั้นลูกศรพลังงานจำนวนมากก็ได้พุ่งเข้าหาพวกเขาจากทางศาลาปีศาจลอยฟ้า

ฉั๊วะ!

ฉั๊วะ!

ฉั๊วะ!

ผู้ฝึกยุทธขั้นมหาราชครู 3 คนต่างก็ถูกโจมตีจนล้มลงไปกับพื้น พวกเขาไม่สามารถที่จะต้านทานพลังการโจมตีจากลูกศรพลังงานได้เลย

ผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ กระจัดกระจายตัวก่อนที่จะรีบหนีไป

แม้ว่าผู้ฝึกยุทธจะเลิกเผาป่าไปแล้ว แต่ไฟก็ยังคงลามไปทางภูเขาไฟ ลมที่พัดพาออกซิเจนจำนวนมากกำลังเป็นผู้ที่โหมกระหน่ำไฟให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น

ที่จุดสูงสุดของศาลาปีศาจลอยฟ้า ฮั๊วยู่จิงที่อยู่ที่นั่นได้พูดออกมา “ข้าจัดการกับเจ้าพวกนั้นไป 4 คนแล้ว…แต่ข้ามองไม่เห็นพวกที่เหลือ ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังซ่อนตัวกันเป็นอย่างดี มีศัตรูส่วนใหญ่วิ่งหนีไปแล้ว”

“ข้ารู้แล้ว” ฮั๊ววู่เด๋าตอบกลับมา

“พวกต่ำช้ายังไงซะก็คือพวกต่ำช้า ที่คือทุกอย่างที่เจ้าพวกนั้นโจมตีศาลาปีศาจลอยฟ้าได้อย่างงั้นสินะ?” เล้งลั่วพูดออกมาพลางส่ายหัวไปด้วย

ต้วนมู่เฉิงจ้องมองไปทางไฟก่อนที่จะพูดขึ้นเช่นกัน “อย่าได้ลืมเรื่องไฟไป”

ฮั๊ววู่เด๋าได้ตอบกลับมา “ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ…” ฮั๊ววู่เด๋าลอยไปข้างหน้า ในตอนนั้นเองมีแสงสว่างกระจายออกมาจากตัวเขา แสงสว่างมันเริ่มส่องสว่างมากขึ้นในทุกๆ ย่างก้าวที่ฮั๊ววู่เด๋าก้าวเดิน